บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 (2)

หญิงสาวยืนจ้องถุงมะเขืออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลงมือทำตามความคิดของตัวเองว่า มันน่าจะหั่นไม่ต่างกันการการหั่นคะน้าหรือว่าผักบุ้งหรอกมั้ง

ด้วยความที่ไม่ชอบใจ ตั้งแต่ได้ยินผู้เป็นน้าบอกว่าจะมีคุณหนูจากกรุงเทพ ซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิท มาพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง ทำให้ปัถยาคอยเหลือบตามองทรรศิกาอย่างจับผิด ไม่ใช่ว่าเธอมีอคติหรืออิจฉาผู้หญิงหุ่นดี ผิวขาว น้าตาสะสวยกว่า แต่เธอแค่ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนก็ตามมาอยู่ร่วมชายคากับหนุ่มที่เธอหมายตาไว้อย่างอคิราภ์เท่านั้น ทุกวันนี้ก็ใช่ว่าชายหนุ่มจะสนใจตัวเธอมากมาย ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจมากนัก เพราะผู้หญิงที่เข้าวนเวียนป้วนเปี้ยนในชีวิตอคิราภ์ ส่วนมากเข้ามาประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็ผ่านเลยไป แต่กับผู้หญิงคนนี้แค่เห็นหน้าเธอก็รู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกคล้ายกับว่าการปรากฏตัวของคุณหนูชาวกรุงคนนี้จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่หั่นหมูไป ชำเลืองมองศัตรูหัวใจที่เธอคิดเอาเองไป คิ้วโก่งโค้งของปัถยาก็ขมวดเข้าหากัน แล้วเพ่งมองมะเขือที่ถูกหั่นเป็นแว่นกลมๆ ลอยอยู่เหนือผิวน้ำในกะละมังใบเล็ก

“ว้าย...ตายแล้ว! เธอทำอะไรกับมะเขือน่ะ”

ปัถยาทำเสียงตกอกตกใจ หน้าตาตื่นราวกับว่าสิ่งที่ทรรศิกาทำอยู่เป็นความผิดร้ายแรง

“ก็หั่นมะเขือไง”

“แล้วใครเขาสอนให้หั่นกันอย่างนี้” ปัถยาบอกเสียงจิก

“อ้าว...หรือคะ ถ้าไม่ได้ทำอย่างนี้ แล้วเขาต้องทำยังไง”

ทรรศิกาเงยหน้าขึ้นมองคนนั้นทีคนนี้ที แล้วทำหน้าเหลอหลาตอบพาซื่อ

“มีปากไม่ใช่หรือ ทำไม่เป็น ทำไมไม่ถาม อย่างนี้ล่ะน้าพวกคุณหนูตีนแดงตะแคงตีนเดิน ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง กลับไปอยู่กรุงเทพซะเถอะไป๊ ชิ่วๆ”

ปัถยาสะบัดมือไล่ราวกับทรรศิกาเป็นหมูเป็นหมา หวังจะให้เธอร้องไห้ฟูมฟายเก็บของกลับกรุงเทพไปซะเดี๋ยวนั้น

“ลูกปัด!”

นางลำไยเรียกลูกสาวเสียงเข้ม ไม่ชอบใจนักที่ปัถยาแสดงกิริยาไม่เหมาะสมกับทรรศิกาอย่างออกนอกหน้า ซึ่งนางรดาเองก็สังเกตเห็นไม่ต่างกัน จึงได้แต่ถอนหายใจ แล้วหันมาพูดกับทรรศิกาก่อนเป็นอันดับแรก

“ไม่เป็นไรจ้ะหนูศิ น้าผิดเองที่ลืมบอกหนูว่าต้องทำยังไงตั้งแต่แรก”

ว่าแล้วนางรดาก็ใช้มีดอีกเล่มหั่นมะเขือให้ทรรศิกาดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งดูแล้วมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงแต่ที่ผ่านมาเธอไม่เคยสังเกตว่ารูปทรงมะเขือที่อยู่ในแกงเขียวหวานมันเป็นยังไง เห็นว่าเป็นของโปรดก็ตักทานเห็นทีต่อจากนี้เธอจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างให้มากกว่าที่เป็น จะได้ไม่โดนยัยหมาบ้ามาคอยกัดคอยแทะ ให้เจ็บใจ ทรรศิกาคิดพลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ นับหนึ่งถึงสิบในใจ เพื่อระงับอารมณ์ที่มันเดือดดาลพลุกพล่านในอก เมื่อรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลงจึงก้มหน้าก้มตาลงมือทำอย่างที่ผู้เป็นน้าสอน

“นั่นแหละสวยแล้วใช้ได้เลย ทำไปเรื่อยๆ จนหมดนั่นแหละจ้ะ ส่วนไอ้ที่หั่นก่อนหน้านั้นก็เอาไว้จิ้มกับน้ำพริกก็แล้วกัน ไม่เป็นไรมันไม่ได้บูดได้เน่าสักหน่อย”

ริมฝีปากบางฉีกยิ้มมองผลงานตัวเองอย่างภูมิใจ พร้อมกับเหล่ตามองหญิงสาวอีกคนที่ยืนเม้มปากเข้าหากันแน่น จ้องเธอตาเขียวปั๊ด คงเจ็บใจล่ะสิที่เธอไม่ได้โดนด่าอย่างที่คิด เชอะ...คิดจะแกล้งคนอย่างคุณหนูทรรศิกาเหรอ ให้มันรู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ ฉัน! คนที่คุณน้ารดาหวังจะให้เป็นลูกสะใภ้เชียวนะ หญิงสาวคิดก่อนจะกดยิ้มลึกที่มุมปากอย่างสะใจ เชิดหน้าสะบัดบ๊อบใส่คนที่ประกาศตัวชัดเจนว่าจะตั้งตัวเป็นศัตรูตั้งแต่วันแรก แล้วหันมาสนใจงานที่ได้รับมอบหมายตรงหน้าต่อ

“ส่วนเราลูกปัด ถ้าเห็นพี่เขาทำไม่ถูกก็บอกก็สอนสิ ไม่ใช่พูดจาแบบนั้นไม่น่ารักเลยรู้ไหม”

นางรดาหันมาตำหนิปัถยาผู้เป็นหลานสาว เป็นรายต่อมา

“ค่ะ”

ปัถยาก้มหน้ารับปากเสียงอ่อยคล้ายกำลังรู้สึกผิด แต่ใจจริงแล้วกลับผูกใจเจ็บ เก็บทรรศิกาไว้ในเมมโมรี่ เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน

หลังจากกับข้าวทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เป็นเวลาเดียวกันกับกลุ่มคนทำงานกลับมาทานข้าวเช้าพอดี แม่ครัวมือใหม่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ จึงขออาสาช่วยยกกับข้าวออกมาตั้งสำรับ ที่แคร่ไม้ไผ่ด้านนอก ขณะทรรศิกาเดินถือหม้อแกงเขียวหวานออกมาอย่างระมัดระวัง ในจังหวะที่เงยหน้าขึ้น สายตาของเธอก็สบประสานเข้ากับสายตาคมที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้ทำไมเขาแค่มอง ใจของเธอมันถึงได้สั่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

“โอ้ว...ว้าว! วันนี้มีนางฟ้ามาบริการเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำด้วยแฮะ...ว่าแต่ใครกัน”

นรวีย์ถามขึ้นลอยๆ มองหญิงสาวที่กำลังตั้งสำรับตาละห้อย

“ลูกสาวของเพื่อนพ่อฉันเอง เพิ่งมาจากกรุงเทพ”

อคิราภ์ตอบเสียงเรียบ ชำเลืองตามองตามนรวีย์ ที่ลุกขึ้นเดินตรงไปหาหญิงสาว ตั้งแต่เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค แล้วส่ายศีรษะ มันกะล่อนอย่างนี้สิถึงไม่สมหวังเสียที

“สวัสดีครับ...ผมวีครับ รูปหล่อแต่พ่อไม่รวย ตอนนี้โสดสนิทญาติมิตรตายเกลี้ยง เหลือตัวคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย...พอจะบอกได้ไหมว่านางฟ้าเดินดินตรงหน้านี้นามว่าอะไรครับ เผื่อมันจะทำให้หัวใจแห้งเหี่ยวดวงน้อยๆ ของผมมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง”

นรวีย์ร่ายยาวราวกับกำลังท่องปาฐกถา

“ศิค่ะ”

หญิงสาวตอบกลั้วหัวเราะ กับสรรพคุณ ที่ฟังแล้วมันทะแม่งๆ ของหนุ่มขี้เล่นนามว่า ‘วี’

“คนอะไรไม่รู้หน้าตาสวยยังไม่พอ ชื่อน่ารักอีกต่างหาก”

ขณะที่นรวีย์กำลังพูดชมหญิงสาวอยู่นั้น เสียงสิบแปดหลอดของปัถยาก็ดังขึ้นมาแต่ไกล ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างหันไปมองหญิงสาวเป็นตาเดียว แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะมันถือเป็นเรื่องปกติ

“พี่ดินขา...น้ำเย็นๆ มาแล้วค่ะ...ถอยไปๆ มายืนขวางทางอยู่ได้ ไม่รู้หรือไงว่ามันเกะกะ”

ปัถยาเดินเข้ามาชนไหล่บางของทรรศิกาอย่างจงใจ แล้วหันมาเบ้ปากใส่ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของนรวีย์ ก่อนจะสะบัดหน้าพรืด เดินยิ้มหวานไปนั่งข้างๆ อคิราภ์ ที่นั่งเล่นหมากรุกกับลุงอิน ที่โต๊ะหินอ่อน

“ไม่เป็นไรนะครับ”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ...ยัยลูกปัดนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ อะไรก็ไม่รู้ จงใจเดินชนคุณชัดๆ”

นรวีย์พูดขณะยืนมองท่าทางระริกระรี้ของปัถยา แล้วพูดต่ออย่างหมั่นไส้

“นี่ลูกปัด เดินชนคนอื่นแล้วทำไมไม่ขอโทษ...แล้วน้ำนั่นอะไร คนทำงานมาเหนื่อยๆ อยากกินน้ำเย็นๆ ไม่ได้มีพี่ดินคนเดียวนะ สงสารลุงแก่ๆ อย่างลุงอินที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้าบ้างสิ”

“ลูกปัดมีหน้าที่บริการพี่ดินคนเดียว สำหรับคนอื่นเดี๋ยวแม่ก็เอามาให้เองแหละ ใจเย็นๆ นะคะลุงอิน พอดีว่าน้ำขวดนี้มีไว้เพื่อพี่ดินคนเดียว คงให้คนอื่นกินด้วยไม่ได้หรอกค่ะ”

หญิงสาวจีบปากจีบคอพูด พร้อมกับชม้ายชายตามองอคิราภ์ที่นั่งหน้าบึ้งไม่ได้อินังขังขอบกับการเอาใจใส่เป็นพิเศษของอีกฝ่าย

“ทำไม น้ำขวดนั้นมันเป็นน้ำฝนหยดที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าผสมอยู่ด้วยหรือไง มันถึงได้พิเศษนักพิเศษหนา เอ๊ะ! หรือว่า...” นรวีย์แกล้งลากเสียงยาว

“หรือว่าอะไร” ปัถยาถามเสียงเขียว

“เธอใส่ยาเสน่ห์ลงไปในน้ำขวดนั้น ลุงอย่าเผลอไปดื่มเข้านะครับ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าผมไม่เตือน ฮ่าๆๆ”

สิ้นเสียงนรวีย์ทั้งทรรศิกาและลุงอินก็ประสานเสียงหัวเราะเสียงดังลั่น

“อ๊าย...ไอ้บ้า! ไอ้ทุเรศ! สวยอย่างฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งของอย่านั้นหรอกย่ะ คิดได้ไง ไอ้ผู้ชายไร้สมอง ไอ้ๆๆ”

ร่างบางลุกขึ้นชี้หน้าคนที่กล่าวหาว่าเธอเล่นคุณไสย พร้อมกระทืบเท้าเร่าๆ ไม่รู้จะสรรหาคำด่าอะไร มาด่าผู้ชายปากปีจออย่างนรวีย์ดี

“พอ! พอทั้งสองคนนั่นแหละ!”

เสียงทะเลาะกันเป็นเด็กดังลั่นชวนปวดหัว ทำให้อคิราภ์ตวาดออกมาอย่างหงุดหงิด และมันก็สามารถสยบทุกความเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง ก่อนสายคาคมดุจะตวัดไปที่หญิงสาวอีกคน ที่ยืนทำหน้าเหลอหลาไม่รู้ไม่ชี้

“คุณก็เหมือนกัน อย่าคิดว่ามาอยู่ที่นี่แล้วจะทำตัวเป็นคุณหนูเหมือนอยู่ที่บ้านตัวเองล่ะ กับข้าวน่ะยกมาหมดหรือยัง แล้วข้าวล่ะอยู่ไหน รีบๆ ไปยกมาเลยก่อนที่ผมจะโมโหหิว”

“เจ้าค่ะคุณชาย แจ๋วจะรีบทำตามคำสั่ง อย่าเพิ่งโมโหหิวจนกินหัวคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียละ”

หญิงสาวทำท่าถอดสายบัวประชด ก่อนจะยิ้มหวานแล้วบอกทิ้งท้ายว่า

“รออยู่ตรงนี้นะคะคุณลุง คุณวีด้วย เดี๋ยวศิจะเอาน้ำผสมน้ำใบเตยเย็นๆ มาให้ดื่ม อร่อยชื่นใจกว่าน้ำฝนหยดที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าผสมยาเสน่ห์แน่นอน”

เสียงหัวเราะครืนดังขึ้นอีกครั้ง กับคำประชดประชันได้อย่างน่ารักของทรรศิกา ยกเว้นคนโดนประชดอย่างปัถยา ที่นั่งอ้าปากค้าง อยากตอกกลับใจแทบขาด แต่ไม่กล้าเพราะกลัวสายตาดุของอคิราภ์ เธอจึงทำได้เพียงนั่งกระฟัดกระเฟียดอยู่ตรงนั้น ส่วนอคิราภ์ที่โดนเป็นคนแรกไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด จึงได้แต่นั่งตีหน้าตายเหมือนไม่คิดอะไรกับการประชดประชันนั้น แต่ใครจะรู้ว่าภายในใจของเขาตอนนี้มันกำลังเดือด ฝากไว้ก่อนเถอะนะยัยแสบ

“ถ้าอย่างนั้น ผมเข้าไปช่วยถือด้วยดีกว่านะครับ”

นรวีย์อาสา รู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวไม่น้อย และที่เด็ดไปกว่านั้นเธอผู้นี้กล้าต่อปากต่อคำกับอคิราภ์ ผู้ชายที่ได้ฉายาว่า ‘วลีพิฆาต’ เวลาพูดไม่คิดที่จะถนอมน้ำใจคนฟังคิดยังไงก็พูดออกมาอย่างนั้น และนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนุ่มหล่อพ่อรวยอย่างอคิราภ์ครองตัวโสดมาจนถึงทุกวันนี้

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพลางฉีกยิ้มกว้าง จนตาหยี

“ดูสิพี่ดินมาวันแรกก็โปรยเสน่ห์ไปทั่ว สาวชาวกรุงนี้ไวไฟจริงๆ เลย”

ปัถยาพูดพลางทำปากยื่น ตามหลังทรรศิกากับนรวีย์ ที่เดินหายเข้าไปในห้องครัว อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันยิ้มหวานและรินน้ำให้อคิราภ์ดื่มอย่างเอาอกเอาใจ

“ไม่ล่ะ พี่ไม่หิว เอาครับลุงอินช่วยผมหน่อย เดี๋ยวมันจะไม่เย็นเททิ้งเสียดายของ”

มือหนารับแก้วน้ำมาถือไว้ แล้วยื่นมันให้กับลุงอินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ไม่ล่ะ ลุงกลัวโดนยาเสน่ห์”

ลุงอินปฏิเสธแล้วก้มหน้ากลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง

“ลูกปัดนั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น ทำไมไม่ไปช่วยแม่ยกกับข้าวกับปลา”

นางลำไยเรียกลูกสาวเสียงเข้ม ขณะเดินถือกระติ๊บข้าวมาวางบนแคร่

“แหม...แม่ ลูกมือคนใหม่ก็มีไม่ใช่หรือ ก็เรียกใช้เขาสิ จะมายุ่งกับหนูทำไม”

หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ทำไมเวลาจะคุยกับอคิราภ์ชอบจะมีก้างมาขวางคออยู่เรื่อย

“แล้วนั่นไปนั่งเบียดพี่เขาทำไม ออกมา!...ตาดินก็เหมือนกันทำไมไม่ห้ามยัยลูกปัดมันบ้าง ถึงจะเป็นญาติกันทำอย่างนี้มันก็ดูไม่งามรู้ไหม โตๆ กันแล้วไม่ใช่เด็กๆ...ลุกเดี๋ยวนี้ยัยปัด!”

“ช่างเถอะครับ ถึงป้าลำไยจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับลูกปัดหรอกครับ ยังเห็นมันเป็นน้องเป็นนุ่ง เป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ชอบออดอ้อนพี่ชายอย่างผมอยู่เหมือนเดิม”

ชายหนุ่มอธิบายให้นางลำไย ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้า เพื่อย้ำความรู้สึกและสถานะที่ตนมีให้กับปัถยา

“พี่ดิน! ทำไมพูดกับลูกปัดอย่างนี้ ลูกปัดไม่ใช่เด็กแล้วนะ ดูสิอกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกเป็นสะโพก”

หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับลูบสัดส่วนโชว์ความเป็นสาวของตัวเอง

“แล้วอกเรานะไซส์เท่าไหร่ ถ้าต่ำกว่าคัพบีพี่ไม่สนนะ”

อคิราภ์พูดติดตลก ทำให้หวนคิดไปถึงหญิงสาวอีกคน ที่เพิ่งเดินเข้าครัวไป

“พี่ดิน!...ลามก พูดในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ มีแค่นี้มันก็บุญแล้ว ไม่พูดด้วยแล้ว งอน!”

ปัถยาสะบัดหน้าพรืด เดินหนีเข้าห้องครัว ส่วนนางลำไยก็ได้แต่ส่ายหน้า ระอากับความเอาแต่ใจของลูกสาว ก่อนจะหันมามองเสี้ยวหน้าคมของหลานชาย แล้วตบไหล่กว้างของชายหนุ่มเบาๆ ขอบใจ ที่ไม่พูดให้ความหวังกับปัถยาที่ชอบคิดไปเองฝ่ายเดียว หากทั้งสองรักกันนางก็คงไม่หนักใจจนทุกวันนี้ อีกทั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ติดจะดีใจด้วยซ้ำ แต่ ณ ตอนนี้มันผิดก็ตรงที่คนหนึ่งชอบ แต่อีกคนไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าพี่ชายกับน้องสาว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel