บทที่ 2 เชลย ชายแดนแคว้นซีหลง
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่เอาใจสาวงามด้วยการให้นั่งบนรถม้าหรือประคบประหงมนางให้นั่งสบายอยู่บนหลังม้า แต่กลับให้นางเดินตามพวกเขาไป ซ่างกวนหว่านเย่ว์มองดูบุรุษตรงหนาที่ควบม้าโดยไม่เอ่ยวาจาใด เขาดูเย็นชาเหลือเกิน มีบางคราที่เหมือนเขาจะรู้ว่านางแอบมองจึงปรายาตามามองนางเช่นกัน ซ่างกวนหว่านเย่ว์ตกใจจนรีบก้มหน้างุด ไอสังหารบนกายของเขามันช่างเข้มข้นเสียจนนางหนาวสะท้าน
มู่หรงจิ่งส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ยามนี้เขายึดแคว้นฉีได้แล้ว แม้เขาจะลงมืออย่างโหดเหี้ยม แต่กลับไม่ได้สังหารสตรี เขาไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง เพียงแค่จับพวกนางมาเป็นเชลยคอยรับใช้ในแคว้นซีหลงก็เท่านั้น
ยามนั้นที่บุกเข้าเมืองหลวงแคว้นฉี พระชายาและบุตรสาวของฉีอ๋องล้วนฆ่าตัวตายหมดสิ้นเพราะไม่อยากถูกจับเป็นเชลย ส่วนฉีอ๋องกลับหนีตายไปพร้อมกับศพของบุตรชายคนโตที่ชายแดน เขาจึงมุ่งหน้ามายังชายแดนแคว้นฉีเพื่อสังหารฉีอ๋อง ก่อนหน้านี้มู่หรงจิ่งได้สังหารบุตรชายคนโตที่ฉีอ๋องรักมากตายไปแล้ว เหลือเพียงหลิวฟงบุตรชายคนรองที่สามารถหนีรอดไปได้ แม้เขาจะสั่งให้คนออกตามหาเท่าใดก็ตามหาไม่พบ
เขาหันไปมองสตรีน้อยที่ถูกจับตัวมาอีกครั้ง เขาไม่สนใจว่านางจะมีความเป็นมาเช่นไร แต่ในเมื่อนางเกี่ยวพันกับแคว้นฉีย่อมต้องจับกลับมาเพื่อไต่สวน เผื่อว่าจะได้เบาะแสของหลิวฟงเพิ่มเติม ตีงูย่อมตีให้ตายไม่อาจปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นภัยในภายหลัง
เขาคือองค์ชายสามแห่งแคว้นซีหลง ผู้คนต่างขนานนามว่าเขาคือเทพสงครามปีศาจ ไม่ว่าจะควบม้าย่างกรายผ่านทางใดล้วนได้รับแต่ชัยชนะทั้งสิ้น ยามนี้แคว้นฉีแตกแล้ว ส่วนแคว้นม่อหยวนและแคว้นหนานเหยานั้นค่อนข้างเป็นแคว้นที่มีอำนาจทางการทหารอยู่พอสมควร จะบุ่มบ่ามไม่ได้เป็นอันขาด
ใช้เวลาเดินทางโดยไม่หยุดพักก็มาถึงที่ชายแดนแคว้นซีหลง ซ่างกวนหว่านเย่ว์เหนื่อยล้าจนใบหน้าซีดเผือด เท้าของนางเจ็บระบมไปหมด นางถูกนำมาขังเอาไว้ในคอกม้า มองไปทางใดก็มีแต่บุรุษร่างกายยำยำ ทุกวันพวกเขาจะนำอาการมาส่งให้นาง ตั้งแต่ถูกจับมานางไม่ได้อดอยากเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าเหล่าทหารพวกนั้นก็พากันเอ่ยวาจาแทะโลมนางไม่หยุด อีกทั้งยังฉวยโอกาศเข้าหานาง แต่โชคดีที่นางสามารถพอจะเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้ง ตอนที่มาถึงที่นี่นางถูกจับไปไต่สวนเกี่ยวกับบุตรชายคนรองของฉีอ๋อง โดยที่เขาเป็นคนไต่สวนนางด้วยตนเอง แต่เพราะนางไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแคว้นฉีเลยพวกเขาจึงไม่ไต่สวนสิ่งใดนางอีก เพียงจับนางขังเอาไว้ในคอกม้าเช่นเดิม
นับตั้งแต่วันนั้นนางก็ไม่ได้พบคนผู้นั้นอีกเลย ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกหวาดกลัวเขาเหลือเกิน เขาดูเย็นชาเหลือเกิน
ซ่างกวนหว่านเย่ว์ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง นับว่าหลายวันมานี้ชีวิตของนางช่างระเหเร่ร่อนเป็นอย่างยิ่ง ถูกลากไปทางนั้นทีนางนี้ทีอย่างน่าเวทนา
นางกินอาหารจนอิ่ม ก่อนจะเอนกายนั่งพิงหัวเสาคอกม้า ที่นี่ทั้งเหม็นอับทั้งมีกลิ่นฉุนแต่นางก็ต้องอดทน
เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามค่ำ มู่หรงจิ่งที่นั่งอ่านรายงานทางการทหารกำลังเอ่ยปรึกษาวางแผนการออกรบกับโจวฉี องค์รักษ์คนสนิทซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา
"โจวฉี ยามนี้แคว้นม่อหยวนต่างไม่มีการเคลื่อนไหว ส่วนแคว้นหนานเหยาได้ยินว่าจะส่งคนมาเจรจาสงบศึก เจ้าจงนำเรื่องนี้กลับไปกราบทูลเสด็จพ่อของข้า บอกเขาว่าอีกหนึ่งเดือนข้าจะกลับเมืองหลวงก่อน คาดว่าตอนนี้ทั้งสองแคว้นคงยังไม่กล้าลงมือทำสิ่งใด"
"พ่ะย่ะค่ะองค์ชายสาม เอ่อ.."
โจวฉีทำท่าทางราวกับจะพูดแต่ก็ไม่พูด มู่หรงจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยความรำคาญ
"ปากเจ้าอมสิ่งใดอยู่กัน เป็นทหารของข้าแต่กลับทำตัวเช่นนี้หรือ อยากถูกสั่งโบยหรือไรกัน!!"
โจวฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลนลานรีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"องค์ชายสาม สตรีที่ถูกจับมานางนั้นมิสู้ให้มาปรนนิบัติพระองค์ดีหรือไม่.."
"หากไม่อยากตายก็ไสหัวออกไป"
โจวฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบออกไปทันที มู่หรงจิ่งวางรายงานทางการทหารในมือลง ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา
สตรีน่ะหรือ สำหรับข้าสตรีเป็นเพียงสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดแล้ว!!!
ฉับพลันก็มีเสียงกรีดร้องของสตรีดังขึ้น เขาชะงักไปชั่วขณะก่อนจะวางรายงานทางทหารในมือลง ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถามทหารที่ด้านนอกก็พบว่ามีสตรีนางหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามาในกระโจมของเขา เสื้อผ้าของนางหลุดหลุ่ยเผยให้เห็นหัวไหล่ที่ขาวนวลเนียนได้อย่างชัดเจน ผิวของนางเนียนละเอียดอวบอิ่มราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ มู่หรงจิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
"เจ้าเข้ามาได้เช่นไร ทหารด้านนอกตายกันหมดแล้วหรือ!!!"
เหล่าทหารที่ด้านนอกรีบเข้ามาในทันที ก่อนจะคุกเข่าลงและลนลานเอ่ยตอบ
"ทูลองค์ชายสาม ข้าน้อยเพียงออกคลาดสายตาไปชั่วครู่ไม่คิดว่านางจะเข้ามาหาพระองค์ในนี้พ่ะย่ะค่ะ"
มู่หรงจิ่งยกเท้าถีบทหารผู้นั้นก่อนจะไล่ให้ไสหัวออกไป แล้วจึงหันมามองก่อนจะพบว่าเป็นสตรีนางนั้นที่ถูกจับตัวมาเป็นเชลยจากแคว้นฉีเมื่อหลายวันก่อน นางล้มลงไปนั่งกับพื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองเห็นเขา ดวงตากลมโตก็แสดงออกว่าหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก
ซ่างกวนหว่านเย่ว์ก่อนหน้านี้นางกำลังพิงกายนอนหลับอยู่ที่คอกม้า แต่อยู่ดีดีก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจะถอดเสื้อผ้าของนางออก นางจึงรีบลืมตาขึ้นมาในทันทีและพบกับทหารร่างกายกำยำผู้หนึ่งที่กำลังจ้องมองนางอย่างหื่นกระหาย นางต่อสู้ดิ้นรนจนวิ่งหนีออกมาได้ ไม่รู้เหนือหรือใต้นางก็วิ่งเข้ามาในกระโจมใหญ่หลังหนึ่งเสียแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะเป็นประโจมของเขาผู้นั้น
เขาเป็นถึงองค์ชายเชียวหรือ!!!
ฉับพลันนางรู้สึกหวาดหวั่น ขมฝาดในลำคอจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมาได้ ซ่างกวนหว่าเย่ว์พยายามตั้งสติก่อนจะเอ่ย
"คือข้า.."
"ข้าถามว่าเจ้าเข้ามาได้เช่นไร!!!"
เขาตวาดจนนางสะดุ้งโหยง ซ่างกวนหว่านเย่ว์พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย
"เอ่อ องค์ชาย มีคนจะข่มเหงข้า ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ข้าก็เป็นเพียงสตรีอ่อนแอ ไม่อาจรีบมือกับบุรุษได้ ฮือ ช่วยข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ใช้คนแคว้นฉี เดิมทีข้าอยู่ที่แคว้นหนานเหยาเจ้าค่ะ คือข้า คือ..."
มู่หรงจิ่งที่ได้ยินดวงตาก็ฉายแววเย็นเยียบขึ้นมาในทันที เขาไม่เอ่ยสิ่งใด แต่ทว่ากลับเดินออกไปด้านนอกและเรียกทหารทุกคนมารวมตัวกัน เหล่าทหารที่ได้ยินเช่นนั้นก็หวาดหวั่นไม่น้อย ยิ่งได้เห็นแววตาเย็นชาของผู้เป็นนายพวกเขาก็อกสั่นขวัญหาย
"ในกองทัพข้าเคยตั้งกฎเอาไว้ ว่าเป็นทหารซีหลงจงอย่าข่มเหงสตรี ยิ่งหากนางเป็นสตรีอ่อนแอก็ห้ามกระทำการใดย่ามใจเด็ดขาด ข้าจับนางมาเป็นเชลยเพื่อไต่สวนเรื่องแคว้นฉี ไม่ได้เอามาเป็นโสเภณีบำบัดใคร่ให้พวกเจ้า ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องรับโทษจนตาย จงรับสารภาพมา ผู้ใดที่คิดข่มเหงสตรีนางนี้!!!"
เอ่ยจบเขาก็เดินเข้าไปลากนางออกมายืนที่ด้านนอกกระโจม ซ่างกวนหว่านเย่ว์มือไม้สั่นไปหมด
"ผู้ใดมีหน้าที่เฝ้าเชลยที่จับมา!!!"
ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าเชลยที่ถูกจับตัวต่างออกมายิืนเรียงแถวกันด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด แต่กลับไม่ยอมมีใครปริปากออกมาแม้แต่คนเดียว มู่หรงจิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย
"ในเมื่อไม่ยอมรับก็ได้ ลากไปโบยจนตายทั้งหมดนี่ ข้าไม่เลี้ยงพวกไร้คุณธรรมเอาไว้ให้เสียงข้าวหรอก ข้าให้พวกเจ้ามาออกรบปกป้องราษฎร ปราบปรามคนชั่ว ไม่ใช่ให้มาข่มเหงสตรีที่ไร้ทางสู้เช่นนี้ ลากมันไปโบยจนตาย อย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง แล้วเปลี่ยนทหารชุดใหม่ไปเฝ้าเชลยที่จับตัวมา!!!"
ทหารเหล่านั้นร้องขอความเมตตาด้วยความหวาดกลัว ซ่างกวนหว่านเย่ว์แอบชำเลืองมองมู่หรงจิ่งคราหนึ่ง เมื่อจัดการทุกอย่างแล้ว มู่หรงจิ่งจึงปรายตามามองซ่างกวนหว่านเย่ว์ ก่อนจะเอ่ย
"ไสหัวตามข้าเข้ามา"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามานั่งคุกเขาตรงหน้าเขา มู่หรงจิ่งจ้องมองนางก่อนจะเอ่ย
"เมื่อครู่เจ้าบอกว่าแท้จริงเจ้าไม่ใช่สตรีแคว้นฉี แต่เป็นจากแคว้นหนานเหยา ไหนเจ้าลองพูดมาซิ ว่าเจ้าไปอยู่ในกระโจมของฉีอ๋องได้เช่นไร"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่บิดานางตาย พี่น้องรังแก จนกระทั่งถูกขายออกมาและเกือบจะถูกปาดคอบูชายัญเพื่อปลุกศพคนตายให้ฟื้นขึ้นมา นางลนลานจนเล่าเรื่องราววกไปวนมามั่วซั่วไปหมด มู่หรงจิ่งหลับตาลงช้าๆ พยายามระงับโทสะ
บัดซบ!! หน้าตาก็งามแต่ลิ้นมีปัญหาหรือไรกัน จึงพูดจาติดๆขัดๆเช่นนี้น่ารำคาญเสียจริงๆ!!!
สตรีนี่มันน่ารำคาญเหมือนกันหมดเลยหรือไร!!!
เมื่ออดทนฟังนางเล่าจนจบ มู่หรงจิ่งก็พยักหน้าคราหนึ่ง เข้าไม่ใช่คนโง่ย่อมเข้าใจความเป็นมา สตรีนางนี้ถูกขายมาจากครอบครัวของตน ผ่านพ่อค้าคนกลางในตลาดมืดที่เอาเปรียบผู้คน ซ้ำยังเกือบถูกฉีอ๋องสังหาร ฉีอ๋องนี่มันคนบ้าดีจริงๆ บุตรชายตายไปแลวยังไปเชื่อเรื่องลวงโลกอย่างการปลุกคนตายให้ฟื้นเสียได้ โง่บัดซบ โง่เกินเยียวยา!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็มีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะหันมาเอ่ยกับซ่างกวนหว่านเย่ว์
"ในเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ในค่ายทหารของข้าแล้ว ข้าคงปล่อยเจ้าออกไปไม่ได้ ยิ่งเจ้าเป็นคนของแคว้นหนานเหยาข้ายิ่งไม่อาจวางใจปล่อยเจ้ากลับไปได้อีก กองทัพของข้ามีความลับมากมาย ข้ามีทางเลือกให้เจ้าสองทาง ทางแรก อยู่รับใช้ข้าที่นี่ ข้ารับปากว่าจะไม่มีคนทำร้ายเจ้าอย่างในวันนี้อีก ในค่ายทหารก็ไม่มีสตรีคอยทำงานให้ เจ้าก็ทำงานไป ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นคนของข้า แต่ถ้าหากเจ้าดึงดันจะกลับไปที่แคว้นหนานเหยาบ้านเกิดของเข้า ข้าก็คงทำได้เพียงให้เจ้ากลายเป็นศพกลับไปเท่านั้น"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เย็นสันหลังวาบ นางครุ่นคิดอย่าละเอียดรอบคอบ แม้จะกลับไปหนานเหยาได้ยามนี้นางไม่เหลือใครแล้ว ไร้บิดามารดา ไม่มีบ้านไม่มีพี่น้องอีกแล้ว คนพวกนั้นไม่เคยมองนางเป็นคนในครอบครัวเลยด้วยซ้ำ นางจะต้องลำบากถูกคนกดขี่ข่มเหงไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดอีกบ้าง แต่หากนางอยู่ที่นี่ยอมทำงานเป็นวัวเป็นลาให้เขา นางก็ยังมีโอกาศรอดชีวิต เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"ข้ายินดีทำงานในกองทัพให้นายท่าน ข้าไม่มีบิดามารดาไม่มีบ้านแล้วอยู่ที่นี่ย่อมดีกว่า แต่ว่า เอ่อ ขอองค์ชายสามโปรดคุ้มครองข้าด้วย ข้าไม่อยากเจอเหตุการณ์เช่นวันนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ"
นางเป็นสาวชาวบ้านจึงไม่รู้ว่าจะใช้คำศัพท์เช่นใดมาสนทนากับองค์ชายผู้สูงส่งเช่นเขา มู่หรงจิ่งเองก็ไม่ได้ถือสาอันใด
เขาพยักหน้าเล็กน้อย นับว่านางไม่โง่เสียทีเดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"ได้ นับแต่นี้เจ้าก็อยู่ที่นี่ ถึงแม้จะอยู่ในฐานะของเชลยศึก แต่หากเจ้าทำตัวดี ข้าย่อมไม่ถือสาหาความกับสตรีเช่นเจ้า"
"ขอบคุณองค์ชายสามเจ้าค่ะ"
"เจ้าชื่ออันใด"
"ข้าชื่อซ่างกวนหว่านเย่ว์เจ้าค่ะ"
"อืม ไปเถิด"
เขามองดูนางที่เดินจากไปและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขามองออกว่านางย่อมไม่อาจก่อคลื่นลมใดให้เขาได้ เขาจึงไม่ได้คิดจะสร้างความลำบากใจหรือกดขี่นางให้จนตรอก รอกลับเมืองหลวงเมื่อใดค่อยส่งนางไปเป็นนางกำนัลในวังหลวงคอยทำงานรับใช้พี่น้องในวังของเขาก็พอแล้ว