บทที่ 2 (2)
“คุณพระช่วย!...”
คุณปิยาพัชรยกมือทาบอกร้องออกมาด้วยความตกใจถึงตอนนี้ใบหน้าของนางซีดขาวยิ่งกว่าลูกสาวเสียอีก และจะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไรก็ต่อเมื่อชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ที่ลูกสาวนางจะไปพบเป็นคนๆ เดียวกันที่เป็นพ่อของหลานชายนางคือเด็กชายฟารีสต์ กุลยา
“ทำไมต้องเป็นชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ด้วย พริ้นซ์...หนูยกเลิกการเดินทางแล้วให้คนอื่นไปไม่ได้หรือลูก”
นางเอ่ยถามเสียงสั่นรู้สึกหวาดกลัวและเป็นกังวลในการเดินทางไปยังประเทศอัสดารานส์ของลูกสาวในครั้งนี้
“ถ้าคุณกรกฏยอมก็ดีสิค่ะ แต่นี่คุณกรกฏยืนกรานคำเดียวว่าต้องเป็นพริ้นซ์เท่านั้น คุณกรกฏเขาวางแผนงานให้
พริ้นซ์หมดแล้ว ทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบิน ที่พักก็สั่งให้น้องพันธิสาจองให้เรียบร้อย แล้วที่ทำให้พริ้นซ์ปฏิเสธไม่ลงก็คือการที่
คุณกรกฏหยิบยกเรื่องปากท้องของพนักงานทั้งบริษัทมาพูด”
“เฮ้อ...คุณกรกฏช่างรู้จุดอ่อนของพริ้นซ์ดีนัก แล้วคราวนี้จะทำยังไงล่ะลูก” คุณปิยาพัชรถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ
“ก็คงต้องไปที่อัสดารานส์ตามกำหนดการเดิมนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือมารดาที่เย็นเฉียบไม่แพ้มือเธอมากุมไว้แน่น ใบหน้างามเนียนนัยน์ตาคู่สวยเป็นทุกข์กังวลขณะที่จ้องมองมารดาและเอ่ยถามออกมา
“แม่คะ ถ้าหาก...ชีคฟาซิซต์รู้ว่าพริ้นซ์มีลูกกับเขา ชีคจะมาพรากฟารีสต์ไปจากพริ้นซ์มั้ยคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความหวาดหวั่น กลัวว่าต้องเสียแก้วตาดวงใจไป ถ้าหากชีคฟาซิซต์รู้ความจริงว่าผลพวงจากการที่เธอและเขาได้อยู่ร่วมกันในคืนนั้นทำให้มีเด็กน้อยหน้าตาคมเข้มนัยน์ตาสีดำสนิทลึกลับที่ถอดแบบมาจากเขาไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่กระเบียดนิ้วเดียว
คุณปิยาพัชรโอบแขนไปรอบตัวลูกสาวแล้วดึงมากอดไว้แน่นก่อนจะเอ่ยปลอบลูกสาวและตนเองไปในตัว
“แม่คิดว่าพริ้นซ์อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยน่ะลูก...เอ่อ...บางทีแม่คิดว่าถ้าหากชีคฟาซิซต์เขาได้เห็นหนูเขาคงจำไม่ได้หรอกมั้งว่าหนูเป็นใคร”
ปิณฑิราก้มหน้านิ่งน้ำตาร่วงเผาะลงมาตามร่องแก้มอย่างหักห้ามไว้ไม่อยู่เมื่อนึกถึงความเป็นจริงตามที่มารดาพูดออกมา ใครเลยจะจำหญิงสาวที่อยู่ด้วยกันแค่เพียงคืนเดียวได้ ยิ่งเป็นชีคเป็นเจ้าแห่งทะเลทรายผู้ยิ่งใหญ่ที่มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาสวยระดับนางงามนางแบบที่เข้ามาในชีวิตแทบจะตลอดเวลาอย่างชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ยิ่งไม่มีทางจดจำผู้หญิงหน้าตาจืดๆ อย่างเธอได้แน่นอน
แต่...สิ่งที่ทำให้เธอหวาดหวั่นก็คือถ้อยคำที่ชีคฟาซิซต์เขียนใส่ด้านหลังเช็คซึ่งเป็นสิ่งย้ำเตือนทำให้เธอกลัวมาจนถึงทุกวันนี้ กลัวว่าชีคจะมาพรากลูกชายที่รักไปจากอ้อมอกของเธอ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเธอคงจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้
“นั่นน่ะสิค่ะ ใครจะมาจำพริ้นซ์ได้ ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างพริ้นซ์มีเป็นโหล ต่อให้เดินเข้าไปบอกว่าครั้งหนึ่งเราเคยอยู่ด้วยกัน ชีคฟาซิซต์ก็ไม่มีทางจำได้แน่นอน”
หญิงสาวกล้ำกลืนก้อนสะอื้นด้วยความร้าวรานเอ่ยสนับสนุนคำพูดของมารดาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแผ่วเบา
“โธ่...พริ้นซ์ลูกแม่ แม่ขอโทษ...เพราะแม่ไม่ดี แม่ปล่อยให้ผีการพนันเข้าสิงจนทำให้หนูต้องลำบากจนต้อง...”
ซุ่มเสียงสั่นเครือของหญิงหม้ายขาดหายไปในลำคอและถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้นร้องไห้ของคนที่สำนึกผิดกับการกระทำของตนเองจนพลอยให้ลูกหลานต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
ปิณฑิราโอบกอดร่างของมารดาที่สั่นเทาจากแรงสะอื้นไว้ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตาให้มารดาพร้อมกับฝืนยิ้มบางๆ
“คุณแม่อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ต่อให้พริ้นซ์ต้องทำมากกว่านี้พริ้นซ์ก็จะทำ เพราะพริ้นซ์เป็นลูกของแม่ พริ้นซ์ต้องตอบแทนที่แม่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูพริ้นซ์มา แต่หนูขอแค่อย่างเดียว...ขอแค่แม่อย่าหวนกลับไปหามันอีกก็เพียงพอแล้วค่ะ”
“พริ้นซ์ลูกแม่...”
คุณปิยาพัชรโผเข้าไปกอดลูกสาวไว้แน่น เสียงสะอื้นร้องไห้ของนางหนักกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกเอื้อนเอ่ยวาจาออกมา
“แม่ขอโทษ แม่ทำให้หนูต้องกลายเป็นแบบนี้”
“ไม่หรอกค่ะแม่ ลองคิดในแง่ดีสิค่ะ ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ในคืนวันนั้น แม่กับพริ้นซ์ก็ไม่มีเจ้าชายสุดหล่อที่ชื่อ
ฟารีสต์ให้เชยชม” หญิงสาวฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่เอ่ยพูดเบี่ยงเบนความเศร้ารู้สึกผิดออกไปจากใจของมารดา
“ฟารีสต์กับพริ้นซ์เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของแม่ แม่สัญญาว่าตลอดชีวิตที่เหลือของแม่ แม่จะไม่ให้พวกอบายมุขต่างๆ ได้เข้ามาทำลายชีวิตแม่กับหนูได้อีก”
“ขอบคุณค่ะแม่ ได้ยินแบบนี้แล้วทำให้พริ้นซ์มีกำลังใจขึ้นมามาก” หญิงสาวรวบมือมารดามากุมไว้แน่นขณะที่เอ่ยพูด
“บอกตามตรงว่าแม่เข็ดแล้ว” คุณปิยาพัชรตีหน้าม่อยเอ่ยสารภาพเสียงอ่อน
“จะว่าไปพริ้นซ์ก็ตีตนก่อนไข้เหมือนที่แม่พูดจริงๆ นั่นแหละ ป่านนี้ชีคฟาซิซต์คงจะมีพระชายาที่สวยสง่างดงามที่เหมาะสมเคียงคู่กัน ท่านชีคและพระชายาคงจะให้กำเนิดเด็กหญิงเด็กชายนัยน์ตาคมสักครึ่งโหลได้แล้วมั้ง ต่อให้เขาเห็น
ฟารีสต์เขาก็คงไม่ต้องการลูกชายคนนี้หรอก”
หญิงสาวยิ้มขื่นเอ่ยกับมารดาด้วยน้ำเสียงราบเรียบติดประชดประชันคนที่อยู่ห่างไกลหลายหมื่นพันไมล์ โดยหารู้ไม่ว่าซุ่มเสียงที่เอ่ยออกมาเจือไปด้วยความเจ็บปวดระคนเสียใจจนมารดาเธอต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“พริ้นซ์...”
นางเรียกลูกสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ถ้าหากชีคฟาซิซต์เขาไม่ต้องการตาหนูก็ไม่เป็นไรแม่จะเลี้ยงดูหลานของแม่อย่างดี หรือถ้าหากชีคเขารู้ว่าตาหนูเป็นลูกเขาและจะพรากตาหนูไปจากอกแม่...แม่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
“เขาคงไม่ต้องการฟารีสต์หรอกค่ะ เหมือนที่เขาไม่ต้องการพริ้นซ์เลยไงค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่นเครือปล่อยให้น้ำตาไหลลงเป็นทางยาวโดยปราศจากเสียงร้องไห้
“แม่ว่าเลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะน่ะลูก หนูจะออกเดินทางเมื่อไหร่เผื่อว่าแม่จะได้ทำพวกอาหารแห้งที่พอจะเอาขึ้นเครื่องได้ให้หนูเอาไปกินระหว่างอยู่ที่อัสดารานส์”
คุณปิยาพัชรชวนลูกสาวพูดถึงเรื่องอื่นเพราะยิ่งพูดถึงเรื่องของชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ก็ยิ่งเป็นการเปิดบาดแผลทำให้ลูกสาวของนางเสียใจมากยิ่งขึ้น
“คงจะไม่ทันแล้วล่ะค่ะ เพราะพริ้นซ์ต้องออกเดินทางพรุ่งนี้ เครื่องจะออกตอนตีห้าครึ่ง” หญิงสาวเอ่ยบอกยิ้มๆ ยอมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามที่มารดาขอร้อง
“อะไรกันลูก ทำไมมันกะทันหันแบบนี้ล่ะ” นางร้องออกมาเสียงหลงเมื่อได้ยินคำตอบของลูก
“คุณกรกฏไม่อยากรอช้า ทางอัสดารานส์เขาก็เร่งมาด้วยนะคะ”
“แล้วหนูต้องไปกี่วันล่ะลูก”
“พริ้นซ์ตอบยังไม่ได้ค่ะแม่ ขึ้นอยู่ที่ว่าชีคฟาซิซต์จะเซ็นเอกสารให้เร็วแค่ไหน แต่พริ้นซ์จะพยายามตะล่อมให้เขาเซ็นให้เร็วที่สุด”
หญิงสาวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เธอไม่สามารถกำหนดกะเกณฑ์ได้เลยว่าการเดินทางไปอัสดารานส์ครั้งนี้จะต้องพำนักอาศัยอยู่ที่ประเทศที่ร่ำรวยด้วยบ่อน้ำมันนับร้อยๆ บ่อนานเพียงใด เพราะคนที่จะกำหนดและตัดสินได้ก็มีแค่ชีคฟาซิซต์คนเดียวเท่านั้น
“เฮ้อ...แบบนี้ก็แย่น่ะสิลูก” คุณปิยาพัชรถอนหายใจยาวรู้สึกหนักใจไม่แพ้ลูกสาว
“แย่ที่สุดค่ะแม่ แต่งานก็ต้องเป็นงาน”
“ถ้างั้นพริ้นซ์ไปจัดกระเป๋าเถอะลูก แล้วก็นอนพักสักงีบเก็บแรงไว้พรุ่งนี้”
“ค่ะแม่ ถ้าใกล้เวลาที่รถโรงเรียนมาส่งฟารีสต์แม่ตะโกนบอกพริ้นซ์ด้วยนะคะ นานๆ ทีจะได้เลิกงานแต่หัววันมารอรับเจ้าชายตาคม ถ้าฟารีสต์เห็นพริ้นซ์คงจะยิ้มแก้มปริด้วยความดีใจแน่ๆ เลย”
หญิงสาวเอ่ยด้วยใบหน้าที่ยิ้มละไมไปด้วยความสุขเมื่อได้พูดถึงลูกชายที่เธอรักยิ่งกว่าดวงใจ
“ถ้าฟารีสต์เห็นพริ้นซ์รอรับอยู่หน้าบ้านแม่ว่าคงจะกระโดดลงจากรถแทบไม่ทันเลยแหละ”
“พริ้นซ์ไปจัดกระเป๋าก่อนนะคะแม่”
“ไปเถอะลูก เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาแม่จะเข้าไปเรียกหนูเอง”
คุณปิยาพัชรยิ้มอบอุ่นให้ลูกสาวที่ลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าแผ่วเบาเข้าไปในตัวบ้าน สายตาของคนที่เป็นแม่ผ่านโลกมามากมองตามเรือนร่างบางระหงอรชรอ้อนแอ้นของลูกสาวด้วยความเป็นกังวล นางรู้ว่าการเดินทางไปประเทศอัสดารานด์ในครั้งนี้กำลังจะทำให้ชีวิตของลูกสาวต้องประสบกับความเจ็บปวดเสียใจอีกครั้ง
“แม่เชื่อว่าชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ต้องจำพริ้นซ์ได้แน่นอนและจำได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกับลูกสาวแม่ด้วย” เมื่อลูกสาวเดินพ้นรัศมีที่จะได้ยินนางก็ถอนหายใจยืดยาวพร้อมกับเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ
ปิณฑิราในวัย 22 ปีที่พบกับชีคฟาซิซต์เป็นครั้งแรกกับปิณฑิราในวัยปัจจุบัน ยังคงเป็นหญิงสาวที่แสนสวยงดงามอ่อนหวานชวนรักใคร่หลงใหลอาจจะสวยสง่างดงามยิ่งกว่าวัยแรกสาวด้วยซ้ำไป ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาไม่น่าจดจำ แต่นางไม่คิดเช่นนั้น...ลูกสาวของนางมีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นผิวพรรณผ่องเนียนไปทั้งตัว ใบหน้างามหวานรูปไข่ เรียวปากอิ่มเอิบสีกุหลาบรับกันอย่างหมดเจาะกับจมูกโด่งเป็นสัน ดวงตากลมโตดำสนิทสวยงามภายใต้ขนตายาวงอน เส้นผมดำขลับเหยียดยาวตรงทิ้งตัวสวยงามมันระยับอยู่กลางหลัง มองโดยรวมแล้วนางเชื่อว่าลูกสาวของนางงดงามชวนพิศยิ่งกว่านางในวรรณคดี ชายใดที่ได้เห็นพบเจอะเจอต่างก็หันมามองตามจนต้องเหลียวหลังต่อให้ใจแข็งป่านหินผาก็อดไม่ได้ที่จะหลงรักในตัวหญิงสาว ซึ่งนางก็ได้แต่หวังลึกๆ ว่าชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ คงยังไม่มีพระชายาและเมื่อได้พบกับลูกสาวของนางอีกครั้งนางก็ภาวนาให้ชีคฟาซิซต์มีใจรักภักดีต่อลูกสาวนางบ้าง เพราะทั้งนี้ทั้งนั้นนางสงสารฟารีสต์ นางอยากให้หลานชายได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกเหมือนเด็กคนอื่นๆ
ปิณฑิราเดินโผเผเข้าห้องนอนพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลลงเป็นทางยาวจนเปียกชุ่มหมอนใบใหญ่ เสียงสะอื้นร้องไห้ที่กักเก็บไว้แสนนานถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับน้ำตาอุ่นใสที่ไหลรินราวกับทำนบแตก
แสงแดดสีทองในยามบ่ายคล้อยที่สาดส่องเข้ามาในห้องกระทบกับรูปภาพที่ตั้งไว้บนหัวเตียงทำให้เกิดแสงวูบวาวเล็ดลอดเข้ามากระทบดวงตาคู่งามจนเจ้าตัวต้องผุดลุกขึ้นไปหยิบภาพถ่ายขึ้นมาดู
เด็กชายในวัย 6 ขวบยิ้มแป้นแก้มแทบปริใส่กล้อง ทั้งรูปโครงหน้า สีผมและนัยน์ตาที่คมกริบทอดแบบจาก
ชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ คนที่เป็นพ่อไม่มีผิดเพี้ยน
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบรูปภาพของลูกชายด้วยความสะเทือนใจ ภาพนี้มารดาของเธอเป็นคนถ่ายให้ตอนที่พากันไปเที่ยวที่สวนสนุก เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวโดยให้ฟารีสต์นั่งซ้อนตักอีกที ฟารีสต์เอนศีรษะพิงกับอกเธอและยิ้มแป้นให้คุณยายที่เป็นคนถ่ายภาพ หญิงสาวยกภาพถ่ายขึ้นมาประทับจุมพิตก่อนจะกอดไว้แนบอก ใบหน้างามเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาคู่สวยจับจ้องแน่นิ่งอยู่ที่โมบายดินเผารูปผีเสื้อที่กำลังโบกพัดไหวไปตามแรงลมจนเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะหู
แต่หญิงสาวที่นั่งนิ่งน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตามิได้รู้สึกหรือรับรู้กับสิ่งที่พัดไหวอยู่รอบกายเพราะตอนนี้จิตใจเธอกำลังล่องลอยหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมาอันก่อให้เกิดทั้งความรักความผูกพันความเสียใจรวดร้าวผสมปนเปกันนานนับแรมปี