บทย่อ
มื่อโรงแรมและคฤหาสน์ที่พ่อสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงได้ถูกแม่ขายทอดตลาดให้กับเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่แห่งอัลนูรีนนีราพรรณ กมลเนตร จึงยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาสิ่งที่พ่อรักและหวงแหนไว้ แม้กระทั่งการยอมตกเป็นของเล่น...เป็นนางบำเรอให้กับเจ้าแห่งทะเลทรายผู้เย่อหยิ่งเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ยอมเป็นเจ้าชายผู้ไร้ซึ่งหัวใจในสายตาของนีราพรรณเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งหัวใจของหญิงงามชาวสยามที่ตนเองได้มอบหัวใจอันแข็งแกร่งดุจหินผาให้ตั้งแต่แรกพบสบตา...เจ้าชายผู้กอบกุมแผ่นผืนเม็ดทรายไว้กำมือจะทำเช่นไรเพื่อให้ได้มาซึ่งหัวใจของหญิงงามอันเป็นดุจดังแก้วตาดวงใจนีราพรรณจะทำเช่นไรเพื่อให้ได้หัวใจของเจ้าชายหนุ่มที่เธอเคยปรามาสไว้ว่าเป็นเจ้าชายที่ไร้ซึ่งหัวใจ...รักแท้ที่ยึดมั่นภักดีเท่านั้นที่จะมีคำตอบให้กับหญิงงามชาวสยามและบุรุษชาติชาวอาหรับ
บทที่ 1 (1)
สภาพการจราจรบนท้องถนนในเช้าวันจันทร์วันแห่งการรีบเร่งไปทำงานของมนุษย์เงินเดือนต่างก็เต็มไปด้วยรถราหลากหลายยี่ห้อหลากสีสัน การจราจรที่ค่อนข้างแออัดรถราที่ติดแล้วติดอีกจนแทบเคลื่อนตัวไม่ได้ทำให้ผู้ที่สัญจรรีบเร่งต่างก็หงุดหงิดอารมณ์เสียไปตามๆ กัน ตัวเลขสัญญาณไฟจราจรตรงบริเวณสี่แยกที่เปลี่ยนเป็นไฟแดงทำให้รถที่ขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนนได้ชะลอความเร็วรถลงแล้วจอดสนิทตามสัญญาณไฟ แต่รถบีเอ็มดับบลิวที่ขับโดยสารถีสาวสวยไม่ได้หยุดตามสัญญาณไฟ อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในเช้าวันทำงานที่รีบเร่งก็ได้เกิดขึ้นทันที
โครม!!...
รถเก๋งบีเอ็มดับบลิวที่คนขับสาวแสนสวยใจลอยติดอยู่ในอาการโศกเศร้าไม่ได้มองสัญญาณไฟจราจรได้ไถลเข้าไปสัมผัสฝากรอยจูบให้กับรถเบ็นซ์คันใหญ่สีดำสนิทใหม่เอี่ยมมันปลาบ หญิงสาวผู้งดงามเจ้าของรถเก๋งบีเอ็มดับบลิวตกใจหน้าถอดสีเผือด มือไม้สั่นเทากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ยิ่งได้เห็นเจ้าของรถที่มีเรือนร่างสูงใหญ่ล่ำสันในชุดสูทสากลสีน้ำเงินเข้มก้าวลงมาจากประตูด้านหลังรถด้วยใบหน้าถมึงทึงดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรีลุกวาวด้วยไฟพิโรธยิ่งทำให้หญิงสาวหวาดกลัวสั่นเทาเข้าไปอีก
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ กระแทกประตูรถปิดดังปัง! เหลือบสายตามองไฟท้ายและตัวรถที่ยุบเข้าไปทั้งแถบด้วยความโมโหโกรธาพลางก้าวเท้าฉับๆ มากระชากประตูรถของคู่กรณีเปิดออกกว้าง
นีราพรรรณค่อยๆ หย่อนเท้าที่สั่นเทาไร้เรี่ยวแรงลงจากรถอย่างเชื่องช้า พอได้เห็นสภาพท้ายรถเบ็นซ์คันงามป้ายแดงลมแทบใส่ ร่างบางระหงเอนตัวพิงรถเก๋งของตนเองอย่างต้องการที่พึ่ง สีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดเมื่อนึกถึงค่าซ่อมรถหรูที่เธอต้องเป็นผู้ควักเงินจ่าย
“เอ่อ...Sorry...”
นีราพรรณเอ่ยขอโทษเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักหวาดกลัวต่อสายตาคมกริบที่จ้องมองอย่างพร้อมที่จะเอาเรื่องทุกวินาที แต่ไม่ทันได้เอ่ยพูดประโยคต่อไปหญิงสาวก็ต้องผงะถอยหลังเมื่อบุรุษหนุ่มรูปงามตวาดลั่นเสียงห้วน
“ไม่ต้องมาขอโทษ”
เจ้าชายฮารีฟร์กระชากเสียงห้วนตวาดต่อว่าเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำยิ่งกว่าเจ้าของภาษาเสียอีก
“ขับรถภาษาอะไรไม่เห็นหรือไงว่ารถข้างหน้าจอดติดไฟแดงอยู่”
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ บุรุษหนุ่มรูปงามเรือนร่างใหญ่โตกำยำบึกบึนลูกครึ่งไทย-อาหรับ เจ้าชายแห่งประเทศ ‘อัลนูรีน’ ประเทศเกิดใหม่ทางแถบตะวันออกกลางซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยสายแร่น้ำมันนับร้อยๆ บ่อที่ขุดขายทั้งชาติก็ไม่มีหมด เจ้าชายฮารีฟร์เจ้าชายมาดเข้มหล่อเหลาที่ทำให้สาวๆ ที่ได้พบเห็นหัวใจแทบละลายได้ยกมือขึ้นดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือเรือนแพงก่อนจะปรายตามองสาวสวยเรือนร่างอรชรที่ยืนซีดพิงรถตัวเองอยู่ด้วยความหงุดหงิดที่อีกฝ่ายทำให้ตนเองต้องเสีย
เวลาเพราะอุบัติเหตุที่ไม่สมควรเกิดขึ้น
นีราพรรณหันไปมองไฟจราจรที่ขึ้นเป็นสีแดงอย่างที่อีกฝ่ายต่อว่าพร้อมกับหลุบสายตามองที่ท้ายรถเบ็นซ์อีกครั้ง เธอผิดเต็มประตูเหมือนที่บุรุษชาติชาวอาหรับคนนี้กำลังต่อว่าจริงๆ นั่นแหละ เพราะมัวแต่ใจลอยเสียใจกับเรื่องที่ทะเลาะกับ
มารดาเมื่อช่วงเช้าก่อนที่จะออกมาทำงานทำให้เธอไม่มีสมาธิในการขับรถ
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ องครักษ์เอกซึ่งทำหน้าที่อารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าชายฮารีฟร์ พร้อมกับองครักษ์อีกคนซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีได้ก้าวลงมาจากรถแล้วเดินไปสำรวจความเสียหายท้ายรถจากนั้นก็สาวเท้าเข้ามาหยุดยืนข้างๆ เจ้าเหนือหัวของตน ส่วนรถเบ็นซ์สีดำอีกคันที่จอดอยู่ด้านหน้ารถของเจ้าชายฮารีฟร์เป็นรถของเหล่าองครักษ์ เมื่อองครักษ์ที่ทำหน้าที่ขับรถเหลือบสายตามองกระจกมองหลังเห็นว่าเจ้าเหนือหัวของตนได้ก้าวลงมาจากรถเบ็นซ์คันงามจึงรอจนกระทั่งไฟเขียวแล้วขับรถชิดข้างไหล่ทางและก้าวลงจากรถมาอารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าเหนือหัวเช่นเดียวกันกับองครักษ์กลุ่มแรก
“เอายังไงดีพะยะค่ะ”
อานีสต์เอ่ยถามเจ้าเหนือหัวด้วยภาษาอาหรับ ออกจะเห็นใจหญิงสาวที่แสนงดงามราวกับนางฟ้าซึ่งยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ข้างๆ รถ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้ยินว่าเจ้าเหนือหัวของตนต่อว่าคู่กรณีอย่างไรบ้างแต่เขาก็พอเดาออกว่าถ้อยคำที่หลุดมาจากริมฝีปากสีสดของเจ้าชายฮารีฟร์คงทำให้หญิงสาวผู้นี้รู้สึกผิดเอามากๆ
เจ้าชายฮารีฟร์หันไปมององครักษ์เอกครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบเป็นภาษาอาหรับเช่นเดียวกัน
“เจ้าโทรไปบอกคณะกรรมการโรงแรมบอกให้รู้ว่าเราจะเข้าไปที่บริษัทช้ากว่าเวลาที่กำหนดเล็กน้อย”
“แล้วเรื่องรถละพะยะค่ะ”
อานีสต์โค้งคำนับรับคำสั่งเจ้าชายพลางเอ่ยถามถึงปัญหาที่ยังคาราคาซังอยู่กลางท้องถนน
“ประชุมเสร็จค่อยส่งซ่อม”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยตอบห้วนๆ ตลอดเวลาที่สนทนากับองครักษ์เอก นัยน์ตาคมกริบได้จับจ้องมองแน่นิ่งอยู่ที่ใบหน้างามหวานติดซีดเซียว เขายอมรับว่าหญิงสาวผู้นี้งดงามชวนพิศยิ่งนัก เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวระลงมาถึงกลางหลังถูกเจ้าตัวรวบไว้ง่ายๆ ด้วยริบบิ้นสีดำ ถ้าหากได้ลูบไล้แตะสัมผัสด้วยฝ่ามือร้อนผ่าวคงให้ความนุ่มนิ่มละมุนละไมยิ่งกว่าผ้าไหมใดๆ ในโลก เรียวปากอิ่มเอิบสีหวานคงให้รสชาติที่หวานล้ำชื่นฉ่ำกาย เจ้าชายฮารีฟร์ตีหน้าบึ้งรู้สึกตกใจกับความคิดของตนเองยิ่งนักที่คิดไปไกลกับหญิงสาวที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม
นีราพรรณขมวดคิ้วโก่งงามดุจคันศรเข้าหากันยุ่งด้วยไม่รู้ว่าบุรุษชายชาติที่เธอมั่นใจว่าต้องเป็นชาวอาหรับสองคนนี้กำลังสนทนากันว่าอย่างไร
“ขอโทษอีกครั้งนะคะ ดิฉันยอมรับผิดทั้งหมด เดี๋ยวดิฉันโทรเรียกบริษัทประกัน”
“ไม่ต้อง!...ไม่จำเป็น! ถ้าหากขับรถไม่เป็นทีหลังก็อย่ามาขับบนถนนที่เต็มไปด้วยยวดยานแบบนี้อีก”
มือบางที่กำลังล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายมีอันต้องหยุดชะงักกลางอากาศ ใบหน้าหวานเนียนลออมีอันต้องหน้าม้านเมื่อเจอถ้อยคำปฏิเสธห้วนๆ ต่อว่าดุเดือดโดยไม่ถนอมน้ำใจกันสักนิด
“นี่คุณ!...การที่ฉันขับรถชนคุณใช่ว่าจะทำให้คุณมีสิทธิ์มาต่อว่าฉอดๆ แบบนี้นะ”
นีราพรรณชักโมโหชายชาติชาวอาหรับผู้นี้ เขาต่อว่าเธอได้เธอก็ว่าเขาได้เช่นเดียวกัน เรื่องอะไรจะยอมให้คนที่เพิ่งพบเห็นกันครั้งแรกมาด่าแค่ฝ่ายเดียว
“แล้วถ้าเจ้าขับรถเป็นและก็เคารพกฎจราจรหัดมองสัญญาณไฟอุบัติเหตุก็คงไม่เกิดขึ้น”
เจ้าชายฮารีฟร์ยังต่อว่าคู่กรณีไม่ได้หยุด ดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรีทอดมองสาวสวยที่ยืนหน้าซีดด้วยความรำคาญ เขาเบื่อที่สุดที่ต้องมาเจอกับคนใช้รถใช้ท้องถนนโดยไม่เคารพกฎจราจร การอยู่ในเมืองไทยแค่เพียงไม่กี่วันทำให้เขาพบเจอผู้คนที่ทำผิดกฎจราจรอยู่มาก มีทั้งมอเตอร์ไซด์ที่ขับย้อนศร รถยนต์ที่ขับฝ่าไฟแดงหรือบรรดาพวกที่ชอบแซงซ้ายปาดหน้าโดยไม่เปิดไฟให้สัญญาณ
นีราพรรณหน้าเสียเมื่อถูกอีกฝ่ายเอ่ยต่อว่าสั่งสอนอีกชุดใหญ่ ถ้าหากเธอไม่ใจลอยและมีสมาธิในการขับรถสักนิดก็คงไม่ทำให้เกิดอุบัตเหตุขึ้น ดีที่ว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงได้แย่กว่านี้อีก
คู่กรณีทั้งสองไม่ทันได้โต้คารมกันต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิ่งเข้ามาอำนวยความสะดวกและเจรจาให้ทั้งสองช่วยเคลื่อนรถออกจากบริเวณเพื่อให้รถคันอื่นสามารถเคลื่อนที่ออกไปได้
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์เดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับเข้าชิดไหล่ทางเพื่อเปิดให้รถคันหลังซึ่งเป็นรถของหญิงสาวแสนสวยคู่กรณีได้เคลื่อนที่ออกจากบริเวณสี่แยกไฟแดงบ้าง
“เรียกประกันหรือยังครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยถามหนุ่มสาวทั้งสองไม่จำเพาะเจาะจงลงที่ใครคนใดคนหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอกเราเคลียร์กันได้ ขอบคุณมาก”
เจ้าชายฮารีฟร์ตอบเสียงราบเรียบริมฝีปากสีสดไม่แพ้ผู้หญิงกระตุกยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจวัยค่อนคนที่ดู เป็นมิตรกับผู้ใช้รถใช้ถนนอยู่มาก
“ถ้าตกลงกันได้ก็ดีแล้วน่ะครับ มีปัญหาก็ค่อยๆ คุยกัน ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโสทั้งอายุและหน้าที่การงานได้เอ่ยพูดลอยๆ ไม่รู้ว่าเอ่ยสั่งสอนคู่กรณีทั้งสองคนหรือว่าเอ่ยสั่ง
สอนประชาชนทั่วทั้งประเทศที่ใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินปัญหา สติปัญญาอันชาญฉลาดที่มีอยู่ก็กลับเก็บนิ่งไว้ให้ขึ้นสนิม...
“ขอบคุณคุณตำรวจมากนะคะ”
นีราพรรณยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้อาวุโส ใบหน้างามลออแย้มยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่พอหันมาสบตากับดวงตาสีดำคมกริบดุจพญาอินทรีที่กำลังจ้องมองเขม็งหญิงสาวก็รีบหุบยิ้มทันที
“เอ่อ...คุณจะเอารถไปซ่อมที่อู่แถวไหนคะ ดิฉันยินดีจ่ายค่าซ่อมให้ทั้งหมด”
นีราพรรณเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อบุรุษหนุ่มชาวอาหรับหล่อเหลาผู้นี้ไม่ยอมเรียกประกันให้มาเคลียร์ปัญหาเรื่องค่าซ่อมรถ
เจ้าชายฮารีฟร์ถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ที่หญิงสาวคู่กรณีของตนได้แย้มยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาหลุบสายตามองเวลาบนนาฬิกาข้อมือเรือนแพงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเวลาได้ล่วงเลยจากเวลาที่นัดหมายไว้กับคณะกรรมการโรงแรมมาเกือบชั่วโมงแล้วจึงโบกมือว่อนตัดบทตัดปัญหาทุกอย่าง รถพังแค่นี้เขามีปัญญาซ่อมไม่จำเป็นต้อง
ให้ผู้หญิงมาจ่ายเงินให้
“ไม่ต้อง เจ้าซ่อมแค่รถของเจ้าก็พอ ทีหลังขับรถก็หัดระวังกว่านี้บ้าง”
เจ้าชายฮารีฟร์ สั่งสอนหญิงสาวอีกครั้งพลางหันไปกวักมือเรียกองครักษ์ให้เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับออกคำสั่งเป็นภาษาอาหรับเพื่อให้เข้าใจกันแค่สองคน
“สืบมาหน่อยสิว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหน”
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์เบิกตากว้างอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินคำสั่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากเจ้าชายผู้หล่อเหลาเย่อหยิ่งอย่างเจ้าชายฮารีฟร์
“พระองค์สนใจเธอหรือพะยะค่ะ”
อานีสต์กระซิบถามแผ่วเบาด้วยภาษาเดียวกัน การที่เจ้าชายฮารีฟร์ สนใจหญิงสาวที่เพิ่งพบเจาะเจอกันแค่ไม่กี่วินาทีมากเป็นพิเศษจนสั่งให้สืบเสาะหาประวัติสร้างความแปลกใจให้กับองครักษ์อย่างเขาเป็นอย่างมาก
“ใช่...อานีสต์ เราสนใจเธอ เจ้าว่าแปลกไหมเราสนใจหญิงสาวคนนี้มาก แล้วเจ้าอย่าบังอาจมาถามว่าเพราะเหตุใด ทำตามที่เราสั่งก็พอ”