บทที่ 3 (1)
อดีตกาลที่ผ่านมา ปีพ.ศ. 2546
‘หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น โครงหน้ารูปไข่แสนหวานงดงานน่าหลงใหลในวัย 22 ปีเศษกำลังเดินเป็นวิ่งไปยังบ้านหลังงามของคุณวิริยา ดวงตากลมโตที่เคยสุกสดใสแวววาวขณะนี้เต็มไปด้วยความเศร้าหมองและหยาดน้ำตาใสที่เอ่อคลอดวงตาคู่สวยทั้งคู่ เรียวปากอวบอิ่มสีกุหลาบสั่นระริกด้วยแรงสะอื้นร้องไห้จนเจ้าตัวต้องกัดเม้มไว้แน่น เท้าเล็กๆ ในรองเท้าสานรีบซอยเท้าเป็นวิ่งอย่างใจร้อนไม่นำพาเศษดินก้อนกรวดที่กระเด็นเข้ามาในรองเท้าทำให้ฝ่าเท้าเจ็บแปลบจนแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นถนน เมื่อมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้าบ้านของคุณวิริยาเธอก็รีบกดออดเรียกคนภายในบ้านรัวเร็วด้วยความใจร้อน
สราวลี หญิงหม้ายวัยค่อนคนที่เป็นทั้งแม่บ้านและคนสนิทของคุณวิริยาเดินมาเปิดประตูบ้านด้วยความโมโหเล็กน้อยเพราะคิดว่าพวกเด็กมือบอนมากดกริ่งเล่น แต่เมื่อเห็นหญิงสาวงามพิศที่รู้จักกันดียืนสะอื้นร้องไห้อยู่หน้าบ้านก็ทำให้นางขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งด้วยความแปลกใจระคนตกใจ
‘หนูพริ้นซ์เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม’
นางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับดึงแขนเนียนขาวผ่องให้ก้าวเข้ามาภายในบริเวณบ้าน
‘เจ๊...ยา...อยู่มั้ยคะ พริ้นซ์อยากพบเจ๊’
ปิณฑิราสะอื้นฮักเอ่ยถามเสียงกระท่อนกระแท่น ดวงตาคู่สวยแดงก่ำพยายามกวาดสายตามมองหาเจ๊ยาที่ถามถึง
‘มีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือเปล่าพริ้นซ์ บอกพี่ลีได้น่ะ ถ้าช่วยได้พี่ลีจะช่วย’
เพราะความน่ารักนิสัยดีเป็นเด็กอ่อนน้อมถ่อมตนของปิณฑิราทำให้สราวลีรักและเอ็นดูหญิงสาวเป็นพิเศษ อีกทั้งบ้านวิริยาจะรับปิ่นโตกับข้าวกับจากเด็กสาวทุกวันทำให้รู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ปิณฑิราส่ายหน้าปฏิเสธทั้งน้ำตานองหน้า ‘พี่ลีช่วยพริ้นซ์ไม่ได้หรอกค่ะ คนที่จะช่วยพริ้นซ์ได้ก็มีแต่เจ๊ยาคนเดียว’
‘หนักขนาดนั้นเลยหรือพริ้นซ์’
สราวลีเอ่ยถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเจือแววทุกข์ร้อนไม่ต่างจากหญิงสาวที่มาขอความช่วยเหลือ
‘ค่ะ...พี่ลี’ ปิณฑิราพยักหน้าเอ่ยรับคำเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่พ้นลำคอ
‘ถ้างั้นนั่งรอนี่น่ะ เดี๋ยวพี่ไปเรียกเจ๊ให้ เจ๊เพิ่งขึ้นไปเอนหลังตะกี้เอง’
สราวลีจับร่างบางระหงที่ยังสั่นเทาจากแรงสะอื้นร้องไห้ให้ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาสีฉูดฉาดก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไปตามเจ๊ยาหรือวิริยาให้หญิงสาว
ปิณฑิรานั่งสะอื้นร้องไห้เบาๆ ด้วยความทุกข์ใจและอดสูที่ต้องตัดสินใจทำแบบนี้ เธอกวาดสายตามองไปรอบบริเวณห้องโถงของบ้านวิริยาซึ่งถูกตกแต่งไว้อย่างวิจิตรโอฬารเพื่อรองรับแขกวีไอพีไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตให้มาพักผ่อนที่บ้านวิริยาได้
ทุกคนในละแวกนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายต่างก็รู้ดีว่าบ้านวิริยาคือสวรรค์วิมานบนดินสำหรับชายหนุ่มที่อยู่ในระดับเศรษฐีที่จะมาหาความสุขผ่อนคลายในบ้านหลังนี้ เด็กสาวที่ถูกเลือกมาคอยบำบัดบำเรอจะต้องสะอาดไม่มีประวัติมัวหมองทั้งเรื่องยาเสพติดและอาชญากรรมต่างๆ ผู้ชายที่มาที่นี่ก็เพื่อต้องการขึ้นสวรรค์วิมานชั้นดาวดึงส์ และผู้หญิงที่มาที่นี่ก็เพื่อต้องการ ‘เงิน’ ดังเช่นที่เธอกำลังต้องการอยู่ ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมอันดีงามของเมืองไทย แต่เธอก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทำ เพราะเธอไม่อาจปล่อยให้บุพการีที่เลี้ยงดูเธอมาต้องตายไปต่อหน้าต่อตา
เจ๊ยาหรือคุณวิริยาพาร่างอวบอิ่มติดจะสมบูรณ์ไปหน่อยเดินลงบันไดมาด้วยความรีบร้อนเมื่อคนรับใช้คนสนิทเข้าไปบอกว่าปิณฑิราร้องห่มร้องไห้กำลังต้องการความช่วยเหลือ
‘หนูพริ้นซ์...มีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือลูกถึงได้ร้องไห้น้ำตาเป็นเต่าเผาแบบนี้’
เจ๊ยาทรุดตัวลงนั่งติดๆ กับร่างบางระหงที่ยังสะอื้นร้องไห้เบาๆ มือใหญ่อวบอิ่มเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
ปิณฑิราจับมือนุ่มนิ่มของเจ๊ยามากุมไว้ ดวงตาคู่สวยแดงก่ำจ้องมองแน่นิ่งที่เจ๊ผู้ใจดีก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแผ่วเบา
‘เจ๊คะ แม่ติดหนี้พนันเสี่ยประกิจเกือบสามแสน วันนี้มันส่งคนมาทวงหนี้และก็ทำร้ายแม่จนสลบ พริ้นซ์...อยากมาของานเจ๊ทำ พริ้นซ์จะเอาเงินไปใช้หนี้ให้แม่ พวกลูกน้องของเสี่ยประกิจมันขู่ว่าถ้าไม่เอาเงินมาใช้ทั้งหมดภายในอาทิตย์นี้มันจะ...จะ...มาฆ่าแม่แล้วก็เอาพริ้นซ์ไปเป็นตัวขัดดอก’
‘โธ่เอ๋ย...เด็กน้อยของฉัน’
วิริยาโอบแขนไปรอบเรือนร่างบางระหงที่สะอื้นฮักจนตัวสั่นโยนด้วยความสงสารในชะตากรรมที่ต้องประสบพบเจอ นางรู้ความหมายของคำว่า ‘งาน’ ที่เด็กสาวเอ่ยร้องขอว่าเป็นงานเช่นใด แต่นางไม่อยากให้หญิงสาวที่สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นคนดีอย่างปิณฑิราต้องมาแปดเปื้อนราคีเพราะความมากตัณหาของพวกผู้ชาย...
‘พริ้นซ์...เจ๊ว่าหนูลองหาวิธีอื่นก่อนดีมั้ย เจ๊รักและเอ็นดูหนูเหมือนลูกของเจ๊เอง บอกตามตรงว่าเจ๊ไม่อยากให้หนูทำงานนี้เลย’
เจ๊ใหญ่แห่งวงการค้าเนื้อสดที่เป็นไปตามความสมัครใจของหญิงสาวทั้งหลายโดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญพยายามเอ่ยตะล่อมหว่านล้อมให้เด็กสาวเปลี่ยนใจ
ปิณฑิราก้มหน้านิ่งน้ำตาหยดแหมะลงกระทบกับมือบางสั่นเทาที่วางไว้บนหน้าตักของตัวเอง เจ๊ยาปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือเธอเรื่องงาน แม่เธอกำลังจะตาย...และเธอก็กำลังจะตกไปเป็นของบำบัดความใคร่ให้กับเสี่ยประกิจและลูกน้องอีกทั้งฝูง
‘เจ๊ยาคะ ถือว่าช่วยพริ้นซ์สักครั้งเถอะคะ พริ้นซ์ยอมตกเป็นของใครคนใดคนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว ดีกว่าที่จะตกไปเป็นของเล่นบำบัดความใคร่ให้ไอ้เสี่ยประกิจกับลูกน้องของมัน’
‘ลีเห็นด้วยกับสิ่งที่หนูพริ้นซ์พูดมาน่ะพี่ยา ช่วยพริ้นซ์เถอะ’
สราวลีที่นั่งนิ่งฟังอยู่นานเอ่ยสนับสนุนความคิดเห็นของหญิงสาวแสนหวานที่สะอื้นร้องไห้จนตาบวมแดงก่ำไปหมด
‘เฮ้อ...พริ้นซ์เป็นคนเลือกเองน่ะ เอาเถอะ...เจ๊จะลองหาลูกค้าให้ แต่มันก็ยากเอาการเหมือนกันน่ะ ใครจะกล้าจ่ายตั้งสามแสนเพื่อแลกกับการอยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง’
วิริยาถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ เมื่อเอ่ยปากตอบตกลงที่จะช่วยก็มาหนักใจเรื่องการหาลูกค้าชั้นดีที่กระเป๋าหนักจริงๆ และยอมจ่ายเงินหลายแสนเพื่อแลกกับความบริสุทธิ์ผุดผ่องของหญิงสาวที่สวยสดงดงามคนนี้
สราวลีเคาะกะโหลกตัวเองเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้านายสาวเธอกำลังนึกถึงลูกค้าวีไอพีที่โทรเข้ามาเมื่อวันสองวันก่อน
‘พี่ยา ลีจำได้แล้วค่ะ’
จู่ๆ สราวลีก็ยิ้มแป้นร้องตะโกนออกมาเสียงดังจนทำให้คนที่เป็นเจ้านายต้องตวาดห้ามเบาๆ
‘อะไรของแกยายลี จู่ๆ ก็มาตะโกนลั่นแสบแก้วหูไปหมด’
‘อ้าว...ก็เรื่องลูกค้าระดับวีไอพีกระเป๋าหนักที่มีเงินถุงเงินถังมากมายเหลือเฝือที่จะซื้อ...เอ้ยไม่ใช่...ที่พอจะช่วยหนู
พริ้นซ์ได้ไงค่ะ’
สราวลียิ้มกว้างให้หญิงสาวทั้งสอง เธอบรรยายถึงความร่ำรวยของลูกค้าเสียยืดยาวจนเจ๊ยาอดที่จะค้อนขวับไม่ได้
‘ไหน? ใครกันย่ะที่แกบอกว่ามีเงินถุงเงินถังมากมายเหลือเฝือ เท่าที่ฉันเห็นก็มีแค่พวกเสี่ยๆ เมียเผลอที่ยอมจ่ายเงินแค่ไม่กี่หมื่นบาท’
วิริยาเอ่ยประชดเสียงห้วนซึ่งฟังแล้วแทบจะแยกแยะไม่ออกว่านางประชดลูกน้องหรือประชดพวกผู้ชายมักมากไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยากันแน่ ถึงแม้นางจะทำอาชีพเกือบๆ จะเรียกว่า ‘แม่เล้า’ แต่นางก็ยังมีจริยธรรมความดีหลงเหลืออยู่ในใจบ้าง เด็กสาวที่มาที่บ้านวิริยาเธอจะรับเฉพาะคนที่มาด้วยความสมัครใจ ไม่มีการขู่บังคับเขี่ยวเข็ญให้ทำงานและลูกค้าของเธอเองต้องถือกฏของบ้านวิริยาอย่างเคร่งครัดคือห้ามทำร้ายทารุณกับเด็กสาว เงินรายได้จากการทำอาชีพนี้ส่วนหนึ่งนางก็นำไปบริจาคสร้างวัดสร้างโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่สามารถชดเชยกันได้แต่นางก็คิดว่ายังดีกว่าไม่ได้ช่วยเหลือสังคมเลย
สราวลีลุกขึ้นจากโซฟาสีฉูดฉาดแล้วไปหยิบสมุดจดรายชื่อลูกค้ามาพลิกเปิดดู 2-3 หน้าก่อนจะเอ่ยตอบเจ้านาย
‘นี่ไงค่ะ ลูกค้าที่ลีพูดถึง เมื่อสองวันก่อนมีลูกค้าชาวอาหรับคนหนึ่งโทรมาบอกว่าต้องการเด็กสาวที่ยังสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทินให้ไปอยู่กับท่านชีคของเขาสักหนึ่งคืน ถ้าหากว่ามีเด็กตามที่ต้องการเขาจะจ่ายให้ไม่อั้น’
‘เขาจะยอมจ่ายถึงสามแสนหรือยายลี’
‘ไม่ลองก็ไม่รู้ค่ะ เดี๋ยวลีจะลองโทรไปหาเขาดู เขาทิ้งเบอร์ไว้ให้ลีด้วย’
สราวลีเอ่ยตอบก่อนจะรีบลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์และกดโทรหาลูกค้าอย่างรวดเร็ว
ปิณฑิราก้มหน้านิ่งปล่อยให้หยาดน้ำตาใสแพรวพราวหยดลงเป็นทางด้วยความอดสูขณะที่ฟังหญิงสาวทั้งสองคนเอ่ยปรึกษาหารือกันเรื่องการหาลูกค้ากระเป๋าหนักให้เธอ
ทำไงได้?...เมื่อไม่มีหนทางในการหาเงินแสนที่รวดเร็วทันใจเหมือนวิธีนี้แล้วเธอก็ต้องยอมก้มหน้ารับกับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
สราวลีคุยโทรศัพท์กับลูกค้าด้วยภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่นงูๆ ปลาๆ แต่ครู่เดียวเธอก็เบิกตากว้างแล้วพูดเป็นภาษาไทยรัวเร็วเมื่อฝ่ายลูกค้าถามกลับเป็นภาษาไทย พอถึงตอนที่จะเสนอราคาให้ลูกค้าทราบเธอก็เอามือปิดโทรศัพท์แล้วทำปากพะง้าบๆ ถามเจ๊ยา
‘เท่าไหร่’
เจ๊ยาตัดสินใจอย่างรวดเร็วแล้วยกมือชูนิ้วขึ้นสี่นิ้วบ่งบอกถึงราคาที่จะเสนอขาย ปิณฑิราเห็นแล้วก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย ใครจะบ้ากล้าซื้อตัวเธอตั้งสี่แสน
อีกกี่นาทีต่อมาสราวลีก็วางโทรศัพท์พร้อมกับยิ้มกว้างทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วเอ่ยบอกข่าวดีให้หญิงสาวทั้งสองคนทราบ
‘ลูกค้าตกลงยอมจ่ายค่ะ โอ๊ย...ลีแทบจะไม่เชื่อเลยว่าจะมีใครใจป้ำยอมจ่ายเงินสี่แสนกับแค่คืนเดียว’
‘พอแล้วยายลีไม่ต้องดีใจโอเวอร์ ลูกค้าชื่ออะไรเป็นพวกค้ายาหรือเปล่าถึงได้มีเงินมากมายขนาดนี้’
เจ๊ยาต่อว่าลูกน้องก่อนจะเอ่ยพึมพำออกมาด้วยความสงสัย
‘ลีคิดว่าไม่น่าใช่พวกค้ายานะคะ เพราะลูกค้าที่ลีโทรไปหาเขาบอกว่าเจ้านายเขาเป็นชีคที่ประเทศ...เอ่อ...ประเทศอะไรก็ไม่รู้จำได้แต่ว่ารานส์ๆ นี่แหละค่ะ ประเทศเขารวยบ่อน้ำมันค่ะ และเจ้านายเขาก็เป็นประมุขเป็นเจ้าของประเทศ ลีคิดว่าเงินแค่นี้คงจะเป็นแค่เศษเงินของพวกเขา’ สราวลีเอ่ยบอกตามข้อมูลที่ซักถามกับลูกค้ามาอย่างคร่าวๆ เท่าที่ฝ่ายโน้นจะยอมเผยออกมา
‘ทำไมเจ๊กับพี่ลีเรียกค่าตัวให้พริ้นซ์มากจังเลยคะ’ หญิงสาวอดที่จะเอ่ยถามถึงจำนวนเงินมหาศาลไม่ได้
‘เจ๊เรียกเผื่อให้หนู สามแสนเอาไปใช้หนี้ไอ้เสี่ยประกิจให้หมดส่วนที่เหลืออีกหนึ่งแสนพริ้นซ์เอาไว้เป็นค่ารักษาพยาบาลแม่และก็เอาไว้เป็นทุนในการประกอบอาชีพ’ เจ๊ยายิ้มบางๆ ให้หญิงสาวก่อนจะกวักมือเรียกให้อีกฝ่ายขยับเข้ามานั่งใกล้ชิดตนเองมากยิ่งขึ้น
‘เงินสี่แสนที่ได้เจ๊จะให้พริ้นซ์ทั้งหมด แต่พริ้นซ์ต้องสัญญากับเจ๊ว่าจะทำครั้งนี้แค่ครั้งเดียว เจ๊ไม่อยากให้หนูต้องมาแปดเปื้อนคาวราคีเหมือนเจ๊กับยายลี”
วิริยาเปล่งเอ่ยขอคำมั่นสัญญาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เพราะนางหลงเดินทางผิดมาตั้งแต่ต้นทำให้ไม่อาจหวนกลับคืนได้นอกจากจะเดินต่อไปโดยไม่ลืมทำความดีเพื่อเป็นการชดเชยส่วนที่เลวร้ายของตนเอง
‘พริ้นซ์...หนูต้องบอกเรื่องนี้กับแม่หนูน่ะ เจ๊อยากให้แม่หนูเขาได้ละอายใจสำนึกผิดที่ทำให้ลูกสาวแสนสวยราวกับตุ๊กตาเจียระไนต้องมาแปดเปื้อนเพราะนาง’
ปิณฑิราสะอื้นร้องไห้ออกมาเบาๆ ขณะที่ยินคำพูดของเจ๊ยา เธอก้มลงกราบบนหน้าตักของหญิงหม้ายวัยค่อนคนที่ไม่ยอมหักเงินเธอแม้แต่แดงเดียว
‘พริ้นซ์ให้สัญญากับทุกสิ่งที่เจ๊ยาขอมา พริ้นซ์จะบอกแม่...บอกให้แม่รู้ว่าเพราะการพนันทำให้พริ้นซ์ต้องขายตัวเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ให้แม่’
หญิงสาวเอ่ยคำมั่นสัญญาด้วยใบหน้าและน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวอย่างตัดสินใจดีแล้ว มือบางยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาออกมาจากใบหน้า เธอจะไม่ร้องไห้ให้กับความสาวที่กำลังจะสูญเสียไป เพราะนี่คือสิ่งที่เธอจะทำได้เพื่อเป็นการตอบแทนมารดาที่เธอรัก
วิริยาเอื้อมมือไปกอบกุมใบหน้างดงามชวนหลงใหลไว้พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเจือแววเอ็นดู
‘พริ้นซ์...หนูฟังเจ๊น่ะ หนูเป็นเด็กดี เป็นเด็กที่กตัญญูต่อบุพการี เมื่อสูญเสียสิ่งที่ห่วงแหนมาตลอดทั้งชีวิตของวัยสาวไปแล้วอย่าได้คิดถึงมันอีก ผ่านพ้นคืนนี้ไปแล้วก็ให้มันแล้วไป รุ่งเช้าหนูก็จะเป็นพริ้นซ์คนเดิม เป็นเจ้าหญิงที่สวยสดงดงามอยู่ในใจของใครหลายๆ คนตลอดไป’
ปิณฑิราเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงพร้อมกับโผเข้าไปกอดเจ๊ยาผู้ใจดีไว้แน่น
‘ค่ะเจ๊ยา พริ้นซ์จะไม่คิดถึงมัน พรุ่งนี้พริ้นซ์จะเป็นพริ้นซ์คนเดิมจะทำตัวตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น’
วิริยายิ้มบางๆ ตรงมุมปากด้วยความพึงพอใจเมื่อได้ยินน้ำคำตอบรับอย่างหนักแน่น นางเบือนหน้าหนีจากใบหน้าของเด็กสาวก่อนจะหันไปถามลูกน้องคนสนิท
‘ลูกค้านัดให้ไปพบที่ไหน’