บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 (2)

‘ท่าจะเป็นเอามากแฮะ’

อามิลแอบนินทาเจ้าเหนือหัวอยู่ในใจ ไม่นึกว่าเจ้าชายอีสดรีสส์จะทรงเบื่อผู้หญิงก็เป็น เขานึกถึงภาพก่อนหน้านี้ ตอนที่พระองค์ได้เปิดประตูออกกว้างทำให้เห็นลอร่านอนเปลือยกายอยู่บนเตียง ในขณะที่เจ้าชายกลับอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มแบบเต็มยศ ก็เลยทำให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นผุดขึ้นมาอีกหน จนต้องหลุดปากถามออกไป

“คุณลอร่าไม่ได้ทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่สักนิดเลยอามิล เจ้าเชื่อไหมว่าลอร่าใช้ทั้งมือทั้งปาก แต่ก็ไม่สามรถทำให้ความต้องการของเราลุกฮือได้ ทุกอย่างมันจืดชืด ไร้ความตื่นเต้น ไร้ความเร้าใจ จนเราทนไม่ไหวต้องเผ่นออกมาจากห้องนอนอย่างที่เจ้าเห็น”

เจ้าชายอีสดรีสส์ถอนพระปัสสาสะยาว พระองค์ไม่เคยเอาเรื่องบนเตียง หรือเอาเรื่องความชำนาญในบทรักของคู่ควงแต่ละคนมาคุยกับผู้อื่น แต่เป็นเพราะอยากระบายให้อามิลได้รับรู้ จึงยอมทำตัวเป็นคนเสียมารยาทสักครั้ง

“เพราะเหตุนี้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ที่ทำให้ฝ่าบาทตีสีพระพักตร์บึ้งตึง บอกบุญไม่รับเช่นนี้”

เพราะรับใช้เจ้าชายอีสดรีสส์มาช้านาน องครักษ์อามิลจึงกล้าพอที่จะเปล่งวาจาถามเจ้าชายอีส

ดรีสส์อย่างตรงไปตรงมา เมื่อผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัวได้ตรัสออกมาราวกับต้องการปรับทุกข์

“ฮื้อ...เรารู้สึกว่าบทรักของพวกเธอเหล่านี้ช่างน่าเบื่อที่สุด พวกเธอกระโจนเข้าหาเราแทบทันทีที่เห็นหน้า ถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วจนเรามองแทบไม่ทัน ไม่เคยมีใครแสดงกิริยาเอียงอายขณะที่อยู่ต่อหน้าเรา ไม่มีใครรอให้เราสอนบทรักและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน เพราะทุกคนล้วนแต่เก่งกาจช่ำชองในบทรัก บางคนก็เก่งมากกว่าเราที่เป็นผู้ชายเสียอีก”

เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงบ่นยืดยาวราวกับคนแก่ บทรักที่แต่ละนางมอบให้ไม่มีใครทำให้พระองค์ประทับใจสักคน แถมยังหน้าเบื่อที่สุด พลอยทำให้พระองค์หมดอารมณ์ไปด้วย จนนึกแปลกพระทัยว่าองค์เองกำลังจะกลายเป็นคนตายด้านไปแล้วหรืออย่างไร

“กระหม่อมว่าที่ฝ่าบาทเกิดอาการเบื่อสาวๆ เป็นเพราะฝ่าบาทไม่มีความรักให้กับพวกเธอเหล่านั้นยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ หากพบอิสตรีที่ฝ่าบาทรัก กระหม่อมเชื่อว่าฝ่าบาทต้องตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้กอด ได้จุมพิต สัมผัสแตะต้องตัวเธอ”

อามิลวิเคราะห์ราวกับเป็นกูรูผู้ช่ำชองในเรื่องความรัก ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริงอายุอานามล่วงเข้าสามสิบปีต้นๆ แล้ว แต่เขาก็ยังไม่นึกรักผู้หญิงคนไหนสักคน

“แล้วเจ้าเคยตื่นเต้นเวลาได้กอดได้จูบหญิงสาวที่เจ้ารักหรือเปล่า”

เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงปรึกษากับองครักษ์เอก ราวกับหนุ่มน้อยที่เพิ่งริรัก หัดลองเพลิงสวาทครั้งแรก

อามิลหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยตอบให้เจ้าเหนือหัวหนุ่มได้ตีพระพักตร์บึ้งอีกครั้ง

“กระหม่อมก็ยังไม่เคยมีความรักแบบนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมคิดว่าหากพบหญิงสาวที่ใช่ ที่รอคอย กระหม่อมจะต้องมีความรู้สึกเช่นนั้นกับเธออย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่นน่ะสิอามิล หากเจอคนที่ใช่และรอคอยมาทั้งชีวิต เราคงตื่นเต้นไม่หยอก ถ้าได้บรรเลงเพลงรักอันแสนเร่าร้อนกับเธอ แต่ไม่รู้ว่าชาตินี้เราจะเจอหญิงสาวที่รักเราอย่างแท้จริง โดยไม่หวังเงินทองทรัพย์สมบัติของเราหรือเปล่า”

ขณะตรัสกับองครักษ์ เจ้าชายผู้หล่อเหลาจากดินแดนทะเลทรายก็พยายามขบคิดนึกถึงใบหน้าของอิสตรี ผู้ที่จะมาพิชิตพระทัยของพระองค์ ซึ่งนึกเท่าไรพระองค์ก็นึกไม่ออกว่าหญิงสาวคนไหนที่จะสามารถทำให้พระองค์หลงรักได้

องครักษ์อามิลเห็นเจ้าชายหนุ่มขมวดพระขนงเข้าหากันยุ่ง ราวกับกำลังนึกถึงหญิงสาวผู้โชคดีแค่เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถครอบครองพระหฤทัยของบุรุษชาติอาหรับได้ ก็เลยเอ่ยออกมาเบาๆ เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นย้ำเตือนให้เจ้าชายอีสดรีสส์ได้นึกถึงอิสตรีที่เป็นเนื้อคู่ตุนาหงันของพระองค์

“ฝ่าบาทลืมคุณอัลรีน่า ฟาติยาซ์ ไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ คุณอัลรีน่าเป็นหญิงสาวที่เหมาะสมกับฝ่าบาทมาก พวกเราชาวดาลิยาเชื่อว่าคุณอัลรีน่าจะเป็นพระชายาที่งดงาม ทำให้ฝ่าบาทมีความสุขมากที่สุด”

“อัลรีน่า ฟาติยาซ์ งั้นหรอกหรือ”

เจ้าชายอีสดรีสส์ร้องเสียงสูง พยายามนึกถึงใบหน้าของอัลรีน่า ฟาติยาซ์ บุตรสาวของพลเอกรอซี ซึ่งเป็นองครักษ์ชั้นผู้ใหญ่ของพระบิดา หญิงสาวเป็นสาวเลือดผสมอาหรับ-ไทย มีมารดาเป็นคนไทยแท้

“เราจำหน้าอัลรีน่าไม่ได้แล้วอามิล จำได้คร่าวๆ ว่าพบกันครั้งสุดท้ายก็ตอนที่อัลรีน่ากำลังเรียนมัธยมต้น ไม่รู้โตขึ้นหน้าตาจะเป็นยังไงบ้าง”

“กระหม่อมพูดได้ประโยคเดียวว่าคุณอัลรีน่าสวยที่สุด ดวงตาของเธอก็สวยแปลกกว่าใคร อีกทั้งกิริยามารยาทก็งดงามสมกับเป็นกุลสตรี”

อามิลยิ้มกริ่มขณะนึกถึงอิสตรีที่กำลังตกเป็นหัวข้อการสนทนา ซึ่งเขาคอยติดตามข่าวคราวของหญิงสาวเสมอ อัลรีน่าเป็นหญิงสาวที่สวยสง่าอยู่ในสังคมชั้นสูง อีกทั้งยังเป็นถึงพระคู่หมั้นของเจ้าชายอีสดรีสส์ จึงเป็นที่จับตามองของสื่อทุกแขนงในประเทศดาลิยา

“อืม...เห็นจะจริง อัลรีน่ามีดวงตาที่สวยแปลกกว่าสาวๆ ในดาลิยา”

เจ้าชายอีสดรีสส์รับคำอย่างเห็นด้วย เพราะสิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์จำอัลรีน่าได้ก็คือดวงตา หญิงสาวมีดวงตาที่สวยและแปลกเรียกว่าสี ไอ เอควา เป็นสีอ่อนใสราวกับพื้นน้ำ ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีดวงตาสีนี้

“นี่เจ้ากับคนทั้งประเทศกำลังคิดจะจับคู่ให้อัลรีน่าเป็นชายาของเรางั้นหรือ”

เจ้าชายอีสดรีสส์หรี่ดวงเนตรคมกริบจ้องมององครักษ์เขม็ง ไม่พอพระทัยที่อีกฝ่ายริอาจทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้กับพระองค์

“กระหม่อมไม่บังอาจทำตัวเป็นพ่อสื่อหรอกพ่ะย่ะค่ะ และคิดว่าไม่จำเป็นด้วย เพราะคุณอัลรีน่าเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาทอยู่แล้ว ฝ่าบาทลืมแล้วหรืออย่างไร ว่าพระบิดาได้หมั้นหมายคุณอัลรีน่าไว้ตั้งแต่เด็ก หากเธอมีอายุครบยี่สิบสี่ปีเมื่อไร คุณอัลรีน่าก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับฝ่าบาท”

อามิลทบทวนความจำให้กับเจ้าเหนือหัว ที่ดูท่าว่าลืมไปเสียสนิทแล้วว่ามีคู่หมั้นสาวรอคอยอยู่ที่ประเทศดาลิยา

“บอกตามตรงนะอามิล เราไม่ชอบใจเลยที่ท่านพ่อจับเราคลุมถุงชนเช่นนี้ ยุคโลกโลกาภิวัตน์ไม่ควรมีประเพณีเช่นนี้หลงเหลืออยู่ เราไม่อยากแต่งงานเพราะคำสั่งของท่านพ่อ เราอยากแต่งงานกับหญิงสาวที่เราเลือกด้วยหัวใจ อยากให้เธอเป็นแม่ของลูกๆ เป็นคู่ชีวิตที่ทำให้เรายิ้ม หัวเราะ ได้อย่างมีความสุขไปทั้งชีวิต”

เจ้าชายอีสดรีสส์มีสีพระพักตร์เคร่งเครียดระคนไม่พอพระทัยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถูกสะกิดให้นึกถึงเรื่องที่พระองค์พยายามทำเป็นลืมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้จะเป็นนักรัก มีหญิงสาวผลัดเปลี่ยนมาให้สำราญมากเพียงใด แต่พระองค์ก็ยังอยากเลือกผู้ที่มาจะมาร่วมหอด้วยหัวใจและด้วยความรัก

“แล้วฝ่าบาทจะทรงทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะยอมทำตามคำรับสั่งของพระบิดา หรือว่าจะทำตามพระหฤทัยเรียกร้อง”

อามิลพลอยไม่สบายใจไปด้วย ซึ่งเขายังมองไม่ออกว่าเจ้าชายอีสดรีสส์จะขัดคำสั่งของพระบิดาได้อย่างไร ก็ในเมื่อเจ้าชายอะดะบีได้หมั้นหมายอัลรีน่าไว้ให้พระโอรสตั้งแต่อัลรีน่ายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ

“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะอามิล”

ขณะย้อนถามองครักษ์เอก เจ้าชายอีสดรีสส์ก็ยกพระหัตถ์เสยพระเกศาให้ยุ่งไปหมด ทรงหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อยว่าพระบิดาจะไม่ยอมให้พระองค์ทำตามที่พระหฤทัยต้องการ

“กระหม่อมได้แต่ภาวนาและเอาใจช่วย พร้อมทั้งให้ความร่วมมือเต็มที่ เพื่อให้ฝ่าบาทได้พบพระชายาที่ทรงเลือกจากพระหฤทัย”

หากเจ้าชายอีสดรีสส์จะขัดคำสั่งของพระบิดา ผู้ที่เป็นองครักษ์เอกก็พร้อมเป็นกองหนุน ทำได้ทุกอย่าง เพียงเพื่อให้เจ้าชายอีสดรีสส์ได้มีความสุข

“ขอบใจเจ้ามากอามิล”

เจ้าชายอีสดรีสส์แย้มพระสรวลบางๆ พลางตบหนักๆ ลงไปบนบ่าของผู้ที่นั่งอยู่แทบพระบาท ก่อนจะตรัสปรึกษาหารือกันต่อ

“ท่านพ่อบอกว่าอัลรีน่าอายุครบยี่สิบสี่ปีเมื่อไรก็จะจัดพิธีอภิเษกสมรส เจ้าพอจะรู้ไหมว่าเหลือเวลาให้เราได้หายใจมากน้อยสักเพียงใด”

“ราวๆ หนึ่งเดือนกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

การตอบอย่างรวดเร็วของอามิล ทำเอาเจ้าชายอีสดรีสส์ต้องเลิกพระขนง จ้องมองอีกฝ่ายเขม็งด้วยความแปลกพระทัย จากนั้นจึงได้ตรัสถามเพื่อให้คลายอาการสงสัย

“ทำไมถึงได้รู้เรื่องของอัลรีน่าดีจังเลย เจ้าอามิล”

อามิลยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยตอบให้เจ้าเหนือหัวได้หายสงสัย “กระหม่อมติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของคุณอัลรีน่าตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ สื่อทุกช่องทุกแขนงในดาลิยาให้ความสนใจคุณอัลรีน่ามาก ยิ่งเข้าใกล้เดือนแห่งความสุขที่จะได้ร่วมฉลองแสดงความยินดีในพิธีอภิเษกของฝ่าบาทกับคุณอัลรีน่า เธอก็ยิ่งถูกจับตาและกล่าวขานมากเป็นพิเศษ”

เจ้าชายอีสดรีสส์พยักพระพักตร์รับรู้ แม้ในรัฐมิชิแกนจะไม่มีสื่อช่องไหนเสนอข่าวของอัลรีน่า ผู้ที่งดงามในแผ่นผืนทะเลทราย แต่โลกกลมๆ ที่ก้าวล้ำรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้องครักษ์อามิลสามารถติดตามข่าวสารของอัลรีน่าได้จากโลกไซเบอร์ ซึ่งพระองค์เชื่อว่าเว็บไซต์ของประเทศดาลิยาคงลงข่าวของอัลรีน่าทุกวันอย่างแน่นอน

“เฮ้อ! ทำไมท่านพ่อเหลือเวลาให้เราหายใจน้อยชะมัด แค่เดือนกว่าๆ จะไปเพียงพออะไร เฉพาะงานในดาลิยาเราก็แทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหนแล้ว”

ดวงเนตรคมกริบของเจ้าชายอีสดรีสส์ทอดมองไปยังนอกหน้าต่างเครื่องบิน จับจ้องอยู่ที่ปุยเมฆขาวสะอาด ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวอย่างสง่างามไปตามคลื่นลม พระองค์ถอนพระปัสสาสะเฮือกใหญ่ รู้ว่าทันทีที่เหยียบแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน ภารกิจมากมายก็พร้อมให้พระองค์สานต่อจากพระบิดา ถึงแม้จะมีเวลาให้จัดการกับปัญหาชีวิตแค่เพียงน้อยนิด พระองค์ก็ไม่ย่อท้อและเต็มพระทัยที่จะรับภาระทั้งหมดมาไว้ในสองพระหัตถ์คู่นี้ เพื่อให้พระบิดาได้พักผ่อนบ้าง เพราะสงสารพระบิดาที่ต้องรับภาระดูแลประเทศมาอย่างช้านาน

อามิลรู้สึกเห็นใจเจ้าชายอีสดรีสส์ที่ต้องรับภาระหนักทันทีที่เดินทางถึงประเทศดาลิยา เขาเหลือบสายตามองไปยังทิศทางที่ตั้งของห้องนอนหรู ก่อนจะเอ่ยถามออกมา

“แล้วฝ่าบาทจะทำอย่างต่อไปพ่ะย่ะค่ะ รวมถึงเรื่องของคุณลอร่าด้วย จะให้เธออยู่ที่ดาลิยาหรือว่าส่งกลับอเมริกา”

“อย่างหลังอามิล เครื่องบินลงจอดเมื่อไร เจ้าให้ใครจัดการส่งลอร่ากลับอเมริกาด้วย เราเอือมลอร่าจะแย่แล้ว รู้ยังงี้ไม่รับเธอมาด้วยก็ดี”

เจ้าชายอีสดรีสส์เปล่งวาจาโดยไม่แคร์ ก่อนจะเอนพระวรกายพิงเบาะที่นั่ง แล้วหลับดวงเนตรนิ่งๆ เป็นการพักสายพระเนตรชั่วครู่ชั่วยาม

“ฝ่าบาทจะไปพักอีกห้องไหมพ่ะย่ะค่ะ”

อามิลเอ่ยถามเบาๆ กำลังจะขยับตัวไปเตรียมห้องให้เจ้าชายหนุ่มได้พักผ่อน แต่พระหัตถ์ใหญ่ก็ยกขึ้นโบกปฏิเสธ พร้อมกับพระสุรเสียงห้าวทุ้มที่ย้ำสั่ง ทั้งๆ ที่ยังหลับดวงเนตรอยู่

“ไม่ต้องอามิล อย่าลืมทำตามที่เราสั่งล่ะ ลอร่าจะต้องไม่ได้อยู่ที่ประเทศดาลิยา”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

อามิลรับคำสั่ง แล้วถอยออกมานั่งห่างจากเจ้าเหนือหัวเล็กน้อย เขาทอดสายตามองพระพักตร์คมเข้ม พระโอษฐ์สีสดไม่แพ้อิสตรีของเจ้าชายอีสดรีสส์ ก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ สงสารลอร่าเหมือนกันที่

กำลังจะถูกทิ้งโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยหญิงสาวผู้หิวเงินได้ เพราะหากเจ้าชายอีสดรีสส์รับสั่งคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น ใครก็ขัดคำสั่งของพระองค์ไม่ได้ มีหลายร้อยเสียงพูดว่าเจ้าชายอีสดรีสส์เป็นนักรักที่ใช้ผู้หญิงเปลืองที่สุด และเมื่อได้เชยชมสมพระทัยอยากแล้วก็จะสลัดพวกเธอทิ้งอย่างไม่แยแส แต่พวกเขาเหล่านั้นหารู้ไม่ว่า เจ้าชายอีสดรีสส์ไม่ได้ให้พวกเธอไปมือเปล่า ทุกคนจะจากไปพร้อมกับเงินทองก้อนโตสามารถนำไปตั้งตัวได้เลยทีเดียว

‘ขอให้เจ้าชายได้พบกับดอกไม้งาม ที่สามารถพิชิตพระทัยของฝ่าบาทได้เร็วๆ ทีเถอะ’

ขณะพึมพำอยู่ในใจ องครักษ์หนุ่มได้คิดถึงสาวน้อยแสนน่ารักคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหญิงงามจากแผ่นดินที่เขามีเลือดผสมอยู่ครึ่งตัวนั่นคือประเทศไทย หญิงสาวผู้นี้เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในรัฐมิชิแกน ที่มองเจ้าชายอีสดรีสส์ด้วยสายตารังเกียจ และแอบเบ้ปากใส่ทุกครั้งที่เจ้าชายอีสดรีสส์ได้เสด็จผ่านเธอ เขาอยากรู้จริงๆ ว่าหญิงสาวคนนั้นจะเป็นนารีผู้พิชิตพระหฤทัยของคาสโนว่าแห่งแผ่นดินทะเลทรายหรือเปล่า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel