บทที่ 2
บทที่ 2
ภาวินลอบถอนหายใจขณะรถยนต์แล่นเข้าสู่บริเวณฟาร์ม ตรงไปยังบ้านพักที่อยู่กลางฟาร์มเพาะเลี้ยงม้าแห่งนี้ แม้จะเป็นเวลาค่ำคืน แต่เขาก็เห็นได้ว่าฟาร์มของมารดาทรุดโทรมไร้การดูแล ยิ่งได้มาเห็นตัวบ้านพักหลังใหญ่ซึ่งดูเก่ามอซอ ก็ยิ่งสลดใจ หัวสมองเต็มไปด้วยคำถามว่าเงินที่เขาส่งมาให้มารดาทุกเดือน ไม่ต่ำกว่าเดือนละสามแสน ไม่ได้นำมาซ่อมบำรุงตัวบ้านบ้างหรืออย่างไรกัน
ภาวินประคองมารดาลงจากรถเข้าไปในบ้าน พอประคองท่านให้ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาได้แล้ว ก็บอกเด็กรับใช้ให้ละลายยาหอมมาให้ท่านดื่มด้วย
“วิน...พวกมันทำให้น้องหนูตาย วินต้องแก้แค้นให้แม่นะ”
วิริยาเริ่มร้องไห้โฮอีกครั้ง หลังจากออกคำสั่งแกมขอร้องลูกชายไปในตัวด้วย
“เกิดอะไรขึ้นกับน้องหนูครับ”
แม้เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางไกล บินจากรัฐเท็กซัสมายังกรุงเทพฯ ยี่สิบชั่วโมงกว่า แม้อยากนอนพักผ่อนมากเพียงใด แต่ภาวินก็ฝืนร่างกายไว้ อยากรู้สาเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องด่วนลาโลกก่อนวัยอันสมควร
และที่สำคัญอยากรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุให้น้องสาวต้องตาย จนมารดาเขาเจ็บแค้นพร่ำรำพันให้เขาแก้แค้นให้กับรสิตาให้ได้
ผู้เป็นมารดาสูดสะอื้นจนตัวสั่น ยกผ้าเช็ดหน้าในมือซับน้ำตา นึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก่อนจะเล่าให้ลูกชายฟัง
“เมื่อสามเดือนก่อน มีผู้จัดละครติดต่อมาขอเช่าฟาร์มของเราเป็นสถานที่ถ่ายละครเป็นเวลาสองสัปดาห์ แม่เห็นว่าค่าตอบแทนที่เขาให้ค่อนข้างสูงก็เลยตอบตกลง น้องหนูคลั่งไคล้พวกดารา นายแบบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอรู้ว่าจะมีดารามาถ่ายละครที่ฟาร์มก็ดีใจ สั่งให้คนงานในฟาร์มเตรียมการต้อนรับคณะผู้ถ่ายละครให้ดีที่สุด”
ภาวินพยักหน้ารับ พลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาจากมือของมารดา แล้วซับน้ำตาที่ไหลรินเป็นทางยาวให้กับท่าน รอฟังมารดาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อ
“เมื่อพวกเขามาถึงฟาร์ม น้องหนูก็กรี๊ดใหญ่ คอยป้วนเปี้ยนอยู่กับกองถ่าย เพราะเกิดไปถูกใจกับดาราคนหนึ่งเข้า”
“เขาชื่ออะไรครับ” ภาวินถามติดเสียงห้วนถึงดาราหนุ่มคนนั้นในทันที
“แม่ไม่รู้ชื่อจริงของเขา รู้แค่ว่าในกองถ่ายเรียกเขาว่าทินภัทร ซึ่งคงเป็นชื่อที่ใช้ในวงการ ทินภัทรเป็นพระรอง แต่เขาก็หล่อ และเล่นละครเก่งไม่แพ้พระเอก อีกทั้งยังปากหวาน ช่างเอาอกเอาใจเป็นที่หนึ่ง”
“และนั่นทำให้น้องหนูของเรา หลงคารมของมันได้ง่ายๆ”
ภาวินคาดเดาได้ไม่ยาก เด็กสาวที่เพิ่งย่างเข้าสู่วัยรุ่นอย่างน้องสาวของเขา ย่อมหลงในรูปทรัพย์อันหล่อเหลาของบุรุษเพศเป็นธรรมดา
วิริยาพยักหน้าช้าๆ รับคำพูดของลูกชาย “ใช่ลูก น้องหนูรักและคอยตามติดทินภัทรทุกฝีก้าว ไม่ว่าทินภัทรอยู่ที่ไหน ก็จะเห็นน้องหนูอยู่ที่นั่น คอยเป็นไม่ต่างจากเงาของดาราคนนี้”
“มันคงพ่นคำหวานว่ารักน้องหนูเช่นเดียวกัน” ภาวินพูดได้ไม่มีผิด ไม่ต่างจากตามองเห็น
วิริยาสูดสะอื้นจนตัวสั่นโยน พลางเล่าต่อด้วยความเสียใจ “น้องหนูบอกแม่ว่าทินภัทรรักเธอมาก และเธอก็รักทินภัทรมากเช่นเดียวกัน”
“มันหลอกน้องหนู เพื่อจะเจาะไข่แดงเธอ”
ภาวินกัดฟันกรอด กำมือเข้าหากันแน่น ดวงตาคมกริบลุกวาบด้วยไฟโทสะ
“น้องหนูตกเป็นของเขา ตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่ถ่ายละคร เขาจะพาน้องหนูไปเที่ยวในตัวจังหวัดทุกวัน บางคืนก็ค้างในโรงแรม ก่อนจะพาน้องหนูกลับมาในตอนเช้า เขาทำดีกับน้องหนู คอยเอาอกเอาใจทุกอย่าง กระทั่งถ่ายละครเสร็จ กองถ่ายกลับกรุงเทพฯ เดือนแรกเขาก็ยังติดต่อกับน้องหนูดี น้องหนูไปหาเขาที่กรุงเทพฯ อยู่กับเขาเกือบสิบวัน จึงยอมกลับบ้าน”
“ทำไมคุณแม่ไม่ห้ามน้องหนูล่ะครับ ทำไมถึงปล่อยให้น้องหนูไปอยู่กับเขานานๆ แบบนั้น” เอ่ยถามไปแล้ว ภาวินก็ต้องลอบถอนหายใจลึกกับคำตอบที่ได้รับกลับมา
“แม่รักน้องหนู แม่ไม่เคยขัดใจเธอ แม่เห็นลูกมีความสุข แม่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย”
วิริยาบอกเสียงเศร้า นึกไม่ถึงมาก่อนว่าความสุขจะอยู่กับลูกสาวเพียงชั่วขณะเท่านั้น
ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดและทุกข์จนตัวตาย
“ทั้งๆ คุณแม่รู้ว่าเขาหลอกลวง ไม่เคยจริงใจกับน้องหนูเลยหรือครับ”
ภาวินย้อนถามติดโมโหอยู่ไม่น้อย ที่มารดาไม่คิดตำหนิหรือห้ามปรามรสิตา
“แม่ผิดเอง ที่หลงเชื่อคำโกหกของเขา ทินภัทรบอกแม่ว่าเขารักน้องหนู และจะให้พ่อแม่มาสู่ขอน้องหนูทันทีที่เขากลับถึงกรุงเทพฯ แล้ว”
ภาวินไม่อยากกล่าวโทษมารดาไปมากกว่านี้ จึงเอ่ยถามเหตุการณ์ต่อ “เขาเริ่มขาดการติดต่อกับน้องหนูเมื่อไรครับ”
“สองเดือนให้หลัง นานๆ ที ทินภัทรจะโทร.มาหาน้องหนูสักครั้ง และก็สั่งห้ามไม่ให้น้องหนูไปหาเขาที่กรุงเทพฯ ด้วย”
“มันอ้างเหตุผลว่ายังไง ที่ไม่ติดต่อกับน้องหนู”
“งานยุ่ง ติดถ่ายละครดึก ต้องไปถ่ายละครต่างจังหวัดบ้าง ไปต่างประเทศบ้าง นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้น้องหนูไปหาในกรุงเทพฯ และที่ร้ายไปกว่านั้นเขาเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือด้วย”
“น้องหนูคงคลั่งที่ติดต่อกับผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลย”
ภาวินเดาเหตุการณ์ได้ถูกต้องไม่ต่างจากมองเห็นหรืออยู่ในเหตุการณ์ด้วย
“น้องหนูกินไม่ได้ นอนไม่หลับ วันๆ เพ้อหาแต่มัน กระทั่งวันหนึ่ง น้องหนูเป็นลม แม่พาไปหาหมอ...หมอ...บอกว่าน้องหนูท้องได้สองเดือนแล้ว...”
ภาวินถึงกับนิ่งเงียบไปหลายนาที ต่อมาก็ได้ยินเสียงกัดฟันดังกรอด ตามด้วยน้ำเสียงเค้นถามแผ่วเบาติดเศร้าสร้อยกับสิ่งที่ตนเองเพิ่งรู้
“คุณแม่กำลังจะบอกผมว่าน้องหนูตาย...ตาย...พร้อมกับลูกในท้องยังงั้นหรือครับ”
“ชะ...ใช่ลูก น้องหนูตายพร้อมกับลูกในท้อง...” ผู้เป็นมารดาเอ่ยตอบพร้อมกับน้ำตานองหน้า “พอรู้ว่าตัวเองท้อง น้องหนูก็เต็มไปด้วยความดีใจ คิดว่าลูกในท้องเป็นโซ่คล้องใจ ดึงทินภัทรกลับมาหาตัวเองได้ แต่...น้องหนูคิดผิดทั้งหมด แม้จะโทร.ไปบอกกับผู้จัดการส่วนตัวของเขา ทุกอย่างก็เงียบไม่ได้รับการติดต่อจากทินภัทรเหมือนเดิม แล้วก็มีข่าวให้น้องหนูต้องใจสลาย...เมื่อ...เมื่อ...”
เสียงสะอื้นร้องไห้เข้ามาแทนที่คำพูด พอร้องไห้หนักเข้า วิริยาก็ทำท่าจะเป็นลม จน
ภาวินต้องกุมมือมารดาไว้แน่น บีบให้กำลังใจ พลางเอ่ยถามมารดาไปด้วย
“คุณแม่ครับ ถ้าหากทำให้คุณแม่เจ็บปวด ก็อย่าพูดถึงเรื่องถึงความตายของน้องหนูเลยครับ ผมจะแก้แค้นให้กับน้องหนู เพราะนั่นคือสิ่งที่น้องต้องการบอกผม ตอนผมเคาะโลงคุยกับน้อง”
วิริยาดีใจที่ได้ยินภาวินบอกว่าจะแก้แค้นให้รสิตา แต่กระนั้นนางก็จะบอกถึงสิ่งที่ทินภัทรทำกับลูกสาวของเธอ กระทั่งทำให้รสิตาต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย!
“แม่ต้องบอกวิน...วินจะได้รู้ว่าทินภัทรกับผู้หญิงของมันเลวทรามมากเพียงใด พวกมันสมหัวร่วมคิดกันทำร้ายน้องหนู”
“ทินภัทรกับผู้หญิงของเขา?” ภาวินเลิกคิ้วขึ้นสูง ขณะเอ่ยถาม
“ใช่แล้วลูก” วิริยารับคำ เอ่ยเล่าต่อด้วยความคลั่งแค้น “น้องหนูเตรียมตัวจะไปหาทินภัทรที่กรุงเทพฯ เพื่อบอกเขาเรื่องลูกในท้อง จู่ๆ ก็มีข่าวออกมาว่าทินภัทรเดินทางไปเมืองนอก เพื่อร่วมงานรับปริญญาโทของแฟนสาว ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้กำกับละคร ที่เขากำลังจะได้เลื่อนเป็นพระเอก และเป็นลูกเขยในคราวเดียวกัน”
“บัดซบ! แมงดาชัดๆ เกาะผู้หญิงเพื่อไต่เต้าเป็นพระเอก”
ภาวินสบถลั่นห้อง กัดฟันกรอด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน้องสาวของเขาเจ็บปวดเสียใจมากเพียงใด หลังจากได้เห็นข่าวเหล่านี้
“แม่จะไปกรุงเทพฯ กับน้องหนู แต่น้องหนูหนีแม่ไปก่อน แม่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพฯ บ้าง ไม่รู้ว่าทินภัทรกับผู้หญิงของเขา พากันขับไล่ไสส่งน้องหนูอย่างไร เพราะพอกลับมาบ้านแล้ว น้องหนูก็เอาแต่ร้องไห้ ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมให้แม่เข้าไปในห้อง”
วิริยาถอนสะอื้น ยกมือปาดน้ำตา ก่อนจะเล่าต่อด้วยความเจ็บปวดเสียใจ
“กระทั่งเสียงร้องไห้เงียบไป แม่คิดว่าน้องหนูคงเพลียและผล็อยหลับไปแล้ว จึงไปนอนบ้าง พอตอนเช้า ไม่เห็นน้องหนูลงไปทานข้าว แม่จึงมาตามน้องหนู แม่เรียกเท่าไรก็ไม่ตอบ พอเห็นว่าเงียบผิดปกติ แม่เลยให้คนงานพังประตูห้อง และแม่ก็เห็น...เห็นน้องหนู...นอนน้ำลายฟูมปาก...น้องหนูกินยาฆ่าตัวตาย...พร้อมกับลูกในท้อง หลานของแม่ หลานของวิน...”
ผู้เป็นมารดาร้องไห้โฮ สะอึกสะอื้นปิ่มจะขาดใจ ส่วนภาวินกำมือเข้าหากันแน่น กัดฟันดังกรอด ดวงตาลุกโชนไปด้วยไฟแค้นลูกใหญ่ คงเป็นเพราะเหตุนี้ เวลาเขามองภาพของรสิตา จึงรู้สึกเหมือนกับว่าน้องสาวกำลังร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
“ผมจะแก้แค้นให้น้องหนูเอง”
ภาวินเค้นเสียงเย็นยะเยือกน่าสะพรึงกลัว ซึ่งเป็นไปดั่งที่ผู้เป็นมารดาต้องการให้ลูกชายคนนี้แก้แค้นให้กับนางด้วย
“วิน...ตอนน้องหนูตะ...ตาย...ในมือของน้องหนูกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น แม่คิดว่าต้องมีข้อมูลสำคัญอยู่ในโทรศัพท์ของน้องหนูแน่ แต่แม่ไม่มีรหัสเปิดโทรศัพท์ แม่ไม่อยากเอาไปให้ร้านโทรศัพท์ปลดล็อกรหัสให้ แม่ไม่ต้องการให้ข้อมูลเหล่านี้หลุดไปถึงคนอื่น”
“โทรศัพท์อยู่ไหนครับคุณแม่”
“อยู่กับแม่...” เอ่ยตอบไปแล้ว ก็ล้วงหยิบโทรศัพท์มาจากกระเป๋าถือให้ลูกชายด้วย
“วินพอจะรู้รหัสปลดล็อกโทรศัพท์ของน้องหนูไหมลูก”
ภาวินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ พลางนึกถึงตอนที่รสิตาโทรทางไกลระหว่างประเทศไปหาตนเอง พร้อมกับเอ่ยพูดในประโยคแปลกๆ ทว่าในขณะนั้นเขาไม่ได้สนใจเท่าไรนัก