บทที่ 2 (1)
หญิงหม้ายวัยห้าสิบปีต้นๆ ที่ยังคงความสวยไม่ส่างกำลังถักโครเชต์อยู่ใต้ร่มต้นมะม่วงภายในบ้านหลังเล็กถึงกับรีบวางงานในมือลงพร้อมกับผุดลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูรั้วเหล็กให้ลูกสาวเดินเข้ามาในบ้าน
“ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วจังเลยพริ้นซ์” คุณปิยาพัชรเอ่ยถามด้วยความสงสัยแกมแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกสาวกลับบ้านแต่หัววัน
ปิณฑิราทรุดตัวลงนั่งพับเพียบบนเสื่อกกพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาซับเหงื่อที่แตกแพรวพราวเต็มใบหน้าหวานด้วยความร้อนจากการเดินตากแดดตั้งแต่ปากซอยเข้ามาในตัวบ้าน
“พริ้นซ์ขอพักเหนื่อยสักครู่นะคะ แดดร้อนเหลือเกิน” หญิงสาวคลี่ยิ้มหวานให้มารดาจากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าโบกพัดเพื่อให้ลมเย็นบางเบาตีหน้าตนเอง
“ถ้างั้นเดี๋ยวแม่เอาน้ำใบเตยเย็นๆ มาให้น่ะ รอแป๊บหนึ่งน่ะลูก”
คุณปิยาพัชรเอ่ยบอกพร้อมกับกุลีกุจอสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปในบ้านและกลับมาอีกทีพร้อมกับน้ำใบเตยเย็นเจี๊ยบหอมกรุ่นชื่นใจฝีมือของนางเอง
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
หญิงสาวรับน้ำใบเตยมาดื่มรวดเดียวหมดไปครึ่งแก้วก่อนจะวางลงบนพื้นเสื่อแล้วหยิบงานฝีมือที่มารดาถักค้างไว้ขึ้นมาดู
“คุณแม่ถักอะไรอยู่คะ”
“ผ้าปูโต๊ะน่ะลูก คุณอรพิมเธอจะขึ้นบ้านใหม่เร็วๆ นี้ก็เลยมาสั่งให้แม่ถักให้ มีลูกค้าตั้งหลายรายมาสั่งให้แม่ถักทั้งผ้าคลุมตู้เย็น ผ้าคลุมทีวี ถักปลอกหมอน งานแม่เยอะจนแทบจะล้นมืออยู่แล้ว”
คุณปิยาพัชรบ่นกับลูกสาวเล็กน้อย ซุ่มเสียงไม่ได้บ่งบอกว่าเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายแต่กลับเต็มไปด้วยความสุขใจกับงานฝีมือที่ตนเองทำอยู่
“แบบนี้คุณแม่ก็รวยเละสิคะ”
ปิณฑิราเอ่ยแซวยิ้มๆ ดีใจที่มารดามีงานทำ ทำให้ไม่มีเวลาคิดฟุ่งซ่านและใช้เวลาในทางที่ไม่ถูกเหมือนอดีตที่ผ่านมา
คุณปิยาพัชรยิ้มเขินๆ กับคำแซวของลูกสาว นางหยิบผ้าปูโต๊ะที่ถักไปได้ครึ่งหนึ่งมาลูบคลำด้วยความรักและภาคภูมิใจงานฝีมืออันประณีตละเอียดอ่อนก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยตอบลูกสาว
“เรื่องเงินไม่เท่าไหร่หรอกพริ้นซ์ แต่แม่ภูมิใจและก็ดีใจเวลาที่ลูกค้าเขามารับงานที่สั่งไว้แล้วก็เอ่ยชมฝีมือแม่ไม่ได้หยุดปาก แม่ดีใจที่มีคนเห็นคุณค่างานที่เราเหน็ดเหนื่อยหลังขดหลังแข็งตั้งใจทำน่ะลูก”
“แหม...ก็คุณแม่ของพริ้นซ์ถักโครเชต์ได้สวยที่สุด ใครๆ ได้เห็นก็ต้องเป็นปลื้มและก็ยอมจ่ายเงินให้โดยไม่คิดเสียดาย” ปิณฑิราระบายรอยยิ้มทั่วใบหน้าขณะที่เอ่ยชมมารดาอีกครั้ง
“กลายเป็นว่าสองแม่ลูกมาป้อนลูกยอกันเอง” คุณปิยาพัชรแซวลูกสาวคนสวยพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขำผสมโรงกับเสียงหัวเราะหวานใสของลูกสาว
“เออ...พริ้นซ์ยังไม่บอกแม่เลยว่าทำไมกลับบ้านแต่หัววัน หรือว่าหนูไม่สบาย”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ถามลูกสาวค้างไว้และยังไม่ได้รับคำตอบทำให้คุณปิยาพัชรเอ่ยถามอีกครั้ง พอคิดว่าลูกสาวอาจจะไม่สบายก็ตีสีหน้าเป็นกังวลยกมือบางที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลวัยไปอังหน้าผากลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
ปิณฑิราฝืนยิ้มให้มารดาพลางเอื้อมไปจับมือมารดามากุมไว้ด้วยความรัก ใบหน้างามหวานนวลละออถอดสีอย่างหนักใจเมื่อนึกถึงเรื่องงานที่เพิ่งรับมา
“พริ้นซ์สบายดีค่ะแม่”
“จริงหรือเปล่า หนูอย่าโกหกแม่น่ะ” เนื่องจากเห็นว่าใบหน้างามของลูกสาวยังซีดอยู่ทำให้นางเอ่ยย้ำเพื่อความมั่นใจ
ปิณฑิราหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบมารดาให้คลายกังวล “โธ่...คุณแม่เห็นพริ้นซ์เป็นคนขี้โกหกไปได้ พริ้นซ์แค่ไม่สบายใจเรื่องงานนิดหน่อยก็เท่านั้นเองค่ะ”
“ทำไมหรือลูก หรือว่ามีหนุ่มๆ มาพูดจาเกาะแกะให้ลูกแม่ไม่สบายใจอีก”
หญิงหม้ายตีหน้าขึงเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ตลอดระยะในการทำงานที่บริษัทโฆษณาของคุณกรกฏ ลูกสาวนางได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในบริษัทให้ฟังโดยไม่คิดปิดบัง รวมทั้งเรื่องที่มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งนอกและในบริษัทที่พยายามตีสนิทชิดใกล้ต้องการจะเป็นเจ้าชีวิตของลูกสาวนาง และเมื่อได้รับคำปฏิเสธไม่คิดจะเกี่ยวดองด้วยก็พากันพูดกระแหนะกระแหนให้ร้าย แต่ลูกสาวนางกลับเห็นเป็นเรื่องขบขำตอกกลับเปรียบเทียบพวกผู้ชายเหล่านั้นเหมือนหมาที่เห็นองุ่นเปรี้ยว
ปิณฑิราคลี่ยิ้มหวานขอบคุณในความเป็นห่วงของมารดา
“ตั้งแต่คุณกรกฏเรียกพนักงานผู้ชายไปอบรมเรื่องมารยาทเมื่อหลายปีก่อนก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าพริ้นซ์อีกแล้วค่ะ ส่วนมากก็แค่แอบมองแล้วพากันยิ้มซุบซิบเบาๆ ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าพริ้นซ์หรือพูดให้คุณกรกฏได้ยินอีกแต่ถึงเขาจะพูดให้ได้ยิน พริ้นซ์ก็ไม่สนใจหรอกค่ะ”
“อ้าว...แล้วหนูไม่สบายใจเรื่องอะไรล่ะลูก หรือว่างานหนักเกินไป”
“ก็ไม่เชิงว่าหนักเกินไป ที่พริ้นซ์ไม่สบายใจก็เพราะว่าคุณกรกฏจะให้พริ้นซ์เดินทางไปต่างประเทศ ให้เอาเอกสารคู่สัญญาไปให้ลูกค้าเซ็นค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยบอกมารดาแค่เพียงครึ่งหนึ่งยังไม่กล้าบอกเรื่องที่เธอต้องไปเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เป็นคนกุมหัวใจของเธอไว้นานแรมปี
“ทำไมต้องเอาไปให้เซ็นถึงที่ล่ะลูก แค่ส่งเอกสารไปให้พวกเขาเซ็นต์ชื่อเสร็จแล้วก็ส่งกลับมาไม่ได้หรือลูก”
คุณปิยาพัชรเสนอความคิดเห็นตามประสาคนที่ชอบทำอะไรง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนวุ่นวาย นางเห็นว่าการเดินทางไปเดินทางมาเสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการส่งแค่เอกสารไปเสียอีก
ปิณฑิราถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจก่อนจะเอ่ยตอบ “ถ้าหากลูกค้าเขายอมให้เราส่งเอกสารไปให้เซ็นก็ดีสิค่ะ แต่นี่เขาต้องการให้ทางเราเอาเอกสารไปให้เขาถึงที่และอีกอย่างคุณกรกฏก็ต้องการให้พริ้นซ์ไปเก็บข้อมูลสถานที่ที่จะถ่ายทำโฆษณาด้วย”
“พริ้นซ์จะไปที่ประเทศอะไรลูก ทำไมแม่ฟังน้ำเสียงของหนูแล้วรู้สึกว่าหนูกำลังหวาดกลัวกับการเดินทางไปในครั้งนี้” คุณปิยาพัชรเอ่ยถามด้วยความสงสัยโดยหารู้ไม่ว่าคำถามที่เอ่ยถามออกมากำลังแทงใจดำลูกสาวเป็นที่สุด
“พริ้นซ์กำลังจะไปประเทศอัสดารานส์และคนที่พริ้นซ์ต้องเอาเอกสารไปให้เซ็นคือชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์”
หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่พ้นลำคอ ดวงตาคู่สวยกะพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่าน้ำตากำลังเอ่อขึ้นมาคลอเบ้าตา