บทที่ 1 (1)
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงเครื่องบินจะลงจอดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อามิล อาริฟีฟ ชวกร องครักษ์เอกเลือดผสม ไทย-อาหรับ เคาะประตูเคบินภายในเครื่องบินหลวง พร้อมกับกระซิบเรียกเจ้าเหนือหัวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะเกรงว่าจะเป็นการขัดความสุขสำราญของเจ้าชายนักรัก ซึ่งกำลังทำกิจกรรมยามว่าง ขณะเครื่องบินหลวงได้ทะยานแหวกม่านเมฆนำพามกุฎราชกุมารหนุ่ม ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากโลกตะวันตก กลับไปยังแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนที่ประเทศดาลิยา
“ฝ่าบาทได้ยินเสียงกระหม่อมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษชาติผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นองครักษ์อารักขาความปลอดภัยให้แก่มกุฎราชกุมารแห่งแผ่นผืนทะเลทราย เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เมื่อปราศจากพระสุรเสียงตอบรับจากเจ้าชายหนุ่ม ซึ่งปกติจะพระกรรณไว เรียกแค่ครั้งเดียวพระองค์ก็ขานตอบแล้ว
“ฝ่าบาท! หากไม่ขานตอบ กระหม่อมจะเปิดประตูเข้าไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไม่มีเสียงขานรับจากผู้ที่อยู่ภายในเคบินสุดหรูหรา อามิลก็คิดไปต่างๆ นานา เกรงว่าเจ้าเหนือหัวอาจจะได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุ ที่สามารถย่างกรายเข้าหาได้ทุกเมื่อ หากเราปล่อยให้ความประมาทเข้ามาครอบงำ องครักษ์หนุ่มเตรียมที่จะเปิดประตูออกกว้าง แต่ต้องชะงักอยู่กลางอากาศ เมื่อผู้ที่เป็นนายได้เปิดออกมาเสียก่อน
“ไม่ต้องเข้ามาแล้วอามิล”
เจ้าชายอีสดรีสส์ อัลดาลีฟ มกุฎราชกุมารแห่งประเทศดาลิยา ประเทศเล็กๆ ที่เกิดใหม่ในโลกตะวันออก แต่ทว่าร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรตามธรรมชาติ ที่มีมูลค่ามหาศาลเสียยิ่งกว่าทรัพย์ใดในโลกนั่นก็คือ ‘น้ำมัน’ ได้ยกพระหัตถ์ใหญ่เสยพระเกศาให้วุ่นไปหมด พระพักตร์คมหล่อเหลาตามแบบฉบับหนุ่มอาหรับเผยให้เห็นพระอาการหงุดหงิดไม่สบพระทัย ขณะดำเนินกระแทกพระบาทออกมาจากห้องนอนสุดหรู
อามิลมองตามเจ้าเหนือหัว พร้อมกับปรายตามองเข้าไปในห้องนอนใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งขณะเดินเร็วๆ ตามเจ้าชายไป
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอประทานอภัยที่บังอาจเข้าไปขัดจังหวะ...”
“ขอบรั่นดีสักแก้วสิ อามิล”
เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงยกพระหัตถ์ห้าม พลางสั่งพระสุรเสียงเข้ม ทั้งๆ ที่องครักษ์เอกพูดยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ
“เอ่อ...พ่ะย่ะค่ะ”
อามิลรับคำสั่งอย่างไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร เพราะคิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้เจ้าชายอีสดรีสส์ไม่พอพระทัย
“เฮ้อ...ไม่น่าเข้าไปขัดจังหวะฝ่าบาทเลย”
อามิลพึมพำเบาๆ ขณะลากเท้าไปยังเคาน์เตอร์บาร์ภายในเครื่องบินหลวงซึ่งเป็นเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าชายอีสดรีสส์ ผู้ที่ร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในสิบของเศรษฐีโลก เครื่องบินลำใหญ่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ทั้งระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม หรือแม้แต่ห้องออกกำลังกายให้เจ้าชาย
อีสดรีสส์และเหล่าลูกเรือได้ปลดปล่อยพลังงานเรียกเหงื่อให้กับตนเองก็มีพร้อมเช่นเดียวกัน
“บะ...บรั่นดีได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงที่หลุดออกมานั้นตะกุกตะกัก ด้วยเจ้าตัวยังหวาดหวั่นไม่หาย ขณะเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ที่ยังบูดบึ้งถมึงทึง บ่งบอกพระอาการไม่สบอารมณ์อย่างแรง
“เอ่อ...ฝ่าบาท ยังโกรธกระหม่อมอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” อามิลรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะเอ่ยถามออกมาได้
เจ้าชายอีสดรีสส์โบกพระหัตถ์ว่อน เขย่าแก้วเบาๆ ให้บรั่นดีเคลื่อนตัวล้อเล่นกับผิวแก้ว ก่อนจะยกขึ้นดื่มแบบรวดเดียวหมดแก้ว แล้วยื่นแก้วเปล่าให้องครักษ์หนุ่มไปรินมาให้ใหม่
อามิลรับแก้วเหล้ามาถือไว้ พลางเดินเร็วๆ เกือบเป็นวิ่งไปยังมุมบาร์ ขนหัวลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว เพราะเจ้าเหนือหัวไม่ยอมตรัสออกมา นอกจากตีพระพักตร์บึ้ง ขึงดวงเนตรมองเขาแค่เพียงอย่างเดียว
“ดะ...ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เลิกทำเสียงสั่น เลิกกลัวได้แล้วเจ้าอามิล เจ้าไม่ได้ทำผิดและเราก็ไม่ได้โกรธเจ้าด้วย”
เจ้าชายอีสดรีสส์บอกให้องครักษ์เอกได้สบายใจ รู้ว่าคนที่นั่งอยู่แทบพระบาทกำลังเป็นกังวลคิดว่าเข้าไปขัดจังหวะการทำกิจกรรมยามว่างของพระองค์ ขณะเครื่องบินหลวงกำลังลอยลำเหนือน่านฟ้า
“ฝ่าบาท ไม่ได้โกรธกระหม่อมหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่เข้าไปเอ่อ...ขัดจังหวะความสำราญ”
อามิลย้ำถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เพราะจะให้เขาคิดเป็นอื่นไปได้อย่างไรว่าเจ้าชายจากดินแดนทะเลทราย ซึ่งได้เดินทางมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนในรัฐมิชิแกนได้แค่เพียงเดือนเดียวก็มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของพระองค์ ที่มีสาวๆ ทั้งนางแบบ ไฮโซ ดาราฮอลลีวูด แวะเวียนมาสร้างความสำราญให้พระองค์ไม่ขาดสาย จะไม่ออกกำลังกายเรียกเหงื่อให้ไหลย้อยกับลูกสาวท่านทูตอเมริกา ซึ่งติดสอยห้อยตามเป็นผู้โดยสารสาวเพียงคนเดียวในเครื่องบินหลวง
เจ้าชายอีสดรีสส์ตีพระพักตร์เมื่อยระคนเบื่อหน่าย เมื่อองครักษ์เอกได้สะกิดให้พระองค์นึกถึงคู่ควงคนล่าสุดที่นอนเปลือยอยู่ในห้องนอนหรู
“เจ้าไม่ได้ขัดความสำราญของเราทั้งนั้น เพราะเราไม่เคยมีความสุขหรือสนุกไปกับกิจกรรมรักที่
ลอร่ามอบให้”
“ทำไมฝ่าบาทถึงตรัสเช่นนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยได้ยินว่าคุณลอร่า เอ่อ...เป็นคู่ควงที่น่าเดตด้วยที่สุด”
อามิลนึกหาคำพูดที่จะมาใช้แทนคำว่า ‘เด็ดสุดยอด’ ที่เขาเคยได้ยินจากบรรดาเพื่อนชาย ซึ่งเคยเป็นคู่เดตของ ลอร่า ฮาเรน ลูกสาวของท่านทูต แม้รู้ว่าเพื่อนๆ ของตนไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลยที่กินในที่ลับแล้วไข่ในที่แจ้ง แต่เขาก็จำเป็นต้องทำใจยอมรับฟัง เมื่อลอร่าได้กลายมาเป็นคู่ควงคนล่าสุดของเจ้าชายอีส
ดรีสส์
ลอร่าได้สะบั้นรักกับคนรักของเธออย่างไม่แยแส เมื่อมีโอกาสมาท่องเที่ยวที่มิชิแกนและได้พบกันเจ้าชายอีสดรีสส์เข้า นอกจากความหล่อเหลาบาดใจสาวๆ เป็นนายแบบแถวหน้าได้อย่างสบายๆ แล้ว เจ้าชายอีสดรีสส์เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่ามหาศาล ทั้งสายแร่น้ำมันที่มีเต็มแผ่นผืนทะเลทรายในประเทศดาลิยา ธุรกิจสายการบิน โรงแรม ธุรกิจส่งออกอีกมากมายที่เจ้าชายอีสดรีสส์และพระบิดาได้เป็นหุ้นส่วน
ความหล่อเหลา ความร่ำรวยของเจ้าชายอีสดรีสส์ ทำให้ลอร่าตามติดหนึบ พยายามทำทุกวิธีทางเพื่อพิชิตใจของเจ้าชายจากดินแดนทะเลทรายให้ได้
เจ้าชายอีสดรีสส์ตีพระพักตร์เซ็งสุดชีวิต กระดกบรั่นดีอีกครึ่งแก้วเข้าลำพระศออย่างรวดเร็ว ก่อนจะตรัสตอบองครักษ์ด้วยพระสุรเสียงเนือยๆ ราวกับไม่ใช่คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง ซึ่งมีหญิงสาวขาวจั๊วะ หน้าอกหน้าใจล้นหลามคอยบริการเพลิงสวาท
“บอกตามตรงว่าเราเบื่อลอร่า เบื่อผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมาในชีวิต”
อามิลเบิกตาโต อ้าปากค้าง พลางหยิกต้นแขนตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าเขาไม่ได้ฝันไป ที่ได้ยินเจ้าชายอีสดรีสส์ตรัสบอกว่าเบื่อสาวๆ ซึ่งเคยสร้างความสำราญให้กับพระองค์เสมอ
“กระหม่อมขอฟังชัดๆ อีกสักครั้งได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ เพื่อให้มั่นใจว่ากระหม่อมไม่ได้หูฝาดไป”
“หูเจ้าไม่ได้ฝาดหรอกอามิล และเราก็ไม่ได้เพี้ยนด้วย”
เจ้าชายอีสดรีสส์ดักคออย่างรู้เท่าทันความคิดของผู้ที่เป็นทั้งเพื่อน และเป็นองครักษ์เอกคอยอารักขาความปลอดภัยให้กับพระองค์ จากนั้นได้ถอนพระปัสสาสะเฮือกใหญ่ พร้อมกับบ่นอีกยืดยาว เพราะรู้สึกเบื่อพวกหญิงที่ปากมักจะพร่ำพูดตลอดเวลาว่ารักพระองค์ อยากอยู่กับพระองค์ตลอดไป แต่ความเป็นจริงแล้ว พวกเธอเหล่านั้นรักทรัพย์สมบัติอันมีมูลค่ามหาศาลของพระองค์เสียมากกว่า
“เราเบื่อผู้หญิงทุกคนที่เข้าหาเรา เพราะรู้ว่าเราเป็นเจ้าชายอีสดรีสส์ อัลดาลีฟ เป็นมกุฎราชกุมารแห่งดาลิยา ผู้ที่จะครอบครองทรัพย์สมบัติมูลค่าหลายพันล้านต่อจากพระบิดา เราอยากรู้ว่าหากเราเป็นแค่นายอีส
ดรีสส์ ตาสีตาสาคนจนๆ คนหนึ่ง พวกเธอจะวิ่งเข้าหาเสนอตัวให้เราหรือเปล่า”
“ทำไมฝ่าบาทถึงได้คิดเช่นนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
อามิลแปลกใจอยู่มากที่จู่ๆ เจ้าเหนือหัวก็ตรัสเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ในความแปลกใจก็มีความดีใจรวมอยู่ด้วย ที่เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงคิดจะเพลาๆ เรื่องของผู้หญิงหิวเงินทั้งหลาย
“ก็บอกแล้วไงว่าเราเบื่อพวกผู้หญิงที่ปากบอกว่ารักเราหนักหนา แต่ในใจนั้นกลับค้านว่ารักเงินทองของเราเป็นที่สุด เวลาอยู่กับพวกเธอเรามีความสุขแค่ทางกาย เป็นความสุขแบบฉาบฉวย พอสายลมพัดผ่านก็จางหายไปแล้ว ไม่เคยมีใครทำให้เรามีความสุขอิ่มเอิบใจได้ และที่สำคัญไม่มีใครสามารถปลุกอารมณ์รักของเราให้ลุกพล่านทั่วกายได้ เรากำลังจะกลายเป็นคนกามตายด้าน หากได้อยู่กับพวกผู้หญิงเหล่านี้”