บทที่ 5
“รู้สึกว่าวันนี้อากาศแจ่มใสดีจัง” อดัม สเลเตอร์เอ่ยขึ้น ขณะทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ “น่าไปอยู่กลางสนามกอล์ฟจริงๆ”
บิ๊ค รูทเลดจ์ เบือนสายตาจากยวดยานพาหนะที่คลาคล่ำอยู่บนท้องถนนหลวง มามองหน้าเพื่อน ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แทนที่จะต้องไปนั่งตรวจบัญชีอยู่กับแม่สาวทึนทึกที่สเตนคุยอวดประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ?”
“รู้สึกว่าเสียงของนายไม่ได้บอกความเชื่อถือในความสามารถของเธอคนนั้นเลยนี่หว่า เท่าที่ฉันลองตรวจงานของเธอดูนะ ทั้งการทำบัญชีงบดุลแล้วก็รายละเอียดต่างๆ ก็รู้สึกว่าเป็นคนที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพคนหนึ่งอย่างที่สเตนอวดทีเดียวละ”อดัมว่า
“ก็อาจจะเป็นได้ ฉันยังสงสัยอยู่ว่า ยายนั่นจะเป็นคนทำงานที่ดีที่สุดของบริษัทละมัง ก็ลองคิดดูสิ งานของบริษัทนั่นมันหยุดอยู่เฉยๆมาตั้งปีกว่าแล้ว ไม่ได้แสดงว่ามันจะเจริญขึ้นมาเลย ตั้งแต่พี่ชายของ
สเตนตายลง ถ้าจะพูดกันแล้วนะ ในเมื่อเขามีทะเบียนกรรมสิทธิ์อยู่ในมืออย่างนี้ บริษัทมันก็น่าจะเจริญกว่านี้มาก ฉันว่าบางทีสเตนอาจไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตัวเองถืออะไรอยู่ในมือ”
“เคยมีต่างหาก” อดัมช่วยแก้คำพูดให้ “เพราะเวลานี้นายก็เป็นเจ้าของบริษัทนั่นทั้งหมดแล้วนี่ แล้วนายก็ไม่เคยบอกให้เขารู้ด้วย ว่าบริษัทนั่นมันมีมูลค่าขนาดไหน”
“สเตนเขาก็ได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว เราก็เหมือนกัน” บิ๊คยักไหล่ ไม่ได้รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อยกับการต่อรองราคาในการซื้อบริษัทแห่งนี้
“แล้วนายตั้งใจจะดำเนินธุรกิจของเขาต่อไปจริงๆหรือนี่?” อดัมมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยอย่างพิจารณา
“ก็คงสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยเราก็ยังไม่อยากจะกวาดพนักงานของเขาออกไปเร็วเกินไปนัก”
“แต่นายก็ให้สัญญากับสเตนไว้แล้วนี่ว่า จะให้พนักงานทุกคนได้ทำงานต่อไปอีกหนึ่งปี” อดัมเตือน
“ฉันจะเก็บไว้แต่คนดีๆสักปีหนึ่ง หรืออาจจะนานกว่านั้นก็ได้ สำหรับพวกที่ไม่เข้าท่าก็ควรจะออกไปหางานอื่นทำกันได้แล้ว” ประกายในดวงตาของรูดเลดจ์บอกความขบขันแกมรู้เท่าทัน
“นี่เราคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว...17 ปีใช่ไหม?” อดัมคล้ายจะตอบคำถามตัวเองอยู่ “เรียนหนังสือร่วมชั้นกันมา...ก็คงจะ 17 ปีเต็มจริงๆ ใครจะคิดย้อนหลังไปถึงตอนนั้นนะ ว่าสักวันหนึ่งฉันจะต้องมาทำงานให้นาย”
“ฉันก็คงไม่จ้างนายแน่ถ้านายไม่ใช่คนที่ดีจริงๆ”บิ๊คตอบ ชะลอความเร็วของรถลงเพื่อจะเลี้ยวเข้าไปในที่จอดรถของบริษัทซิกเนท แมชชีนส์ คอมเปนี
“ฉันรู้” อดัมพูดปนหัวเราะ “ฉันก็ไม่ได้รังเกียจที่จะทำงานร่วมกับนายหรอก แต่ถ้าถามก็เห็นจะต้องตอบตรงๆว่า ฉันไม่ชอบวิธีการทำงานของนายเลย”
“นายทำเสียงอย่างกับว่า มันเลวทรามเสียเหลือเกินอย่างนั้นแหละ” บิ๊คเหยียดริมฝีปากออก
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ฉันไม่อาจทำใจให้ดูเป็นว่า ไม่มีอคติอย่างที่นายกำลังทำอยู่เวลาติดต่องานกับใครต่อใครได้ต่างหาก...ฉันหมายถึงในแง่ธุรกิจนะ” เขาเสริมในตอนท้าย
“บิ๊ครู้ดีว่าอดัมหมายถึงอะไร ปกติแล้วเขามักจะทำตัวห่างเหินกับพนักงานมาก แทบจะไม่ใคร่ได้สังคมกับคนเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำและเนื่องจากความที่เคยเป็นเพื่อนกันมาเก่าแก่ เขาจึงยอมอนุญาตให้ตัวเองสนิทสนมกับอัมได้ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงในทุกเรื่องเสียทีเดียว บิ๊คคอยแต่จะนึกอยู่เสมอว่า พวกพนักงานในบริษัทนั้น ถ้าลองได้สร้างความสัมพันธ์ด้วยแล้ว มักจะตีตนขึ้นมาเสมอเขา ดังนั้น แม้มิตรภาพฉันเพื่อนจะคงอยู่แต่เขาก็ยังระมัดระวังในการคบหาอยู่นั่นเอง
บิ๊ค รูดเลดจ์ คือชายหนุ่มที่เกิดมาในตระกูลสูง เป็นทายาทเพียงคนเดียวที่ได้รับมรดกหุ้นส่วนบริษัททั้งหมดจากมารดา ซึ่งถึงแม้เขาจะไม่ได้รับมรดกนั้น บิ๊คก็สามารถที่จะหางานในตำแหน่งสูงๆทำได้ เขามีเงินมากพอที่จะจับจ่ายใช้สอยเพื่อเป็นการแก้เหงา แต่กลับไม่เคยยอมรับว่า ในการที่จะบำเพ็ญตนเป็นผู้ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดทั้งมวลนั้น เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำตัวเป็นมิตรกับผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่ต้องรับคำสั่งจากเขาไว้ให้มาก
“เอาละ...เราจะเริ่มต้นออกเดินทางชมบริษัทกันตั้งแต่จุดไหนไหนก่อนล่ะ?” อดัมเอ่ยถามหลังจากที่บิ๊คจอดรถเรียบร้อยแล้ว
“คิดว่าควรจะเข้าไปดูที่แผนกขายก่อน แฮงค์เขาไปดูมาทีหนึ่งแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากเข้าไปดูอีกสักครั้งอยู่ดี”
ขณะที่เขาก้าวลงจากรถยนต์ส่วนตัวนั่นเอง รถประจำทางคันหนึ่งก็แล่นผ่านมาจากป้ายจอดรถตรงหัวมุมถนน และโดยอัตโนมัติที่สายตาของเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างสูงโปร่ง เรือนผมสีบลอนด์คนหนึ่งก้าวลงมาจากรถประจำทางคันนั้นและเดินมุ่งมายังทางเข้าด้านหน้าของบริษัท กว่าที่อดัมจะลงจากรถมาสมทบ เธอผู้นั้นก็เดินออกหน้าไปแล้ว สายลมแรงพัดพาชายกระโปรงสีน้ำเงินเข้มให้พลิ้วลู่ไปตามช่วงน่องที่กลมกลึง ทำให้มองเห็นส่วนโค้งของเนินสะโพกชัดเจน บิ๊คจะต้องเป็นคนโป้ปดมดเท็จอย่างที่สุด ถ้าเขาไม่ยอมรับ ว่าตัวเองรู้สึกพึงใจในภาพที่ชวนมอง ซึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าขณะนี้
ช่วงขาที่กำลังก้าวอยู่ผ่อนความเร็วลง ขณะที่เธอก้มลงเหมือนค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าถือ ทั้งบิ๊คและอดัมเกือบจะตามมาทัน ตอนที่เธอทำพวงกุญแจหล่นลงบนพื้นถนนและก้มลงเก็บ ตอนที่เธอยืดร่างขึ้นนั้นเอง ผ้าพันคอผืนบางเบาที่พันหลวมๆไว้ตรงไหล่ ก็เลื่อนหลุดออก ตกลงบนพื้นอีก คราวนี้บิ๊คเป็นคนก้าวเข้าไปเก็บไว้ได้ทันก่อนที่สายลมฤดูร้อนจะพัดพามันปลิวไป
ตอนที่เธอหันมามองหน้าเขานั้น บิ๊คมีความรู้สึกเหมือนถูกกระตุกแรงๆตรงหัวใจ เธอช่างเป็นสัตว์โลกที่แสนสวยอะไรเช่นนั้น โดยเฉพาะดวงตาคู่สีฟ้าใส และเขากล้าท้าพนันชนิดเทกระเป๋ากันได้เลยว่า พวงผมสีบลอนด์นั้นไม่ได้เกิดจากการย้อมแน่ ริมฝีปากของเธอแย้มออกเล็กน้อยคล้ายจะยิ้มขอบคุณ แต่แล้วก็ชะงักไป ขณะที่ยื่นมือมารับผ้าพันคอที่เขายื่นส่งให้ บิ๊คใช้ปลายนิ้วคีบมันไปครู่สั้นๆก่อนจะปล่อยออก แวบหนึ่งที่เขาเกิดความคิดขึ้นมา ว่านวลเนื้อของเธอคงจะเนียนละไมอยู่ใต้ผ้าผืนนั้นแน่
“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยออกมาเบาๆ
เขาชอบน้ำเสียงของเธอขึ้นมาในทันที เป็นเสียงทุ้มนุ่มนวลปานแพรไหม บิ๊ครู้ว่าตัวเองกำลังจ้องมองดูเธออยู่ แต่ก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนสายตาได้ เขาผงกศีรษะน้อยๆเป็นเชิงรับรู้ในคำพูดของเธอ แต่ก็เป็นขณะเดียวกันกับที่เธอได้หันไปเปิดประตูก่อนแล้วและเขาก็ช้าเกินกว่าจะช่วยเปิดให้ทัน จึงได้แต่เดินตามเธอเข้าไปก่อนที่มันจะปิดกลับเสียก่อน
“ขอโทษเถอะครับ คุณ...” เธอชะงักฝีเท้าทันทีเมื่อได้ยินเสียงเขา หันหน้ามาช้าๆมองบิ๊คอย่างไม่แน่ใจ จากปลายหางตานั้น บิ๊คมองเห็นผนังกระจกที่แบ่งหน่วยงานต่างๆออกไว้ แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจเสีย “แผนกขายไปทางไหนครับ?”
“ตรงเข้าไปทางประตูนั้นค่ะ” เธอชี้มือไปยังบริเวณที่กั้นไว้ด้วยกระจก เสียงกุญแจกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งขณะที่เธอชี้มือ
สายตาของบิ๊คสำรวจไปทั่วเรือนร่างด้วยความประทับใจอย่างยิ่ง สังเกตเห็นทรวงอกที่ผึ่งผายสง่างามอยู่ในอกเสื้อกับช่วงเอวที่คอดกิ่ว
“คุณชื่ออะไรครับ?” เมื่อเขาปรายตากลับขึ้นมองใบหน้าเธออีกครั้งนั้น ก็เห็นแววที่ไม่อาจเข้าใจได้ ท่าทีที่ดูจะไม่แยแส ทำให้เขาเพิ่มความสนใจมากขึ้น
“ดิฉันคิดว่าคุณจะพบใครสักคนที่จะช่วยคุณได้ ถ้าคุณเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปนะคะ” เธอหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเขาด้วยท่าทางเย็นชา ขณะเดียวกันก็พาร่างเดินจากไป
อดัมยืนผ่อนลมหายใจยาวเหยียดอยู่ข้างๆ
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่า จะอยู่มาจนถึงวันที่เห็นนายถูกคนเขาสะบัดหน้าใส่ให้เลยนะบิ๊ค” เขาเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะเสริมต่ออีกเหมือนปรารภอยู่กับตัวเอง “ฉันชักจะสงสัยแล้วนะว่า ควรจะบอกเป๊กกี้ได้หรือยัง ว่าในที่สุดฉันก็พบเธอคนนั้นเข้าแล้วจริงๆ”
“พบใครนะ?” บิ๊คถอนสายตาจากร่างหญิงสาวที่กำลังเดินห่างออกไป กลับมามองชายหนุ่มผู้เป็นทั้งเพื่อนและสมุห์บัญชีของตน
“อ๋อ...เอ้อ...” อดัมอึกอักขึ้นมาทันที เมื่อรู้สึกว่าตัวเองได้พูดความจริงออกมาดังๆ “เป๊กกี้...เขาต้องการให้ฉันได้ทดสอบปัญหาที่มีอยู่ในแม๊กกาซีน” เขาพูดเป็นเชิงอธิบายเมื่อเอยถึงภรรยา “มันมีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง ถามว่า...ฉันเคยคิดไม่ซื่อบ้างไหม...และฉันก็ตอบรับรองออกไปอย่างมั่นใจเต็มที่เลยว่า...ไม่เคย...เพราะว่ายังไม่พบผู้หญิงคนไหนที่จะมาทำให้ฉันเกิดความหลงใหลได้...แต่ผู้หญิงคนนั้น...” เขามองไปตามช่องทางเดิน ที่ผู้หญิงคนที่เขาหมายถึงเดินลับสายตาไป “ทำให้ฉันชักจะคิดออกนอกลู่นอกทางขึ้นมาแล้วน่ะสิ”
“ลืมเสียเถอะน่า” บิ๊คบอก
“ทำไมล่ะ? อดัมย้อนถามยิ้มๆ มองหน้าเพื่อนอย่างแปลกใจ
“ก็เพราะว่า ถ้าเขาจะต้องออกไปข้างนอกกับใครสักคนหนึ่ง...ใครคนนั้นก็ควรจะเป็นฉันน่ะสิ” แม้ในน้ำเสียงนั้นเหมือนจะพูดเล่นให้เห็นขัน แต่บิ๊คก็รู้ว่าเขาหมายความตามที่พูดจริง
“ฉันคิดว่านาย...เอ้อ...สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นไว้ว่าจะไม่...”
“นายก็เพิ่งเห็นข้อยกเว้นไปหยกๆนี่แล้วไง” บิ๊คขัดขึ้นทันที น้ำเสียงนั้นราบเรียบเหมือนความตั้งใจที่สุขุมมั่นคงของเขา
อดัมมองหน้าเพื่อนอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าอย่างแปลกใจเต็มที่
“นี่นายไม่ได้พูดเล่นเลยนี่หว่า”
“ฉันอาจพูดเล่นในบางเรื่องที่ต้องการจะพูด” ยิ้มเนือยๆแต่แฝงความนัยปรากฏขึ้นตรงมุมปาก
“และนายก็มักจะได้ในสิ่งที่นายต้องการเสมอจริงไหมล่ะ?” อดัมออกจะรู้สึกมหัศจรรย์อยู่ในใจกับความจริงแท้ในคำพูดของตน
“คุณตาของฉัน ท่านเคยให้คำแนะนำฉันไว้ข้อหนึ่งนานมาแล้ว...ท่านบอกว่า ถ้าแกต้องการข้ามถนน ก็ให้ข้ามไปเลย สมมุติว่าถ้ามีใครมายืนขวางทางไว้ ก็ให้เดินอ้อมตัวเขาไปเสีย แต่ถ้าเดินอ้อมก็ไม่ได้ พูดจาเกลี้ยกล่อมให้เขาหลีกทางให้ไม่ได้ ก็ให้เดินชนมันไปเลย...และเมื่อใดที่แกตั้งใจจะข้ามถนนแล้ว ก็อย่าได้ให้ใครมันมายื้อยุดฉุดกระชากไว้เป็นอันขาด ซึ่งถ้าจะว่ากันในทางปฏิบัติแล้วมันก็ไม่ได้โหดร้ายทารุณอะไรเลย” บิ๊คสรุปด้วยน้ำเสียงต่ำๆ เพราะสังเกตเห็นความไม่สบายใจปรากฏอยู่ในสีหน้าของอดัม
“มา...เราไปกันเถอะ...”เขาออกเดินนำไปยังประตูกระจก “มาช่วยกันทำให้งานนี่มันเสร็จๆไปก่อนดีกว่า”