บทที่1.ข่าวร้ายที่หัวใจเกือบสลาย 3/5
พะแพงส่ายใบหน้าแรงๆ จนพวงผมด้านหลังไหวไปมา เธอกัดฟันเม้มปาก “ค่ารักษาแพงไหมคะ ถ้าแพงต้องจ่าย ต้องใช้เงินประมานไหนคะ?” เป็นคำถามที่ญาติผู้ป่วยส่วนมากมักจะถามแล้วแต่ละคนก็ต้องสะท้านไปกับคำตอบ เมื่อตัวยาสมัยนี้แพงยิ่งกว่าทอง
“อาการคนป่วยอยู่ในระยะวิกฤต ถึงขั้นต้องเปลี่ยนไต ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคนไข้จะต่อต้านไตใหม่หรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีอาการอื่นแทรก...ก็คงยื้อไปได้อีกหลายปี แต่ก็เป็นแสนนะหนู”
ในฐานะแพทย์ท่านก็ทำได้แค่แนะนำ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้มีแต่ค่าใช้จ่าย และมันต้องใช้เงิน...
พะแพงกลั้นใจ เงินเก็บเธอมีประมานนั้นเลย แต่ทุกบาททุกสตางค์นั่นพะแพงเก็บออมไว้สำหรับการซื้อบ้าน เมื่อเธอกับครอบครัวยังอาศัยห้องเช่า ความใฝ่ฝันเดียวของพะแพงคือมีบ้านหลังน้อยๆ ให้บิดาได้สุขสบายในอนาคต แต่เมื่อเหตุจำเป็นเช่นนี้ คงต้องพับความฝันแสนไกลนั่นเอาไว้ก่อน
“ได้ค่ะๆ แล้วอีกนานไหมคะกว่าพ่อจะได้เปลี่ยนไต”
หญิงสาวพยักใบหน้าหงึกหงัก ตัดสินใจโยนความฝันทิ้ง เมื่อการยื้อชีวิตบิดาสำคัญกว่า...
“ต้องรอคิว ช่วงนี้ก็ต้องรักษาให้อาการดีขึ้นไปก่อน”
ไม่ใช่ว่ามีสตางค์จะสามารถทำได้เลย คนบริจาคอวัยวะมีน้อย คงต้องรอไปก่อนที่จะได้รับการรักษา
“เอ่อ...แพงรู้ว่า ถ้าลูกจะบริจาคอวัยวะให้พ่อนี่ได้ใช่ไหมคะ?”
เธอถามเสียงสั่นพร่า...หากบิดามีอาการหนักเช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดคือต้องเร็วเท่านั้น
“มันก็ได้หรอกนะ แต่ก็ต้องตรวจสอบด้วย...เพราะหากเข้ากันไม่ได้มันเท่ากับเป็นการเสียเปล่า”
นายแพทย์ยิ้มให้กำลังใจ ท่านซาบซึ้งแทนคนไข้ ไม่ค่อยมีหรอกที่บุตรหลานจะลุกขึ้นมาอาสา เพราะมันหมายความว่าพวกเขา ตัดช่วงอายุของตัวเองออกไปเสียเอง...
“ค่ะ ได้ค่ะ...แพงเต็มใจ”
หญิงสาวยิ้มกร่อยๆ น้ำตาเอ่อเต็มหน่วยตา...จะอายุสั้นลงก็ช่างปะไร...เมื่อเธอมีที่ยึดเหนี่ยวใจ คือบิดาเพียงผู้เดียว
“คุณพยาบาลเอาเอกสารมาให้คุณเขาเซ็นยินยอมด้วยล่ะ หมอขอตัวไปดูคนไข้คนอื่นก่อน ส่วนคนไข้รายนี้ก็ย้ายเข้าไปในห้อง ICU เลย จนกว่าอาการจะดีขึ้น”
ท่านร้องสั่งพยาบาลประจำตัว ฉวยหูฟังคล้องคอ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อตรวจอาการคนไข้รายอื่นๆ
พยาบาลสาวยิ้มให้กำลังใจ เธอค้นเอกสารมายื่นให้พะแพง...เพื่อทำความเข้าใจ
พะแพงทำความเข้าใจกับเอกสารอยู่นาน เธอลงมือเซ็นเมื่ออ่านจนจบ ผู้รับผลประโยชน์คือบิดา แม้เธอจะต้องเสียอวัยวะชิ้นหนึ่งไป แลกกับการให้บิดามีอายุยาวนานขึ้น
หญิงสาวเดินตัวลอยออกมาจากห้องนายแพทย์ผู้นั้น สมองเธอยังหมุนคว้าง ไร้ที่ยึดเหนี่ยวกับที่พึ่งพาทางใจ
“แพงๆ เป็นไงบ้าง หมอว่าไอ้คล้ายมันเป็นอะไรเหรอ?”
เชิดชาย กับทัดเทพ ยืนหน้าซีดอยู่ด้านนอก เมื่อเขาสองคนเห็นคล้ายถูกเข็นเข้าไปในห้อง ICU
“พ่อเป็นโรคไตค่ะ ยังไม่วาย แต่ก็เฉียดๆ ต้องรีบเปลี่ยนเร็วที่สุด”
พะแพงตอบ เธอมองประตูห้อง ICU ตาละห้อย อยากเข้าไปให้กำลังใจบิดา แต่ก็ต้องรอเวลา เพราะห้องนั้น เปิดให้ญาติเข้าเป็นช่วงๆ เนื่องจากไม่อยากให้บุคคลภายนอกรบกวนอาการผู้ป่วย
“ตายโหง...เห็นดีๆ แข็งแรง ไม่คิดว่าจะทรุด” เชิดชายคราง
“แล้วจะเอาไงล่ะแพง?” ทัดเทพรีบถาม หากอาการหนักแบบนี้ พะแพงจะเป็นอย่างไร
“หมอแนะนำให้เปลี่ยนไตจ้ะ แต่ต้องตรวจความพร้อมของพ่อกับแพงก่อน”
หญิงสาวตอบตามจริง ทัดเทพขมวดคิ้ว พอจะเข้าใจว่าต้องตรวจคนป่วย แต่พะแพงเกี่ยวอะไรด้วย?
“แล้วตรวจแพงทำไมล่ะ หรือว่า...” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง ปากเขาพะงาบขึ้นๆ ลงๆ มองพะแพงแบบเหลือเชื่อ
“อะไรวะไอ้ทัด?” เชิดชายหันมาสะกิดทัดเทพ ไอ้หนุ่มรุ่นลูก ที่ทำยักท่าขยักคำพูดเสียแบบนั้น
“แพงบอกว่าลุงคล้ายต้องรีบเปลี่ยนไต สมัยนี้นะลุง คนบริจาคร่างกายนะแทบจะไม่มี ถ้ารอคิวก็ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไร แต่ถ้าหากว่า...ลูกหลานบริจาคให้เองจะเร็วขึ้น” ทัดเทพอธิบายเท่าที่รู้ เชิดชายหันมามองหญิงสาวตัวเล็ก ด้วยความซาบซึ้งใจแทนเพื่อนร่วมงาน ที่มีลูกเหมือนอภิชาตบุตร ยอมเสียสละสิ่งสำคัญในตัวเพื่อยื้อลมหายใจบิดา
“ดีใจแทนคล้ายมันนะแพง เจริญๆ เถอะแม่คุณ”