บทที่ 7
ตลอดช่วงเช้าวันนั้น ทาเมร่าจึงเฝ้าแต่คอยสดับรับฟังข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ในระดับบริหารทั้ง 2 คน ที่กำลังแวะเวียนไปตามแผนกต่างๆจากพนักงานในแผนกของเธอเอง เจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งรายงานเธอว่า คนหนึ่งใน 2 คนนั้นคือตัวบิ๊คฟอร์ด ที.รูดเลดจ์เอง ทาเมร่าออกจะขบขันกับข่าวลือลมๆแล้งๆนั้น เพราะเธอคิดว่าน่าจะเป็นเพียงแค่รองประธานบริษัทคนใดคนหนึ่งมากกว่า
แต่เธอก็อดสะดุ้งไม่ได้ทุกครั้งที่มีเสียงกริ่งโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้น มีความรู้สึกคล้ายกับว่ากำลังรอคอยความหวังว่า จะได้รับการบอกเล่าให้รู้ล่วงหน้า ก่อนที่นายจ้างคนใหม่จะมาถึง แต่ก็ไม่ได้รับแจ้งอะไรมาให้ทราบเลยสักครั้ง ครั้งหลังสุดที่เธอได้รับการบอกเล่าก็คือ พวกเขากำลังปักหลักกันอยู่ในห้องทดลอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฮาโรลด์ สเตน จะต้องตั้งหน้าตั้งตาสาธยายถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือชนิดใหม่ที่เขาประดิษฐ์คิดค้นขึ้นให้บุคคลทั้งสองฟัง
มีเสียงเคาะเบาๆดังขึ้นตรงหน้าประตู ทำให้เธอถึงกับสะดุ้ง
“คะ...?” ทาเมร่าขานรับออกไปอย่างไม่สู้สบายใจนัก รู้สึกเหนื่อยอ่อนเต็มทีกับความกระวนกระวายใจและกับการที่จะต้องรับฟังข่าวความคืบหน้าในเรื่องนี้ ไม่อาจทำใจให้มีสมาธิอยู่กับงานตรงหน้าได้ เพราะมัวแต่ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องนายจ้างคนใหม่นั่นเอง
ประตูเปิดออกและซูซานก็ชะโงกหน้าเข้ามา...
“แพมกับราเชลจะอยู่เวรเฝ้าไว้ คนอื่นๆรวมทั้งฉันด้วยจะออกไปทานกลางวันกัน เธอจะไปด้วยไหมล่ะ?”
ทาเมร่าเหลือบตามองนาฬิกา รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งที่เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงแล้ว
“ไม่หรอก ฉันยังไม่หิวเลย” ประสาทของเธอราวไม่อยู่กับเนื้อตัว “แล้วก็ยังมีงานที่ต้องทำให้เสร็จอีกด้วย” ขณะพูดเธอก็ชี้ไปยังกองเอกสารตรงหน้า
“ถ้างั้นให้ฉันเอาแซนด์วิชมาฝากไหม?” ซูซานแสดงความเอื้อเฟื้อ
“ในเครื่องหยอดเหรียญที่สโมสรพนักงาน มีโยเกิร์ตขายด้วยใช่ไหม?” เมื่อเห็นซูซานพยักหน้ารับ ทาเมร่าก็ส่งเหรียญให้ “ช่วยซื้อให้ฉันสักถ้วยด้วยนะ”
“ได้เดี๋ยวนี้เลย” ซูซานปิดประตูตามหลัง เพียงแค่ครู่เธอก็กลับมาพร้อมด้วยถ้วยพีช โยเกิร์ต วางลงตรงหน้าทาเมร่า
“ฉันนึกไม่ออกเลยนะ ว่าเธอจะกินอะไรพรรค์อย่างนี้เข้าไปได้ยังไง” ซูซานย่นจมูก ทำท่าแขยง ซึ่งทำให้ทาเมร่าอดยิ้มไม่ได้ เธอโบกมือไล่เพื่อนให้ออกจากห้องได้แล้ว...
โยเกิร์ตถ้วยนั้น ต้องใช้ความพยายามอยู่บ้างที่จะกินเข้าไป และมันก็เป็นอาหารชนิดเดียวที่ดูจะลื่นไหลลงในลำคอเธอได้ดีกว่าอย่างอื่น ทาเมร่าก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าท้องไส้ที่ว่างเปล่าจะทนทานกับอาหารที่แข็งกว่านี้ได้หรือไม่ เธอตักโยเกิร์ตจากถ้วยพลาสติกรับประทานไปพลาง ลงรายการตัวเลขในบัญชีแยกประเภทไปพร้อมกัน
ทันใดนั้น ประตูห้องทำงานของเธอก็เปิดผางออกโดยไม่มีการเคาะเตือนให้รู้ล่วงหน้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของฮาโรลด์ สเตนโผล่เข้ามา
“นี่คนอื่นๆหายไปไหนกันหมดล่ะ มิสเจมส์?”
“ออกไปทานอาหารกลางวันกันค่ะ” เธอใช้ช้อนพลาสติกตักโยเกิร์ต แต่ก่อนที่จะทันยกขึ้นใส่ปาก ก็ต้องชะงักมือค้างอยู่อย่างนั้น เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาคู่สีเขียวของบุรุษร่างสูงไหล่กว้างที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้อง แววแห่งความพึงพอใจฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น รอยยิ้มอ่อนๆที่ฉาบอยู่ ทำให้ริมฝีปากดูอ่อนโยนลง ลมหายใจของทาเมร่าติดขัดขึ้นมาทันทีขณะลดมือที่ถือช้อนกลับวางลงในถ้วย พยายามที่จะไม่แสดงความประหลาดใจให้ออกมานอกหน้า เมื่อต้องพบกับคนแปลกหน้าคนนี้อีกครั้ง
ฮาโรลด์ สเตน กำลังก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือด้วยท่าทางไม่พอใจนัก...
“ผมไม่ทันได้ดูเวลา คิดว่าตอนนี้คุณคงอยากจะออกไปทานอาหารกลางวันก่อนละมัง” เขาขมวดคิ้วใส่บุรุษที่ยืนคล้อยไปทางด้านหลัง ซึ่งขณะนี้มีท่าทีว่าไม่สนใจกับอะไรทั้งสิ้น
“ผมว่า มิสเจมส์เธอคิดถูกแล้วละ” เขาผู้นั้นเอ่ยชื่อเธอออกมาอย่างสบายปาก เหมือนไม่ได้นึกถึงความรู้สึกไม่เต็มใจของเธอที่จะบอกชื่อแก่เขาในตอนแรก “ผมว่าเราหากาแฟกับแซนด์วิชมานั่งกินกันในนี้ดีกว่าไหม...หรือว่าไงอดัม?” เขาเอี้ยวหน้าไปมองข้างหลังและทาเมร่าก็เพิ่งสังเกตเห็นแขนเสื้อสูทของผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านนั้น
“นายว่าไงฉันก็ว่างั้น...!” ผู้ชายอีกคนหนึ่งตอบอย่างไม่สนใจนัก
“หรือว่าคุณอยากจะกลับไปห้องทำงานของผมก่อน?”ฮาโรลด์ สเตนเอ่ยถามขึ้น “ผมจะได้ให้แดนบี้สั่งแซนด์วิชให้”
“ก็นี่เป็นจุดที่เราจะต้องแวะมาเยี่ยมต่อไปใช่ไหมล่ะ?”
“ครับ” ฮาโรลด์พยักหน้ารับอย่างไม่ใคร่จะเข้าใจในคำถามนั้น
ก่อนหน้าที่คำถามข้อนี้จะเกิดขึ้น ทาเมร่าได้เอาสองบวกสองไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว และไม่แน่ใจในผลลัพธ์ที่จะออกมาว่ามันจะถูกต้อง บุรุษทั้งสองที่เดินเข้ามาพร้อมกับนายจ้างคนเดิมของเธอนั้น จะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของบริษัทเทย์เลอร์ บิสสิเนสส์ แมชชีนส์อย่างไม่ต้องสงสัย เธอเริ่มรู้สึกว่าฝ่ามือชื้นเหงื่อและลำคอแห้งผาก พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวแรงขึ้น...
“ถ้าอย่างนั้นเราก็กินกลางวันกันเสียในนี้ก็ได้นี่” ชายหนุ่มกล่าว ปรายตามองมาทางเธอ “เว้นเสียแต่ว่ามิสเจมส์จะขัดข้อง...?”
“ไม่หรอกค่ะ” ถึงอย่างไรเธอก็จะต้องตอบอย่างนั้นอยู่แล้ว ทาเมร่าลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกจากโต๊ะ “เราต้องการเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง...” เธอพูดเบาๆเหมือนจะอธิบายในการที่ตัวเองต้องลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะในห้องนี้มีเก้าอี้อยู่เพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้นที่ตั้งอยู่ในห้องทำงานของเธอ ตัวหนึ่งตั้งอยู่หน้าโต๊ะ อีกตัวหนึ่งตั้งอยู่ตรงมุมห้อง
“ให้อดัมไปยกมาเพิ่มอีกตัวก็ได้” ชายหนุ่มผู้นั้นบอก ซึ่งเท่ากับเป็นการออกคำสั่งตามนิสัยที่เคยชินแก่ผู่ที่ยืนเยื้องไปทางข้างหลัง “ไปยกเก้าอี้ห้องข้างนอกมาอีกตัวหนึ่งสิอดัม...”
“ผมยังไม่ได้แนะนำให้คุณสองคนรู้จักกันเลย” ฮาโรลด์เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ “มิสเจมส์ นี่คือคุณบิ๊กฟอร์ด เทย์เลอร์ รูทเลดจ์ ประธานบริษัทเทย์เลอร์ บิสสิเนสส์ แมชชีนส์ นายจ้างคนใหม่ของคุณยังไงล่ะครับ...และนี่คือมิสเจมส์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องบัญชีของบริษัททั้งหมดครับ” เมื่อทำหน้าที่เสร็จลง เขาก็เดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานของทาเมร่ายกโทรศัพท์ขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “ผมจะสั่งแซนด์วิชให้ครับ”
ทาเมร่าอยากให้การรับรู้ในคำแนะนำครั้งนี้ เป็นเพียงการพยักหน้ารับเท่านั้น แต่บิ๊คฟอร์ด เทย์เลอร์ รูดเลดจ์ บุรุษผู้ถูกเอ่ยขานว่าเป็นถึงประธานบริษัทได้ยื่นมือออกมาให้เธอสัมผัสเสียก่อน ซึ่งทำให้ทาเมร่าไม่มีทางเลือก จำต้องยื่นมือออกไปสัมผัสตอบอย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะ...ท่าน” เธอพูดเบาๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลักษณะของความเป็นชายที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของบุรุษผู้นี้น่าสนใจมากเพียงไร ทาเมร่ามองไม่เห็นภาพที่ตัวเองกำลังบอกเขาอยู่ว่า...เธอได้ขอยืมเงินจำนวน 2 หมื่นเหรียญ ซึ่งเป็นเงินของบริษัทไปใช้โดยโดยไม่ได้ขออนุญาตและจะจัดการใช้คืนให้ทันทีเมื่อแม่ของเธอตายลง
ถ้าเขาจะเหมือนกับใครสักคนเช่นฮาโรลด์ สเตนหรือมิสเตอร์อาร์ท พี่ชายของเขา เธอก็คงจะสามารถเอ่ยปากในเรื่องนี้ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่มันมีลักษณะบางอย่างที่บอกถึงความแข็งกร้าวในท่าทีของบิ๊คฟอร์ด รูทเลดจ์ว่า...เขาไม่ใช่บุคคลประเภทที่จะยอมยกโทษให้ใครได้ง่ายนัก
“ตอนที่ฮาโรลด์สรรเสริญความสามารถของคุณให้ผมฟังนั้น ขาลืมบอกเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง คือความสวยอย่างยากจะหาใครเปรียบได้ของคุณให้ผมรับรู้ไว้ด้วยนะครับ มิสเจมส์” คำอภินันทนาการนั้นลื่นไหลออกจากปลายลิ้นของเขา มันไม่ใช่เพียงแค่การยกยอปอปั้นเท่านั้น แต่ความสนใจอย่างจริงจังในตัวเธอฉายประกายอยู่ในดวงตาคู่นั้นด้วย
“ขอบคุณค่ะ” ทาเมร่าพยายามอย่างที่สุดที่จะรักษาท่าทีห่างเหินไว้ให้มั่น ขณะที่เธอจะชักมือออก ปรากฏว่ามันยังถูกกระชับอยู่ในอุ้งมือของเขาและการกระทำเช่นนั้น ทำให้เขาก้มลงมองมือเธอด้วย
“ตกใจอะไรหรือครับ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล แม้จะเป็นคำถามเพียงประโยคสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าคล้ายเขาจะกำลังหัวเราะเยาะเธออยู่
ความรู้สึกยุ่งยากใจกำลังแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์ เมื่อเห็นเขามุ่งความสนใจอยู่กับฝ่ามือที่ชื้นเหงื่อ แทนที่จะทำไม่รู้ไม่ชี้กับมัน เธอออกจะขายหน้าอยู่ไม่น้อย อารมณ์เช่นนั้นทำให้ความหยิ่งทระนงเกิดขึ้นทันที
“ใช่ค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นสบตาคูที่มองจ้องอยู่ก่อนแล้ว
“ไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกอะไรอย่างนั้นเลยนี่ครับ...มิสเจมส์ เอ้อ...คุณ...”อาการที่หยุดชะงักไปกับคำพูดนี้คล้ายกับจะรอให้ทาเมร่าบอกชื่อเธอแก่เขา แต่เมื่อเห็นเธอยังลังเลอยู่ บิ๊คฟอร์ด รูทเลดจ์ ก็เอ่ยออกมาเบาๆว่า
“เดี๋ยวผมไปหาเอาเองจากรายชื่อพนักงานก็ได้...!”
“ฉันชื่อทาเมร่า เจมส์ค่ะ” เธอบอกพร้อมกับฝืนยิ้มให้
“ทาเมร่า เจมส์...บิ๊คเลิกคิ้วสูงเมื่อทวนชื่อเธอยู่ “ผมชอบ...เพราะดี...!”
ในนาทีนั้น ทาเมร่าอดคิดสงสัยไม่ได้ ว่าเธอควรจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงหรือไม่...แต่ไม่มีเวลาสำหรับความรู้สึกรำคาญใจใดๆที่จะเกิดขึ้นต่อไป ความเคลื่อนไหวตรงหน้าประตู เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าผู้ชายคนที่ชื่ออดัมกำลังกลับมาแล้ว พร้อมกลิ้งเก้าอี้ล้อหมุนตัวหนึ่งเข้ามาในห้องทำงานของเธอด้วย ทาเมร่าอยู่ในท่าที่ถูกดึงให้ออกไปพบกับเขา โดยที่บิ๊คฟอร์ดยังกุมมือเธอไว้ แต่แล้วเขาก็ปล่อยมือเธอลง แขนข้างที่กางออกเหมือนจะโอบเอวเธอไว้แทน กิริยาเช่นนั้นคล้ายประกาศถึงความเป็นเจ้าของ ซึ่งทำให้ทาเมร่ากระอักกระอ่วนใจเต็มที พยายามที่จะป้องกันการรุกรานนั้นไว้ เขาทำท่าราวกับว่าได้เป็นเจ้าของเธอแล้วทั้งร่างกายและจิตใจ และที่ร้ายที่สุดก็คือ เธอไม่มีทางที่จะขัดขืนหรือโต้แย้งในการกระทำของเขาได้เสียด้วย