บทที่ 4 (2)
อานีสต์ร้องขอพร้อมกับทรุดตัวคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเจ้าเหนือหัว ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้น ดวงตาคมจ้องมองเจ้าเหนือหัวด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว ถ้าหากเจ้าชายฮารีฟร์กับเจ้าชายซารีฟร์ห้ามเขากับวาอีน์ไม่ให้ร่วมเดินทางไปด้วยเหมือนครั้งที่แล้วเขาก็จะแอบตามไปให้จนได้ สองปีที่แล้วเจ้าชายฮารีฟร์ได้เดินทางไปที่ชายแดนประเทศไปยังเผ่าคาลีส์ถิ่นของเจ้าชายชารีฟร์แต่เพียงลำพังผู้เดียวกว่าเจ้าชายซารีฟร์และองครักษ์จะทราบว่าเจ้าชายถูกคนในเผ่าคาลีส์จับตัวไปก็กินเวลา 2 วัน ถ้าหากทุกคนไปช่วยเจ้าชายฮารีฟร์ช้ากว่านี้แค่เพียงวันเดียว พวกเขาก็คงไม่มีเจ้าเหนือหัวที่ยิ่งใหญ่ให้เคารพอารักขาต่อไป
เจ้าชายฮารีฟร์วางมือใหญ่บนบ่ากว้างขององครักษ์เอกผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีที่สละชีวิตของตนเองได้เพื่อราชวงศ์อัล ริฟาอีลส์
“เราขอบใจเจ้ามากอานีสต์ แต่เรายืนยันคำเดิมว่าเราจะไปแค่ 2 คนกับซารีฟร์เท่านั้น เราต้องการไปคุยกับชารีฟร์ในฐานะพี่กับน้องโดยไม่มีคนอื่นหรือบัลลังก์อัลนูรีนไปเกี่ยวข้อง...ไม่ต้องพูดแล้วอานีสต์” มือใหญ่ยกขึ้นห้ามทัพเมื่อองครักษ์เอกอ้าปากกำลังจะเอ่ยคัดค้าน
“ทำตามที่เราพูดห้ามขัดคำสั่งและห้ามส่งใครตามเรากับซารีฟร์ไป”
เจ้าชายฮารีฟร์สั่งห้ามอย่างรู้เท่าทันนิสัยขององครักษ์เอกดี ตัวถูกสั่งห้ามไม่ให้ตามไปแต่เขาเชื่อว่าอานีสต์ต้องแอบส่งวาอีน์หรือองครักษ์นายอื่นตามไปแน่นอน
“กระหม่อมขอสักครั้งเถอะพะยะค่ะ ขอให้กระหม่อมไปด้วย ถ้าหากให้พระองค์ไปกับเจ้าชายซารีฟร์โดยไม่มีองครักษ์ติดตามไปด้วยแม้แต่คนเดียวคงทำให้กระหม่อนนิ่งอยู่เฉยไม่ได้”
อานีสต์ยังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเจ้าเหนือหัว แววตาและน้ำเสียงที่เอ่ยร้องขอเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นจนเจ้าชายฮารีฟร์ต้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“เอาเถอะ ถ้าหากเจ้ายืนยันที่จะตามเราไปให้ได้เราก็ไม่อยากขัดความต้องการของเจ้า ขอบใจเจ้ามากอานีสต์ ขอบใจที่เจ้าจงรักภักดีต่อราชวงศ์ของเรา”
“กระหม่อมถวายชีวิตนี้เพื่อพระองค์และราชวงศ์อัล ริฟาอีลส์ทุกพระองค์”
เจ้าชายฮารีฟร์ยิ้มบางๆ ให้กับองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ กลับไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หนานุ่มพยายามปรับความคิดบังคับจิตใจของตนให้มุ่งอยู่ที่งานกองใหญ่ซึ่งวางอยู่เบื้องหน้า แต่ผ่านไปได้ครู่เดียวเขาก็ต้องผลักเอกสารทุกอย่างออก ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้นถ้าหากยังไม่ได้รับข่าวของนีราพรรณจากวาอีน์
ผ่านไปร่วมสามชั่วโมงจิตใจที่ร้อนรุ่มเป็นกังวลของเจ้าชายฮารีฟร์ผู้อาจหาญจึงได้สงบลงเมื่อได้รับแจ้งจากองครักษ์ว่านีราพรรณได้กลับถึงบ้านของเธอโดยปลอดภัยแล้ว
บ้านกมลเนตร...
นีราพรรณกระซิบอ่านป้ายบ้านของตนเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาขณะที่ขับรถมาจอดหน้าประตูรั้วทางเข้าบ้าน ชื่อบ้านที่สลักไว้อย่างสวยงามด้วยตัวอักษรสีทองทำให้เธอสะเทือนใจ ต่อไปนี้จะไม่มีบ้านกมลเนตรอีกแล้วแต่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นบ้านของเจ้าชายฮารีฟร์แทน
หญิงสาวบีบแตรรถให้เด็กรับใช้มาเปิดประตู ขณะที่รอก็ซบหน้าลงกับพวงมาลัยด้วยความท้อแท้ เธอตัดสินใจขับรถกลับบ้านแทนการกลับไปที่โรงแรม อยากหลบมาอยู่คนเดียวเงียบๆ สักพัก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงบัดนี้ทำให้จิตใจเธอทานรับแทบไม่ไหว ถ้าหากต้องกลับไปเผชิญหน้ากับใบหน้าถมึงทึง นัยน์ตาคมกริบและถ้อยคำวาจาที่เฉือดเชือนให้เจ็บปวดทุกคราจากเจ้าชายฮารีฟร์เธอคงได้ลมทั้งยืนเป็นแน่ ขอกลับมาพักกายใจสักครึ่งวัน หลังจากวันนี้ไปเธอจะทำจิตใจให้เข้มแข็งพร้อมรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อเด็กรับใช้วิ่งออกมาเปิดประตูรั้วออกกว้างรถบีเอ็มดับบลิวก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปจอดในโรงรถ นีราพรรณก้าวลงมาจากรถได้อย่างเชื่องช้าพอเดินผ่านสนามหญ้าหน้าบ้านก็ต้องสะดุ้งตกใจรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มเมื่อได้ยินเสียงเรียกของบิดา
“น้ำเหนือลูก ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วนักละ”
คุณกมลร้องทักลูกสาวด้วยความแปลกใจที่เห็นลูกกลับบ้านตั้งแต่หัววัน ท่านสั่งให้พยาบาลเข็นรถเข็นไปใกล้ๆ ลูกสาวพลางจับมือลูกมากุมไว้
เนื่องจากนีราพรรณยืนหันหลังให้บิดาอยู่จึงทำให้คนที่เป็นพ่อไม่อาจเห็นน้ำตาของลูกสาวที่เจ้าตัวพยายามกล้ำกลืนให้ไหลย้อนกลับไป นีราพรรณหันหน้ากลับช้าๆ พลางฝืนยิ้มกว้างให้บิดา ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าใกล้รถเข็นแล้วจับมือเหี่ยวย่นของพ่อมากุมไว้แน่น บังคับน้ำเสียงที่เอ่ยตอบให้เป็นปกติที่สุด
“พอดีน้ำเหนือปวดหัวนิดหน่อยก็เลยขอกลับบ้านก่อน คุณพยาบาลพาคุณพ่อออกมาเดินเล่นรับลมนานหรือยังคะ”
“สักพักแล้วลูก พ่อเบื่อที่จะนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในบ้าน”
คุณกลมถอนหายใจยาวท้อแท้กับอาการเจ็บป่วยของตนเอง โรคหัวใจกับคนแก่เป็นสิ่งที่หลีกหนีกันไม่ได้จริงๆ เมื่อแปดเก้าปีก่อนตอนที่รู้ว่าตนเองเป็นโรคหัวใจเขาก็ไม่คิดรักษาจริงจัง มัวแต่มุมานะมุ่งมั่นในการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ คิดว่าการเจ็บป่วยเพียงแค่นี้ไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางการทำงานของตน การเข้าไปพบแพทย์ก็ไปบ้างไม่ไปบ้างแล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย ไม่เคยใส่ใจอาการเจ็บป่วยของตนเองจนกระทั่งเมื่อสองปีที่แล้วอาการของโรคหัวใจกำเริบหนักจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานนับเดือนพอออกมาจากโรงพยาบาลแล้วก็ทำให้เดินเหินไม่ได้เหมือนแต่ก่อนจนต้องอาศัยรถเข็นเป็นพาหนะ งานในโรงแรมทุกอย่างก็ต้องปล่อยให้น้ำเหนือเป็นคนบริหารแต่เพียงผู้เดียว
“งานหนักหรือเปล่าน้ำเหนือ พ่อว่าหน้าตาหนูซีดๆ เหมือนกำลังไม่สบาย”
ใบหน้าที่ซีดเซียวท่าทางอ่อนแรงทำให้ท่านต้องเอื้อมมือไปลูบพวงแก้มขาวซีดของลูกสาวไว้ด้วยความสงสาร
“น้ำเหนือสบายดีค่ะคุณพ่อ เอ่อ...คงเป็นเพราะวันนี้ประชุมเครียดด้วยเลยทำให้น้ำเหนือเหนื่อยนิดหน่อย”
ขณะที่เอ่ยตอบนีราพรรณก็หลบเลี่ยงสายตาที่กำลังจ้องมองมาของบิดดาโดยการลุกขึ้นยืนเดินไปจับรถเข็นแล้วทำหน้าที่เข็นรถให้บิดาแทนพยาบาลสาวที่จ้างมาคอยดูแลท่าน
คุณกมลแย้มยิ้มให้กำลังใจลูกสาวโตเอื้อมมือซีดเซียวไปจับมือนุ่มนิ่มของลูกสาวไว้พลางบีบเบาๆ พร้อมกับเอ่ยปลอบเสียงติดอ่อนแรง
“ทนหน่อยนะลูก อีกไม่นานน้ำหนาวกับน้ำค้างก็เรียนจบแล้ว ต่อไปน้องๆ จะได้มาช่วยแบ่งเบาภาระของน้ำเหนือ เดอะธาราแกรนด์โฮเทลจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมเมื่อมีลูกๆ ทั้ง 3 คนมาช่วยกันบริหารงาน”
นีราพรรณเม้มริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตาอุ่นเอ่อคลอเบ้าด้วยความสะเทือนใจเมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของบิดา เดอะธาราแกรนด์โฮเทลไม่ได้เป็นของพ่ออีกต่อไปแล้ว ไม่มีตำแหน่งผู้บริหารสำหรับเธอ สำหรับน้ำหนาวและน้ำค้างจะมีก็แค่ตำแหน่งของลูกจ้างเท่านั้น
“เอ่อ...คุณพ่อคะ บางทีทุกอย่างอาจไม่เป็นแบบนั้นก็ได้” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบบิดาไม่เต็มเสียงนัก
“ทำไมล่ะน้ำเหนือ เมื่อลูกๆ ทั้ง 3 คนมาช่วยกันบริหารงานเดอะธาราแกรนด์โฮเทลของเราต้องเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเดิม อ้อ...อีก 2 เดือนก็ถึงวันครบรอบ 10 ปี การก่อตั้งโรงแรม พ่อตั้งใจว่าปีนี้จะจัดงานให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกๆ ปี พ่ออยากให้น้ำเหนือโทรไปถามน้องๆ ด้วยว่าพอจะเดินทางมาร่วมงานได้หรือเปล่า”
นีราพรรณหน้าเสียเศร้าใจกับสิ่งที่บิดาได้วาดวางแผนไว้ล่วงหน้า งานเลี้ยงครบรอบสิบปีของเดอะธาราแกรนด์โฮเทลจะไม่มีการจัดขึ้นหรือถึงแม้จัดขึ้นพ่อของเธอก็ไม่ใช่คนเปิดม่าน คนที่จะทำหน้าที่นี้มีเพียงผู้เดียวคือเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกความมั่นใจให้ตนเองก่อนจะตัดสินใจเลียบเคียงเอ่ยถามบิดา
“คุณพ่อคะ ถ้าหากในวันหนึ่งสิ่งที่เคยเป็นของเราไม่ได้เป็นของเราอีกต่อไป เอ่อ...คุณพ่อจะทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้มั้ยคะ”
คุณกมลเอี้ยวตัวหันไปมองลูกสาวที่กำลังทำหน้าที่เข็นรถให้พลางเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ
“น้ำเหนือพูดแปลกๆ น่ะลูก ที่โรงแรมมีปัญหาหรือเปล่า”
“เอ่อ...เปล่าค่ะที่โรงแรมไม่มีปัญหาอะไร พอดีเพื่อนของน้ำเหนือกำลังเจอปัญหาคล้ายๆ กับที่หนูถามคุณพ่อไป หนูก็เลยอยากขอคำปรึกษาความคิดเห็นจากคุณพ่อ”
น้ำตาแห่งความสำนึกผิดจำเป็นต้องเอ่ยโกหกผู้ที่เป็นพ่อได้หยดแหมะลงมากระทบเกลือกกลิ้งอยู่บนหลังมือที่จับบีบรถเข็นไว้แน่นจนขาวซีดมือชาไร้ความรู้สึก หญิงสาวไม่อาจบอกความจริงกับพ่อได้ว่าสิ่งที่เธอเอ่ยถามไปเมื่อสักครู่นั้นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเดอะธาราแกรนด์โฮเทลและในบ้านหลังงามแห่งนี้
“ถ้าหากน้ำเหนือถามความคิดเห็นของพ่อๆ ก็ตอบว่าพ่อคงทำใจยอมรับการสูญเสียไม่ได้ถ้าหากสิ่งที่เราสร้างมากับมือด้วยความยากลำบากต้องหลุดลอยสูญหายไปต่อหน้าต่อตา แต่กับเพื่อนของน้ำเหนือพ่อไม่รู้ว่าเธอจะทำใจได้หรือเปล่า”
คุณกมลแย้มยิ้มออกมาอย่างโล่งอกกับคำตอบของลูกสาวคนโต ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางทอดมองบ้านหลังงามใหญ่โตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองอย่างภาคภูมิใจน้ำเสียงถ้อยคำที่เอ่ยตอบออกมาทำให้นีราพรรณต้องน้ำตาร่วงเผาะไหลลงเป็นทางยาวโดยปราศจากเสียงร่ำไห้และเมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นร้องไห้ได้อีกต่อไปจึงได้เอ่ยโกหกบิดาอีกครั้ง
“คุณพ่อคะ น้ำเหนือขอตัวไปหายาทานก่อนนะคะ”
“ยังปวดหัวอยู่หรือลูก”
คุณกมลเอ่ยถามเสียงเป็นกังวลเอี้ยวตัวหันมามองลูกสาวอย่างรวดเร็วทำให้นีราพรรณยกมือเช็ดน้ำตาแทบไม่ทัน
“หนูหน้าซีดมากเลยลูกรีบไปกินยาแล้วก็นอนพักน่ะ”
“ค่ะ...คุณพ่อ...”
นีราพรรณรับคำเสียงแผ่วเบาฝืนยิ้มหวานให้บิดาเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เท้าเล็กในรองเท้าส้นสูงประคับประคองบังคับเรือนกายของผู้ที่เป็นเจ้าของให้เดินอย่างมั่นคงไม่ล้มลงต่อหน้าบิดาขณะที่ก้าวเดินช้าๆ เข้าไปในตัวบ้านและเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องนอนอาณาเขตส่วนตัวได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็ทุ่มตัวคว่ำหน้าปล่อยเสียงสะอื้นร้องไห้จนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ได้ยินคำพูดของพ่อแล้วทำให้เธอไม่กล้าบอกว่าขณะนี้ตระกูลกมลเนตรไม่ได้เป็นเจ้าของเดอะธาราแกรนด์โฮเทลและคฤหาสน์กมลเนตรอีกต่อไปแล้ว...