บทที่1 (2)
ภาวินปักธูปกับกระถางธูป ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปใกล้โลงศพ แล้วเคาะโลงเบาๆ พลางเอ่ยถามร่างอันไร้ดวงวิญญาณของน้องสาว
“น้องหนูกำลังจะบอกอะไรพี่ หรือว่าต้องการให้พี่แก้แค้นคนที่ทำให้น้องหนูต้องตาย!”
สิ้นคำถามของภาวิน จู่ๆ ก็เกิดคลื่นลมพัดแรง ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีคลื่นลมแม้แต่นิดเดียว กระทั่งทำให้เปลวเทียนที่จุดหน้าโลงศพดับวูบลง พวกหรีดล้มระเนระนาดไปหลายพวง ทำเอาภาวินต้องตกใจ และคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ในศาลาวัด รวมทั้งมารดาของเขาด้วย ต่างก็หวีดร้องเสียวหลง กอดกันแน่นด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว
ภาวินหลับตาลงชั่วขณะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พอลืมตาขึ้นก็เคาะโลงบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงห้วนจัดอันเต็มไปด้วยความคลั่งแค้น
“ตกลง พี่จะทำตามที่น้องหนูต้องการ น้องหนูไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะตามล่าคนที่ทำให้น้องหนูต้องตาย พี่จะตอบแทนมัน ให้มันเจ็บปวดและทรมานที่สุด”
ภาวินรับรู้ถึงสายลมที่แล่นมาปะทะตัวอีกครั้ง รสิตาส่งสัญญาณให้เขาเช่นนั้น ให้เขาควานหาคนที่ทำให้เธอต้องตาย และแก้แค้นให้กับเธอ เพื่อให้เธอนอนตายตาหลับ
“วิน...วินพูดอะไรกับน้องหนู...จนเกิดลมแรงพวงหรีดลมระเนระนาด” วิริยาโผเข้ามาจับแขนสีแทนของลูกชาย เอ่ยถามทั้งน้ำตานองหน้า
“กลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่าครับ คุณแม่”
“จ้ะ...จ้ะ...ไปคุยกันที่บ้านก็ได้จ้ะ”
ภาวินไม่อยากพูดในขณะมีคนอื่นอยู่ด้วย ชายหนุ่มประคองมารดาให้ไปขึ้นรถยนต์ ซึ่งท่านก็ยอมแต่โดยดี
และก่อนจะขับรถออกไปจากบริเวณลานจอดรถภายในวัด ภาวินก็ไม่ลืมหันไปมองภาพถ่ายของน้องสาวอีกครั้ง แล้วขับรถออกจากวัดมุ่งตรงไปยังบ้านของมารดา ซึ่งเป็นฟาร์มเลี้ยงม้าขนาดกลางภายในจังหวัดเชียงใหม่
เมื่อเจ้าภาพกลับไปหมดแล้ว สัปเหร่อ ก็เก็บเก้าอี้ ตรวจตราดวงไฟ เตรียมปิดศาลาวัด แต่ก็ไม่ทันได้ทำเช่นนั้น เมื่อมีเจ้าของร่างบางในชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท ในมือมีพวกหรีดและซองช่วยงานศพถืออยู่ในมือ ก้าวออกมาจากที่หลบซ่อนในความมืด ตรงไปห้ามสัปเหร่อไม่ให้ปิดประตูศาลาวัด
“คุณลุง อย่าเพิ่งปิดศาลาค่ะ รอสักครู่ได้ไหมคะ”
สัปเหร่อหันมามองตามเสียงเรียกทางด้านหลัง พอเห็นหญิงสาวหน้าตาสละสลวย ค่อนข้างหมองเศร้ายืนถือพวงหรีดกับซองสีขาวอยู่ในมือ ก็เอ่ยถามอย่างงุนงง
“อ้าว...ทำไมเพิ่งมางานศพตอนนี้ล่ะครับคุณ พระสวดจบแล้ว เจ้าภาพก็เพิ่งกลับบ้านไปเมื่อสักครู่นี้เอง ลุงกำลังจะปิดศาลาแล้วครับ”
นารา เจ้าของใบหน้างดงาม จะตอบได้อย่างไรว่าเธอมาถึงงานสวดพระอภิธรรมศพตั้งแต่หัวค่ำแล้ว แต่ไม่กล้าเข้ามาในงาน หญิงสาวแอบเฝ้าดูเป็นนาน กระทั่งเจ้าภาพและแขกทุกคนกลับไปแล้ว ถึงได้โผล่ออกมาจากที่หลบซ่อน เพื่อเคารพศพของผู้ตาย แต่! เมื่อพูดความจริงไม่ได้ จึงจำต้องโกหกให้แนบเนียนที่สุด
“พอดี...นา...”
นาราเกือบหลุดชื่อของตัวเองออกไปด้วยความเคยชิน ก่อนชะงักกึก แล้วเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่และเอ่ยโกหกสัปเหร่อด้วย
“เอ่อ...หนูเป็นเพื่อนของรสิตาค่ะ พอทราบข่าว หนูก็บินมาจากสงขลา กว่าจะมาถึงสนามบิน มาถึงวัดก็ค่ำมากแล้วนะคะ ลุง หนูขอเวลาแค่สิบนาทีไปกราบศพ แล้วลุงค่อยปิดศาลานะคะ”
“ได้ครับ เดี๋ยวลงช่วยเอาพวงหรีดไปวางครับ”
เพราะเห็นใจหญิงสาวที่บินมาไกลจากทางภาคใต้เพื่อมาเคารพศพคนตาย สัปเหร่อจึงทำตามคำขอร้องของหญิงสาว พร้อมกับเอาพวงหรีดไปวางหน้าศพของรสิตาด้วย
นาราจุดธูปพนมมือไหว้อยู่หน้าโลงศพ ใบหน้างามหมองเศร้ามีหยาดน้ำตาเอ่อคลอเบ้า ขณะจ้องมองยังภาพถ่ายของรสิตา
“รสิตา ฉันมาขอโทษคุณแทนเขา...ฉันไม่เคยรู้เรื่องของคุณกับเขาจริงๆ และฉันก็พยายามพูดกับเขาแล้วให้รับผิดชอบคุณกับลูก แต่...แต่...ฉันก็ทำไม่สำเร็จ ฉันเสียใจ และขอโทษที่มีส่วนทำให้คุณต้องตาย ยกโทษ อโหสิกรรมให้กับฉันด้วย...”
นาราพึมพำเสียงสั่นเครือ แล้วก็ต้องขนลุกซู่ด้วยความสะพรึงกลัว เมื่อรู้สึกว่าภาพถ่ายหน้าโลงศพมีชีวิตขึ้นมา พอมองภาพถ่ายอีกครั้ง ราวกับดวงตาของรสิตาจ้องมองเธอเขม็งด้วยความเคียดแค้น ไม่ให้อภัย และไม่อโหสิกรรมกับคำพูดของเธอ
“รสิตา...ฉันขอโทษ...”
นาราเอ่ยพูดกับผู้ตายอีกครั้ง ก่อนจะปักธูปลงในกระถางธูป เคารพศพเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินเร็วๆ ออกมาจากศาลาวัด ตรงไปยังสัปเหร่อที่ยืนรออยู่
“คุณลุงคะ หนูฝากซองไว้ช่วยงานศพด้วยนะคะ และนี่เป็นค่าเสียเวลาของลุงค่ะ”
สัปเหร่อรับธนบัตรใบละพันกับซองสีขาวมาถือในมือ พอเห็นไม่มีชื่อผู้ช่วยงาน ก็เอ่ยทักท้วงหญิงสาวที่กำลังก้าวเดินออกไปจากบริเวณศาลาวัด
“หนู ทำไมไม่เขียนชื่อด้วยล่ะครับ”
นาราหันมามอง เอ่ยตอบเสียงเศร้า “ไม่ต้องเขียนหรอกค่ะ คุณลุง”
“ไม่เขียนแล้วเจ้าภาพจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าใครมาช่วยงานศพ” สัปเหร่อเอ่ยท้วงติง
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องให้พวกเขารู้หรอกค่ะ ว่าใครมาช่วยงานศพ” นารายิ้มเศร้าๆ เอ่ยแผ่วเบาในตอนท้ายแทบไม่พ้นลำคอ
“เพราะพวกเขาคงไม่ให้อภัยนาราแน่ๆ”
สัปเหร่อเกาหัวอย่างงุนงงกับแขกคนสุดท้ายรายนี้ แต่ก็ไม่สามารถทักท้วงอะไรได้ เพราะเจ้าของร่างบางในชุดไว้ทุกข์สีดำได้เดินออกจากบริเวณวัดจนลับสายตาไปแล้ว
นาราเดินไปยังรถยนต์ที่เธอเช่าบริการมาจากสนามบิน พร้อมทั้งคนขับรถด้วย และก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ หญิงสาวหันไปมองยังทิศทางที่ตั้งของศาลาวัดด้วยใบหน้าหมองเศร้า แล้วเอ่ยออกมาฝากกับสายลมส่งไปถึงดวงวิญญาณของรสิตาด้วย
“รสิตา...ฉันพยายามทำทุกอย่างแล้วเพื่อให้เขากลับมาหาคุณ แต่ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากฉันเดินออกมาจากชีวิตของเขาแล้ว กระทั่งมารู้ข่าวว่าคุณฆ่าตัวตายพร้อมกับ...ลูก...ฉันขอโทษอีกครั้ง...รสิตา...”
หยาดน้ำตาแห่งความเสียใจหลั่งรินมาตามพวงแก้มขาวซีด ขณะเจ้าตัวก้าวขึ้นไปนั่งในรถยนต์ ก่อนจะเคลื่อนออกไปจากบริเวณวัด
นาราซบหน้าลงกับกระจกรถอันเย็นเฉียบ ปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลเป็นทางยาว นึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และนึกเสียใจที่ตนเองไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นไปกว่านี้ กระทั่งทุกอย่างต้องจบลงด้วยชีวิตของรสิตาและลูกน้อยในท้องในวัยสองเดือน!