บทที่ 5 (2)
“ปล่อยดิฉันเดี๋ยวนี้น่ะ ถึงแม้ไม่มีสิทธิ์ขัดคำสั่งของเจ้านายในเรื่องงาน แต่ดิฉันก็มีสิทธิ์ขัดขืนการล่วงเกินของคุณ”
“การโอบกอดแค่นี้เขาไม่เรียกว่าล่วงเกินหรอกน้ำเหนือ ต้องทำแบบนี้ถึงจะเรียกว่าล่วงเกิน”
สิ้นเสียงกระซิบคำรามริมฝีปากร้อนผะผ่าวก็ฉกวูบกระแทกจุมพิตดุดันบนเรียวปากสีหวาน เจ้าชายหนุ่มกดจุมพิตเร่าร้อนรุนแรงเพื่อเป็นการสั่งสอนคนที่ปากกล้าให้สงบนิ่งและเมื่อได้รับน้ำทิพย์หวานฉ่ำชะโลมใจให้อิ่มเอิบซาบซ่านทั่วกายก็ทำเอาลืมตัวปล่อยกายใจไปกับความหอมหวานที่กำลังดูดชิมคล้ำคลึงอยู่เบื้องหน้า
นีราพรรณตะลึงงันนิ่งขึงทำอะไรไม่ถูกเมื่อริมฝีปากสีสดที่เห็นอยู่ใกล้ๆ ได้กดจุมพิตดุดันเร่าร้อนระคนอ่อนหวานลงมาบนริมฝีปากของตนเอง จุมพิตแรกในชีวิตก่อให้เกิดความหวานซาบซ่านแล่นพล่านจากหัวจรดปลายเท้าจนทำให้หญิงสาวมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก มือไม้อ่อนไร้เรี่ยวแรงจนต้องเอนกายพิงอกกว้างไว้เพื่อไม่ให้เรือนกายของตนเองล้มลงไปกองกับพื้นห้อง อาการเคลิบเคลิ้มตกอยู่ในภวังค์วังวนของรสจุมพิตเสน่หาที่เจ้าชายฮารีฟร์มอบให้มีอันต้องสิ้นสุดลงเมื่อมือใหญ่ร้อนรุ่มต้องสัมผัสกับปทุมอวบอิ่มทั้งสองข้าง นีราพรรณสะดุ้งเฮือกหลุดพ้นจากรสจุมพิตเร่าร้อน ใบหน้างดงามแดงก่ำอันเกิดจากพิษของหนวดเคราที่ทิ่มแทงตามพวงแก้ม เธอพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดขืนกายผละออกแล้วผลักร่างใหญ่โตของเจ้าชายฮารีฟร์ให้ถอยหายออกไปและทันทีที่ได้รับอิสระจากปราการแข็งแกร่งมือบางก็ตวัดตบลงไปบนใบหน้าคมเข้มสุดแรงเกิด
เผี้ยะ!!...
“นี่คือสิ่งตอบแทนที่เจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างคุณได้ดูถูกผู้หญิงอย่างดิฉัน”
นีราพรรณตวาดต่อว่าเจ้าแห่งทะเลทรายดวงตาแข็งกร้าวใบหน้างามแดงก่ำเชิดขึ้นท้าทายอีกฝ่ายโดยไม่นึกหวาดเกรง
เจ้าชายฮารีฟร์ถึงกับตะลึงตัวชาคาดไม่ถึงว่านีราพรรณจะใจกล้าขนาดตบหน้าเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ได้ ถ้าหากอานีสต์หรือองครักษ์คนอื่นเห็นเข้าคงได้ลากตัวหญิงสาวไปประหารเป็นแน่ ใบหน้าคมที่ถูกตบจนหน้าหันมีรอยนิ้วทั้งห้าปรากฎขึ้นทันตาเห็น เจ้าแห่งทะเลทรายขบกรามดังกรอดๆ กำมือแน่น นัยน์ตาที่จ้องมองหญิงเดียวในโลกที่บังอาจทำร้ายเจ้าแห่งชีวิตของชาวอัลนูรีนทั้งประเทศลุกโชนด้วยดวงไฟลูกใหญ่
นีราพรรณผงะถอยหลังเมื่อได้เห็นใบหน้าถมึงทึงอาการโกรธาจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พอเจ้าชายฮารีฟร์ย่างสุมเท้าเข้าหาเธอก็ก้าวถอยหลังไปอีกก้าวแต่ก็หลบหนีไฟพิโรธได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกกระชากให้ตกมาอยู่ในอ้อมแขนแข็งปานเหล็กไหลของเจ้าแห่งทะเลทรายอีกครั้ง หญิงสาวหลับตาแน่นรอรับการลงทัณฑ์วิธีเดียวกันจากคนตัวใหญ่
“เจ้ากล้ามากเลยน่ะน้ำเหนือ ไม่เคยมีใครกล้าทำร้ายเจ้าแห่งทะเลทรายอย่างเราและนี่คือสิ่งตอบแทนสิ่งที่เจ้าบังอาจตบหน้าเรา“
โทษทัณฑ์ที่นีราพรรณได้รับจากเจ้าชายฮารีฟร์คือริมฝีปากร้อนผะผ่าวที่กระแทกจุมพิตดุดันไร้ความปราณีไร้ซึ่งความอ่อนหวานจนทำให้เธอรับรู้ได้ถึงรสเค็มของเลือดที่ซึมจากเรียวปากอวบอิ่มของตนเอง
“เจ้าเหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง 30 นาทีสำหรับการทำงานตามที่เราสั่ง”
เจ้าชายฮารีฟร์กระชากเสียงห้วนขีดเส้นตายให้นีราพรรณอีกครั้ง มือใหญ่ผลักร่างบอบบางออกอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่านีราพรรณจะล้มลงไปกระแทกกับเก้าอี้หรือโต๊ะทำงานที่อยู่ใกล้ๆ
นีราพรรณมองตามแผ่นหลังของเจ้าแห่งทะเลทรายที่กระแทกเท้าเดินออกไปจากห้องทำงานด้วยสายตาร้าวรานจากนั้นก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อประตูบานใหญ่ถูกกระแทกปิดดังสะเทือนราวกับบานประตูจะหลุดลงมาทั้งบาน หยาดน้ำตาที่พยายามสะกดกักเก็บไว้ข้างในร่วงพรูลงมาเป็นทางยาว ใบหน้างามซบลงกับฝ่ามือตนเองร่ำไห้กับโชคชะตาที่ถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าแห่งทะเลทรายผู้ยิ่งใหญ่ กรรมใดที่เคยทำไว้ชาติไหนหนอ?...ที่ทำให้เธอต้องมาพานพบกับชายหนุ่มที่ใจร้ายดุจดังเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์
เจ้าชายฮารีฟร์เผ่นออกมาจากห้องทำงานของตนเองได้แล้วก็ตรงดิ่งไปยังห้องทำงานขององครักษ์คนโปรดแทบทันที นีราพรรณช่างยั่วอารมณ์ดิบเถื่อนของเขาให้เดือดพล่านได้ถึงสุดขีด
“อานีสต์...ขออะไรดับร้อนสักแก้วสิ”
เจ้าชายหนุ่มรูปงามทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างอ่อนแรง ไฟรักที่ร้อนรุ่มแล่นพล่านทั่วกายอันเกิดจากฝีมือของนีราพรรณทำให้เขาปวดร้าวทั่วแก่นกาย ถ้าหากให้อยู่ในห้องทำงานร่วมกันคนที่ปลุกราชสีห์ให้ตื่นตัวต่ออีกวินาทีเดียวเขาคงได้จับนีราพรรณบรรเลงลำนำรักร่วมกันเป็นแน่
อานีสต์กับวาอีน์หันมามองสบตากันพลางขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจกับคำสั่งของเจ้าเหนือหัว ทำไมถึงบอกว่า ‘ร้อน’ ห้องนี้เปิดแอร์เย็นฉ่ำจนพวกเขารู้สึกว่าหนาวเสียด้วยซ้ำไป
“พระองค์รับอะไรดีพะยะค่ะ”
อานีสต์ผุดลุกขึ้นจากก้าวเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ เรือนร่างใหญ่โตที่เอนตัวพิงกับพนักโซฟาด้วยท่าที่ติดอ่อนล้าระโหยโรยแรง ขณะที่เอ่ยถามความต้องการของเจ้าแห่งชีวิตองครักษ์มือหนึ่งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะหญิงสาวที่งดงามอย่างนีราพรรณหรือเปล่าที่ทำให้เจ้าชายฮารีฟร์รู้สึก ‘ร้อน’ จนต้องเผ่นแนบมาที่ห้องทำงานของตน
เจ้าชายฮารีฟร์หลับตาลงนิ่งๆ พร้อมกับเอ่ยสั่งองครักษ์ด้วยซุ่มเสียงที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
“บรั่นดี วิสกี้หรือเหล้ายี่ห้ออะไรก็ได้เจ้าไปรินมาให้เราเดี๋ยวนี้”
“เปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้เย็นๆ แทนดีไหมพะยะค่ะ กระหม่อมคิดว่าบรั่นดีจะทำให้พระองค์ร้อนยิ่งกว่าเดิม”
“เจ้าอยากเอาเครื่องดื่มอะไรมาให้เราก็เอามาเถอะ”
“พระองค์รอสักครู่พะยะค่ะ กระหม่อมจะให้วาอีน์ชงเครื่องดื่มเย็นๆ มาถวายพระองค์”
อานีสต์จัดแจงเปลี่ยนเครื่องดื่มดับความร้อนให้แก่เจ้าชายหนุ่ม จากนั้นก็หันไปส่งสัญญาณให้วาอีน์ไปชงเครื่องดื่มมาให้เจ้าชาย
“พระองค์ไม่สบายหรือเปล่าพะยะค่ะ”
อานีสต์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเห็นอาการของเจ้าแห่งชีวิตแล้วทำให้อยากรู้ขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในห้องทำงานใหญ่
เจ้าชายฮารีฟร์ลืมตาขึ้นพร้อมกับถอนหายใจยาวด้วยความอ่อนใจ
“เราสบายดีอานีสต์ ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วง”
“ถ้าพระองค์บอกว่าสบายดี ทำไมถึงได้มีอาการอ่อนล้าเช่นนี้ล่ะพะยะค่ะ”
ความเป็นห่วงเจ้าเหนือหัวยิ่งกว่าชีวิตของตนเองทำให้องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์อย่างอานีสต์เอ่ยถามเจ้าชายหนุ่มอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเจ้าแห่งชีวิตสุขสบายดี
เจ้าชายฮารีฟร์โบกมือว่อนเอ่ยปฏิเสธออกมาให้คนถามได้สบายใจ
“ก็บอกแล้วไงว่าเราสบายดี เจ้าอย่าได้ทำตัวเป็นพ่อแก่ที่น่ารำคาญ”
อานีสต์รีบทรุดตัวลงนั่งแทบเท้าของเจ้าชายผู้องอาจ ใบหน้าที่หล่อเหลาไม่แพ้เจ้าเหนือหัวซีดเผือดขณะที่เอ่ยบอกความในใจของตนเอง
“กระหม่อมขอประทานอภัยที่ทำให้พระองค์รู้สึกรำคาญ แต่กระหม่อมเป็นห่วงพระองค์จริงๆ”
“เรารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเรา”
มือใหญ่ที่กุมแผ่นผืนทะเลทรายที่มีทรัพยากรใต้เม็ดทรายมูลค่านับร้อยล้านเอื้อมไปแตะบนบ่ากว้างของคนที่เป็นทั้งองครักษ์และเป็นทั้งเพื่อนรักจากนั้นก็เอ่ยพึมพำลอยๆ ออกมาด้วยความทุกข์ใจ
“ทำไมมีความรักแล้วต้องก่อให้เกิดความทุกข์ด้วย”
อานีสต์จ้องมองเจ้าเหนือหัวด้วยความแปลกใจ เจ้าชายฮารีฟร์ไม่เคยมีอาการท้อแท้ผิดหวังในเรื่องความรักให้เห็นมาก่อน
“พระองค์กำลังหมายถึงคุณน้ำเหนือหรือเปล่าพะยะค่ะ”
“ใช่...เราทะเลาะกับน้ำเหนือถึงได้เผ่นแนบมาอยู่ที่นี่ไง ถ้าหากให้เราอยู่ใกล้ชิดกับน้ำเหนือต่ออีกแค่วินาทีเดียวเราคงได้จับเธอปล้ำเป็นแน่”
วาอีน์แทบทำน้ำผลไม้ในแก้มทรงสูงหลุดจากมือขณะที่เดินเข้ามาได้ยินถ้อยคำที่เจ้าแห่งชีวิตเอื้อนเอ่ยออกมา เขาทรุดตัวลงนั่งแล้วถวายน้ำผลไม้ให้เจ้าชายจากนั้นก็ก้มหน้านิ่งเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้หลุดรอดออกมา ตั้งแต่ถวายการอารักขาให้กับเจ้าชายฮารีฟร์มาครึ่งชีวิตของตนเขาเพิ่งเคยได้ยินเจ้าชายบ่นเรื่องนี้ออกมาเป็นครั้งแรก
เจ้าชายฮารีฟร์ขึงตาใส่องครักษ์ทั้งสองที่ทรุดตัวลงนั่งแทบเท้าของตนเอง
“พวกเจ้าหยุดทำสีหน้าแปลกใจได้แล้ว น้ำเหนือเป็นหญิงสาวคนแรกและคนเดียวที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนี้ พวกเจ้าไปทำงานต่อเถอะ เราขอพักอยู่ที่นี่เงียบๆ ก่อนจะกลับไปเผชิญหน้ากับน้ำเหนืออีกครั้ง”
เจ้าชายหนุ่มรูปงามเอ่ยปากไล่องครักษ์ทั้งสอง นัยน์ตาคมกริบหลับตาลงช้าๆ พลางถอนหายใจยาวกับความรักที่มาพร้อมกับความทุกข์ทำให้เจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่องอาจอย่างเขาต้องหลบมานั่งซึมเศร้าอยู่เพียงผู้เดียว...
หลังจากที่เจ้าชายฮารีฟร์กระแทกเท้าออกไปจากห้องทำงาน นีราพรรณก็ซบหน้าร้องไห้จนหนำใจจากนั้นจึงได้รีบสะสางงานตามคำสั่งของคนบ้าอำนาจ ลำพังแค่สรุปผลการประชุมไม่ได้เป็นงานที่หนักหนาอะไร แต่การสรุปสถานการณ์ทั้งหมดภายในโรงแรมที่ใหญ่โตแห่งนี้ต่างหากที่เป็นงานหนักถึงแม้จะรีบทำงานอย่างเต็มที่จนเวลาล่วงมาเกือบเที่ยงวันนีราพรรณก็ไม่สามารถทำให้เสร็จทันตามเวลาที่กำหนดได้
นีราพรรณวางมือจากแป้นคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คเมื่อเห็นว่าเหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงวันแล้ว ดวงตากลมโตมองนาฬิกาข้อมือสลับกับประตูห้องทำงาน เจ้าชายฮารีฟร์ออกไปจากห้องทำงานเป็นเวลานานแล้วและไม่มีวี่แววว่าจะกลับเข้ามาที่ห้องสักที แต่ก็ดีเหมือนกันที่ไม่มีนัยน์ตาคมกริบคอยจ้องมองตลอดเวลาที่นั่งทำงานซึ่งทำให้เธอประหม่าสมาธิกระเจิดกระเจิงทำงานไม่รู้เรื่อง
หญิงสาวลุกขึ้นบิดตัวไปมาเพื่อไล่อาการเมื่อยขบจากการนั่งนานๆ จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องน้ำทำธุระส่วนตัว สำรวจความเรียบร้อยของผมเผ้าหน้าตาก่อนจะกลับมาโต๊ะทำงานอีกครั้ง เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นติดกันหลายครั้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ ทำให้ร่างบอบบางต้องรีบเดินเป็นวิ่งมาหยิบมือถือ เบอร์โทรที่โชว์ขึ้นบอกว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์จากทางบ้านทำให้เธอใจไม่ดี นิ้วเรียวยาวรีบกดรับสายทันทีเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งทำไมทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปดังใจเธอคาดคิดด้วยเพราะทันทีที่กดรับสายหญิงสาวก็ได้ยินเสียงสะอื้นร้องไห้ของ ‘ป้าจัน’ แม่บ้านคนเก่าคนแก่ของตระกูลร่ำไห้สะอึกสะอื้นมาตามสาย
“คุณน้ำเหนือคะ...คุณพ่อ...แย่...แล้ว...ช็อกหมดสติ...คุณหนู...คุณหนูรีบตามมาที่โรงพยาบาลนะคะ”
นีราพรรณทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าหวานลออซีดเผือดไร้ซึ่งสีเลือดขณะที่ฟังเสียงร้องไห้เอ่ยบอกขาดห้วนของแม่บ้าน คุณพ่อทรุดหนักเป็นไปได้ยังไงก็เมื่อเช้าก่อนที่เธอจะออกมาทำงานท่านยังให้พยาบาลพามาส่งเธอหน้าบ้านอยู่เลย
“ป้าจันคะ ใจเย็นๆ นะคะ คุณพ่อเป็นอะไรคะ”
หญิงสาวพยายามตั้งสติไม่ให้ตื่นตระหนกตกใจมากเกินไปในใจนึกปลอบตนเองว่าคุณพ่อคงไม่เป็นอะไรมากอาจนอนให้หมอดูอาการใส่น้ำเกลือสักวันสองวัน แต่เมื่อได้ยินคำตอบจากปลายสายที่ยังสะอื้นร้องไห้เอ่ยตอบขาดห้วงเหมือนเดิมทำให้หญิงสาวตกใจมือไม้สั่นไปหมด
“ตอนนี้คุณท่านอยู่ห้องไอซียูยังไม่เลยว่าอาการเป็นยังไงบ้าง คุณน้ำเหนือรีบมาเร็วๆ นะคะ ป้า...ป้าทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
“น้ำ...น้ำเหนือจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
เสียงที่เอ่ยตอบแม่บ้านสั่นเครือด้วยความตกใจคาดไม่ถึงว่าอาการเจ็บป่วยของบิดาจะทรุดลงถึงเพียงนี้ คุณหมอประจำไข้เคยบอกว่าอาการของบิดาเธอจะทรงตัวไปเรื่อยๆ ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ทำให้สะเทือนใจ หรือว่า?...พ่อจะรู้เรื่องของแม่แล้ว ยิ่งคิดยิ่งทำให้เจ้าตัวเครียดหวาดหวั่นหวาดกลัวว่าจะเสียบิดาไป
นีราพรรณคว้ากระเป๋าสะพายมาจากโต๊ะทำงานจากนั้นก็วิ่งตรงไปยังประตูห้องกำลังจะจับลูกบิดแต่ประตูบานใหญ่ก็ถูกกระชากเปิดออกกว้างด้วยเจ้าของมือใหญ่โตที่ยืนจังก้าตีหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงช่องธรณีประตู
“ถอยไปค่ะ ดิฉันกำลังรีบ”
หญิงสาวตวาดสั่งเจ้าแห่งทะเลทรายอย่างลืมตัว ตอนนี้เธอไม่มีเวลามาปะทะคารมกับใครทั้งนั้น อาการเจ็บป่วยเป็นตายเท่ากันของบิดาทำให้เธอยกมือผลักเรือนร่างกำยำให้พ้นทางประตูเมื่อเจ้าชายฮารีฟร์ไม่ยอมหลบทางให้ง่ายๆ
“เจ้าจะรีบไปไหนน้ำเหนือ”
เจ้าชายฮารีฟร์จับต้นแขนเนียนทั้งสองข้างไว้แน่นแล้วดึงเรือนร่างบางระหงมาปะทะอกกว้าง กลิ่นหอมละมุนของกายสาวกอปรกับเรียวปากอิ่มเอิบหวานฉ่ำที่อยู่ใกล้แค่ปลายริมฝีปากสัมผัสทำให้เขาชักเลือนๆ อยากกดประทับจุมพิตดูดชิมความหอมหวานชื่นฉ่ำกายอีกสักครั้ง
“ปล่อยค่ะ ดิฉันมีธุระสำคัญต้องรีบไปเดี๋ยวนี้”
นีราพรรณพยายามขืนกายดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการของอ้อมแขนอบอุ่นที่ทำให้ใจเธอสั่นรัวทุกคราที่เข้าใกล้
“ธุระของเจ้าคืออะไรน้ำเหนือ”
เจ้าชายกระซิบถามชิดกับเรียวปากสีหวาน ลมหายใจอุ่นหอมสะอาดของนีราพรรณที่เป่ารินรดทั่วแก้มสากปลายจมูกโด่งงามทำให้หัวสมองแล่นพล่านเรื่องนึกถึงความคิดของตนเองก่อนหน้านี้ ให้ตายเถอะ...เข้าใกล้นีราพรรณคราใดทำให้แก่นกายเขาทรยศอยากจะร่วมรักกับนีราพรรณทุกคราวไป
นีราพรรณส่ายหน้าปฏิเสธกัดเม้มริมฝีปากแน่นเธอไม่ยอมบอกเรื่องความเจ็บป่วยของบิดาให้เจ้าชายผู้เย่อหยิ่งไร้หัวใจดุจดังเจ้าชายฮารีฟร์ได้รับรู้เป็นอันขาดเพราะเธอรู้ว่าเธอจะไม่ได้รับเมตตาปราณีจากอีกฝ่ายนอกจากการตอกย้ำย่ำยีให้เธอเจ็บปวดลงไปมากกว่าเดิม หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงเท่าที่มีทั้งหมดจากนั้นก็ผลักอกกว้างปานหินผาให้ถอยออกห่าง เท้าเล็กในรองเท้าส้นสูงรีบก้าวยาวๆ ให้พ้นจากรัศมีที่เจ้าแห่งทะเลทรายจะเอื้อมถึง
“ดิฉันขอลางานครึ่งวันไปทำธุระส่วนตัว”
ไม่ต้องรอให้เจ้านายอนุญาตทันทีที่เอ่ยบอกเสร็จนีราพรรณก็วิ่งตรงไปที่ลิฟท์โชคดีที่ปยุตคณะกรรมการของโรงแรมกำลังกดเรียกลิฟท์อยู่พอดีหญิงสาวจึงรีบดึงปยุตเข้าไปในลิฟท์แล้วกดปิดอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เจ้าชายฮารีฟร์จะห้ามไว้ทัน
“บัดซบ!...”
เจ้าชายสบถคำรามลั่นทุบมือกับผนังทางเดินด้วยความโมโหฉุนเฉียว นัยน์ตาคมกริบลุกวาวด้วยลูกไฟดวงใหญ่แทบจะฆ่าใครสักคนได้ตอนที่เห็นนิ้วเรียวยาวของนีราพรรณจับต้นแขนของไอ้คณะกรรมการหน้าจืดแล้วดึงเข้าไปในลิฟท์ด้วยกัน ธุระส่วนตัวของเธอคือการไปกับไอ้หน้าจืดคนนี้หรอกหรือ?
“น้ำเหนือ...กล้าดียังไงที่ไปกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตาเรา กลับมาเมื่อไหร่เจ้าจะได้รู้จักเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์มากกว่านี้”