ตอนที่ 5 กลับเข้าเมืองหลวง
ซ่างกวนหว่านเย่ว์รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก นางกินข้าวไปก็หาผ้ามาประคบศีรษะไปด้วย แม้ยามนี้จะทุเลาลงบ้างแล้วแต่ก็ยังเจ็บอยู่บ้างเล็กน้อย มู่หรงจิ่งคนบัดผู้นี้ เขาไม่มีความเป็นบุรุษเลยหรืออย่างไร ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเลย!!!
เห้อ!!! คงเพรานางเป็นเชลยเขาจึงไม่อยากเข้าใกล้นางสินะ
ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เหล่าทหารต่างจุดคบเพลิงและผลัดกันเดินเฝ้าเวรยามเพื่อตรวจตราดูความปลอดภัย ซ่างกวนหว่านเย่ว์เห็นว่าที่นี่เป็นป่าเขาเขานางจึงเพียงใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามใบหน้าและลำคอเพียงเท่านั้น จะให้อาบน้ำท่ามกลางบุรุษมากมายเช่นนี้นางก็ไม่สะดวกเท่าใดนัก เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็หาที่เหมาะใต้ต้นไม้ใหญ่ นั่งลงเอนกายพิงเพื่อนอนหลับพักเอาแรง พรุ่งนี้ยังต้องออกเดินทางอีกไกล
เวลาล่วงเลยมาจึงถึงกลางดึก อยู่ๆนางก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น เมื่อลืมตาขึ้นมามองดูก็พบว่าเหล่าสตรีที่เป็นภรรยาของทหารต่างไปรวมกลุ่มกันที่ด้านหน้ารถม้าของมู่หรงจิ่ง และยังมีท่าทางสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เสียงต่อสู้ดังขึ้นไม่หยุด ซ่างกวนหว่านเย่ว์ที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบหันไปมองก่อนจะพบว่ามู่หรงจิ่งและโจวฉีกำลังต่อสู้กับกลุ่มชายชุดดำที่อยู่ไม่ไกล นางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรวมกับกลุ่มสตรีเหล่านั่นทันที
เนิ่นนานจนกระทั่งคนชุดดำถูกสังหารจนหมด มู่หรงจิ่งสั่งให้เก็บกวาดศพอย่างรวดเร็ว คนพวกนั้นอาจจะเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาจากแคว้นใดแคว้นหนึ่ง แต่เมื่อเขาสั่งให้คนตรวจดูร่างกายของพวกมันอย่างละเอียดแล้วกลับไม่พบสัญลักษณ์หรือส่งใดที่จะบ่งชี้จุดสงสัยได้เลยว่าเป้นคนของแคว้นใด
เขาเดินกลับมาที่รถม้า ก่อนจะสั่งให้สตรีเหล่านั้นสหัวออกไปไกลๆ ซ่างกวนหว่านเย่ว์มองดูที่ไหล่ซ้ายของเขามีบาดแผลฉกรรจ์ก็ตกใจไม่น้อย นี่เขาได้รีบบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ!!
มู่หรงจิ่งที่เห็นว่าซ่างกวนหว่านเย่ว์จ้องมองบาดแผลเขาก็ส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเอ่ย
"มองทำไมกัน บาดแผลแค่นี้ข้าไม่ตายหรอกน่า เจ้าอย่าได้คิดหนีเชียว"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์ถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย คนผู้นี้หยาบกระด้างเกินไปแล้ว!!!
"หม่อมฉันจะทำแผลให้พระองค์นะเพคะ แผลลึกเช่นปล่อยไว้นานอาจจะอักเสบเอาได้"
เอ่ยจบนางก็รีบไปต้มน้ำสะอาดโดยไม่รอให้มู่หรงจิ่งได้ปฏิเสธ และยังถามโจวฉีว่าพอจะมียาอันดี่ใช้ได้บ้างหรือไม่ มู่หรงจิ่งมองตามหลังของนางไปด้วยแววตาที่เรียบเฉย เขาไม่ใช่พวกเรื่องมากอันใด ในเมื่อนางถูกจับมาแล้วก็รับใช้เขาอยู่แล้ว เขาจะใช้นางทำสิ่งใดย่อมได้ทั้งหมด ในเมื่อนางเสนอมาเอง เขาก็ไม่คิดจะคัดค้านอย่างไรทหารพวกนั้นก็มือไม้หยาบกระด้างอยู่แล้ว ขืนให้มาทำแผลให้คงถูกเขาตบฟันร่วงเป็นแน่
ซ่างกวนหว่านเย่ว์พอจะมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง และโชคดีที่ละแวกนี้พอจะมีสมุนไพรที่ช่วยห้ามเลือดอยู่ นางจึงนำมันกลับมาปรุงเป็นยา เรื่องนี้ท่านแม่เคยสอนนางมาบ้างจึงพอจำได้ เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินเขาไปในรถม้าของมู่หรงจิ่งทันที อย่างไรเสียแต่ก่อนนางก็ทำแผลให้บิดาอยู่บ่อยครั้ง ย่อมพอจะทำเป็นอยู่บ้าง
เมื่อเข้ามาถึงก็พบว่ายามนี้มู่หรงจิ่งใช้มีดตัดเสื้อบริเวณหัวไหล่ซ้ายออกไปจนเป็นวงกว้างพอให้เห็นบาดแผลได้อย่างชัดเจน ซ่างกวนหว่านเย่ว์ย่อกายนั่งลงตรงหน้าของเขา ก่อนจะยื่นมือไปช่วยทำแผลให้เขาอย่างรวดเร็ว มู่หรงจิ่งลอบชำเลืองมองนางคราหนึ่ง ก็พบว่านางไม่ได้แสดงท่าทีเขินอายหรือว่าคิดจะยั่วยวนเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เพราะเหตุใดมันกลับทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ
สาวน้อย บุรุษรูปงามอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าจะไม่เขินอายสักหน่อยเลยหรือ!!!
บัดซบ!! นางจะเขินอายหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้ากัน
มู่หรงจิ่งเริ่มรำคาญตนเองขึ้นมาเสียแล้ว เหตุใดเขาจะต้องมาเถียงกับตนเองในใจเช่นนี้ด้วยนะ
ผ่านไปไม่นานซ่างกวนหว่านเย่ว์ก็ทำแผลแสร็จเรียบร้อย
"เรียบร้อยแล้วเพคะ ระวังอย่าให้โดนน้ำนะเพคะองค์ชายสาม"
มู่หรงจิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"ดูเหมือนว่าเจ้าก็เป็นเพียงสตรีชนบทไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่คิดว่าจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
"เรื่องยาสมุนไพรมารดาของหม่อมฉันเป็นคนสอนมาน่ะเพคะ แล้วอีกอย่างก่อนที่ท่านพ่อของหม่อมฉันจะตายเคยออกไปหาของป่าและได้รับบาดเจ็บกลับมาอยู่บ่อยครั้ง หม่อมฉันจึงได้ช่วยทำแผลให้ท่านพ่อเสมอ ย่อมเป็นเรื่องง่ายเพคะ"
ท่านพ่ออีกแล้ว!!!!
"นี่ ชีวิตเจ้าไม่เคยพบเจอบุรุษใดนอกจากพ่อของเจ้าเลยหรือ"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์ที่ได้ยินก็งุนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ก็เคยเจอนะเพคะ ทำไมหรือเพคะ"
ท่าทางที่ไร้เดียงสาเจือปนความสงสัยของนางมันทำให้มู่หรงจิ่งตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นลูบจมูกตนเอง และเอ่ยขึ้นมา
"เจ้าไปพักเถอะ"
"เพคะ"
"ช้าก่อน"
"มีสิ่งใดอีกหรือเพคะ"
มู่หรงจิ่งปรายตามองซ่างกวนหว่านเย่ว์ ก่อนจะโยนผ้าห่มผืนหนึ่งลงไปตรงหน้านาง ก่อนจะเอ่ย
"รับไว้และรีบออกไปสิ จะมองข้าทำไมกัน!!!!"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์รีบก้มลงหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาก่อนจะทำความเคารพเขาและเดินจากไปทันที
ใช้เวลาเดินทางร่วมเดือนในที่สุดก็เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้นซีหลง ซ่างกวนหว่านเย่ว์เหมือนกับได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อยเลย เมืองหลวงแคว้นซีหลงใหญ่โตกว้างขวาง ผู้คนต่างใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขโดยไม่ต้องหวาดกลัวภัยสงคราม บ้านเรือนใหญ่โตโอ่อ่า เหล่าสตรีของแคว้นซีหลงก็งดงามดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก
ไม่นานก็มาถึงจวนแห่งหนึ่ง หน้าประตูจวนด้านบนมีป้ายอักษรเขียนเอาไว้ว่า จวนองค์ชายสาม
เมื่อมาถึงจวนองค์ชายสามแล้วทุกคนต่างช่วยกันเก็บของเข้าที่ พ่อบ้านที่ดูแลจวนองค์ชายสามรีบออกมาต้อนรับในทันที ซ่างกวนหว่านเย่ว์ยืนงงไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี นางหันมองซ้ายมองขวาอย่างเคว้งคว้าง
"ซ่างกวนหว่านเย่ว์ เจ้าตามข้าเข้าวังหลวง ข้าจะให้เจ้าไปเป็นนางกำนัลคอยรับใช้ที่นั่น"
มู่หรงจิ่งเอ่ยจบก็เดินไปที่รถม้าอย่างรวดเร็วซ่างกวนหว่านเย่ว์เดินตามเขาไปทันที มู่หรงจิ่งที่เห็นว่านางชักช้าจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
"ขึ้นมาบนรถม้านี่ ชักช้าจริงๆ!!!"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์จึงรีบเดินขึ้นไปทันที เมื่อเข้าไปนั่งในรถม้าแล้ว นางจึงคุกเข่าลงทันที มู่หรงจิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเอ่ยถาม
"เจ้าคุกเข่าทำไมกัน"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์เงยหน้าขึ้นมามองมู่หรงจิ่ง ก่อนจะเอ่ยกับเขา
"องค์ชายสาม โปรดอย่าส่งหม่อมฉันเข้าวังหลวงเลยเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีน้อยชาวบ้านไม่รู้กฎระเบียบในวัง ได้โปรดรับหม่อมฉันเข้าจวนเป็นคนรับใช้ของพระองค์ด้วยเถิดเพคะ จะใช้หม่อมฉันเป็นวัวเป็นม้าหม่อมฉันก็ยินดีเพคะ แต่หม่อมฉันไม่อยากเข้าวังหลวงจริงๆ"
ซ่างกวนหว่านเย่ว์เอ่ยจบดวงตาก็แดงก่ำ นางไม่อยากเข้าวังหลวงจริงๆ นางไม่รู้กฎระเบียบ อยู่ในวังหลวงก็เหมือนกับถูกจับขังคุก นางคงทรมาณจนตายเป็นแน่
มู่หรงจิ่งมองดูนางครู่หนึ่งและไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขาทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีน่าสงสารของนาง เมื่อเห็นว่าเขาไม่เอ่ยปากตอบรับ ซ่างกวนหว่านเย่ว์จึงไม่รบเร้าเขาอีก นางทำเพียงนั่งอยู่เงียบๆด้วยใบหน้าที่หมองเศร้า