บทที่ 3
“คนอย่างคุณมันลื่นอย่างกับปลาไหล เอ็ดดี้” เธอว่าเอาตรงๆด้วยความหมั่นไส้ อยากจะว่าต่อให้ด้วยซ้ำ...ว่าจ้องที่จะตะครุบเหยื่อด้วยอุบายและชั้นเชิงต่างๆที่สรรหามาได้...แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป “ทำไมคุณถึงไม่ไปเสียให้พ้นๆนะ...อย่ามายุ่งกับฉัน... เพราะฉันไม่เคยสนใจคุณเลยจริงๆนะ”
”ผมว่า คุณนี่ชักจะเล่นตัวมากไปหน่อยแล้วนะ” เสียงพูดของเอ็ดดี้ขรึมไปทันที
และดวงตาของทาเมร่าก็เป็นประกายวาวขึ้นด้วยความโกรธที่เกิดขึ้นในทันทีเหมือนกัน...
“รู้สึกว่าคุณทนไม่ได้จริงๆนะที่ถูกปฏิเสธ ผู้หญิงคนไหนที่ผ่านเข้ามาทำงานในบริษัทนี้เป็นไม่ได้เลยสิน่า เป็นต้องถูกคุณจองหมด...บางคนก็ไม่ได้เป็นสาวเสียด้วยซ้ำ ฉันนี่คงเป็นคนเดียวละมังที่ไม่ได้อยากจะวิ่งไล่ตามคุณตั้งแต่วันแรกที่คุณจ้องจะเขมือบฉัน”
ประกายบางอย่างจุดขึ้นในดวงตาของเอ็ดดี้ แต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“คุณต้องการใครสักคนที่จะปกป้องคุ้มครองนะทาเมร่า คุณมองชีวิตในแง่ที่มันเคร่งเครียดจนเกินไป ลองปล่อยๆเสียบ้างเป็นบางครั้งบางคราว หาความสุขให้กับชีวิตตัวเองเสียบ้างเถอะ” คารมของเขาอ่อนโยนชักจูงใจได้ดียิ่งนัก
“นี่คุณ...ฉันน่ะไม่ได้ต้องการให้ใครมาคอยคุ้มครองป้องกันฉันหรอก แม้คุณจะคิดว่าฉันเป็นอย่างพวกผู้หญิงทั้งหลายที่น่าสมเพท ที่คุณเคยรู้จักมาก็เถอะ และจะบอกให้ด้วยว่า ฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิดที่จะต้องทำงานหนัก เพราะมันเป็นการทำงานตามหน้าที่” เธอสังเกตเห็นแววแห่งความเห็นอกเห็นใจฉายแสงขึ้นในดวงตาของเอ็ดดี้ จึงรีบพูดต่อ “แล้วก็อย่ามาพูดด้วยว่า คุณพร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมช่วยแบ่งเบาภาระหรือปัญหาของฉัน เพราะฉันน่ะรู้เลยว่า สิ่งเดียวที่คุณอยากจะมีส่วนร่วมด้วยคือบนเตียงนอนของฉันเท่านั้น และฉันก็ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องทุเรศๆพรรค์นั้นด้วย” แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรงแต่ก็ดูจะไม่ได้ผลอะไรนัก
เอ็ดดี้ยืดร่างขึ้น ปล่อยมือจากเธอ...
“คุณก็พูดอย่างนี้ทุกที” น้ำเสียงเขาตัดพ้อ รู้สึกทระนงพร้อมกันก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า รูปร่างหน้าตาเขาออกขนาดนี้แล้ว เธอยังปฏิเสธได้ลงคออีกละหรือ...?
“ที่ฉันต้องพูด ก็เพราะฉันเบื่อเต็มทีที่จะต้องมานั่งปฏิเสธคุณอยู่ตลอดเวลาว่า...ไม่...แต่คุณก็ยังฝืนใจเชื่ออยู่นั่นแล้ว ว่าฉันหมายความว่า...ใช่...” ทาเมร่าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “คุณเองนะที่ทำให้ฉันต้องพูดอย่างนี้ เอาละ คุณจะกรุณาออกไปจากห้องทำงานของฉันได้หรือยัง ฉันมีงานที่จะต้องทำให้เสร็จ แล้วก็อยากกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ด้วย”
“โลกของคุณมันก็มีอยู่แค่ห้องทำงานกับบ้านเท่านั้นใช่ไหมล่ะ...?” เขาถอยออกห่างจากโต๊ะทำงาน ท่าทางไม่ได้บอกว่าโกรธเคืองอะไร แต่ก็ไม่ได้เต็มใจเสียทีเดียว “คุณควรหาเวลาอยู่กับเพื่อนฝูงเสียบ้างสิ”
“เวลานี้ฉันก็ต้องการเพื่อน แต่ไม่ใช่ในลักษณะอย่างที่คุณเสนอมาแน่” ริมฝีปากของเธอเหยียดออก ความรู้สึกเสียใจท่วมท้นขึ้น หลังจากที่สเตนแจ้งข่าวที่น่าตกใจนั่นแล้ว ทาเมร่าก็เกิดความหวังลมๆแล้งๆขึ้นมาว่า น่าจะมีใครสักคนช่วยหาทางออกให้กับความลับส่วนตัวของเธอได้ แต่คงไม่ใช่เอ็ดดี้แน่
“กู๊ดไนท์นะเอ็ดดี้” เธอตัดบท ซึ่งเท่ากับเป็นการไล่เขาทางอ้อม
เขาทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่ก็ยังหยุดเสียบปลั๊กเครื่องคิดเลขให้
“คุณไม่รู้จักความเหงาหรอกทาเมร่า เพราะว่าคุณมีงานเป็นเครื่องช่วยอยู่แล้ว บางทีหัวใจของคุณอาจกลายเป็นคอมพิวเตอร์ไปแล้วก็ได้”
“ถ้านั่นเป็นคำพูดเพื่อปลอบใจของคุณก็เชื่อต่อไปเถอะ” เธอตอบอย่างจะให้เห็นขัน หันกลับหาตัวเลขที่รายเรียงอยู่ตรงหน้า ตั้งท่าจะลงมือทำงานต่อ
“คุณน่ะทำงานกับตัวเลขพวกนี้มากเกินไปแล้วนะ ชีวิตคนเรา มันไม่ใช่เรื่องของสถิติหรอกนะทาเมร่า มันจะต้องมีทั้งอารมณ์ ทั้งความรู้สึกด้วย คุณควรจัดการกับตัวเองเสียใหม่ได้แล้ว”
“ฉันจะจำคำพูดของคุณไว้” ทาเมร่าตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเขาเลย...
เมื่อเอ็ดดี้เดินออกจากห้องไปแล้ว นิ้วที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนเครื่องคิดเลขก็หยุดลง สายตาของเธอจับอยู่ตรงบานประตูที่ปิดตามหลังเอ็ดดี้ลง...นี่เธอจริงจังกับตัวเองถึงขนาดนั้นเชียวหรือ...?
มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ชีวิตควรจะได้รับการปรุงแต่งตัวของมันเองให้เป็นไปตามความเหมาะสมด้วย ขณะนี้ไม่มีใครที่จะก้าวเข้ามาและช่วยแก้ปัญหาให้เธออย่างปาฏิหาริย์ได้ โลกของเธอไม่ได้เป็นสีกุหลาบอย่างที่คิดฝันไว้ มันกลับกลายเป็นว่าเธอจะต้องสร้างพละกำลังให้แข็งแกร่งเพื่อจะแบกรับภาระที่หนักหนานั้น ไว้บนไหล่โดยจะอุทธรณ์กับน้ำหนักของมันไม่ได้ คำพูดของเอ็ดดี้คล้ายจงใจจะชักนำให้เธอบังเกิดความรู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมา แต่ว่านั้นมันไม่ใช่หนทางที่จะใช้แก้ปัญหาได้อีกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นความจริงประการหนึ่งที่แฝงอยู่ก็คือ เธอออกจะเสียใจไม่น้อยที่จะหาเพื่อนแท้ไว้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยสักคนก็ยังหาไม่ได้...!
ในระยะ 2-3ปีหลังนี้ ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับคนอื่นๆดูจะขาดหายไปจนหมดสิ้น อันที่จริงมันก็เป็นที่รู้และเข้าใจกันอยู่ ว่ามนุษย์เราควรจะได้อุทิศเวลาของตนให้กับความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้าง พยายามระวังรักษาและให้มันเจริญงอกงามเป็นเครื่องชื่นชูชีวิตไว้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีเวลาเชนที่ว่านั้นเลย และทาเมร่าก็จะต้องยอมรับในความจริงข้อนี้ โดยไม่รู้จะไปอุทธรณ์ร่ำร้องเอากับใคร
เธอปรายตาลงมองแถวบรรทัดของตัวเลขที่อยู่ตรงหน้า เลือดในกายดูจะเย็นเฉียบลงด้วยความหวาดหวั่นกับการรวมตัวของบริษัทที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามา ทาเมร่าพยายามขจัดความรู้สึกดังกล่าวออกไป อย่างน้อย มันก็จะต้องมีข้อยุติอย่างชนิดที่มีเหตุผลเข้าตรงใดตรงหนึ่งจนได้ ไม่มีอะไรที่มันจะสิ้นหวังเสียทั้งหมดอย่างที่เป็นอยู่แน่...
แต่ความร้อนแรงของจุดนั้นมันจะเป็นไปในรูปใดหรือ...? มันอาจถึงขั้นที่เธอถูกไล่ออกจากงานก็ได้ แต่กับความรู้ที่มีอยู่ เธออาจหางานในตำแหน่งสมุห์บัญชีที่ไหนทำก็ได้...ทาเมร่าพยายามบอกกับตัวเองว่า เมื่อถึงเวลานั้นฮาโรลด์ สเตน เห็นจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่
เมื่อเหลือบตาลงมองดูนาฬิกาข้อมือ นิ้วของเธอก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วไปบนหน้าปัดเครื่องคิดเลข แต่กระนั้นกว่าที่จะเสร็จเรียบร้อยลงได้ก็เป็นเวลา 5 โมงเกือบจะครึ่งอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึงว่าเธอจะต้องพลาดรถเที่ยวประจำและต้องรอเที่ยวต่อไป
ด้วยความรีบร้อนที่จะกลับบ้านให้ทันเวลา สายตาของเธอจึงแทบไม่ได้สังเกตเห็นพุ่มไม้ใบเขียวตลอดเส้นทางบนถนนแคนซัส ซิตี้ ซึ่งรถโดยสารประจำทางต้องวิ่งผ่านเลย แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ยามใกล้ค่ำ จับประกายของน้ำพุที่ผุดพลุ่งขึ้น ทำให้กลายเป็นละอองสีทองสวยสด ทาเมร่าอาจมองเห็นมันอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันจิตใจก็มัวพะวงกับเข็มนาฬิกาที่กำลังเคลื่อนช้าๆและรอเวลาที่รถจะมาถึงหัวมุมถนนอยู่
จากป้ายรถประจำทางเธอจะต้องเดินต่อไปอีก 2 ช่วงตึก จึงจะถึงอาณาเขตของบ้านหลังเล็กๆชั้นเดียว ฉาบไว้ด้วยสีขาวตัดขอบสีเขียวตรงหน้าต่าง ดอกทิวลิปพลิ้วไสวอยู่ในสายลม ขณะที่เธอเดินรีบร้อนขึ้นบันไดบ้าน พุ่มไลแล็คที่เริ่มแย้มบานส่งกลิ่นหอมรวยรินไปทั่ว ความคิดหนึ่งผ่านแวบเข้ามาในสมองขณะที่ทาเมร่าเปิดประตูเข้าไปในบ้าน... แม่จะมีความสุขสักเพียงไหน ถ้าจะมีดอกไม้สักช่อจัดไว้ในบ้าน...
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะซาดี้ ที่วันนี้กลับเอาเสียค่ำเลย” ทาเมร่ากล่าวคำขอโทษทันทีที่เห็นร่างสูงใหญ่ของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในชุดกางเกงขายาวสีน้ำตาลกับเสื้อไหมพรมที่ยืนรอรับอยู่ในห้องรับแขก “กว่าจะออกจากที่ทำงานได้ก็ 5 โมงกว่าเข้าไปแล้ว ก็เลยพลาดรถเที่ยวประจำ หวังว่าจะไม่ทำให้คุณกลับช้าเกินไปนักนะคะ”
“กราเซียส...ไม่เลยค่ะ” ซาดี้ตอบด้วยเสียงปนหัวเราะ “สิ่งเดียวที่คอยดิฉันอยู่ที่บ้านก็แค่เครื่องโทรทัศน์เท่านั้นค่ะ”
ทาเมร่าลดเสียงลงเมื่อถามต่อ
“วันนี้แม่เป็นยังไงบ้างคะ?”
รอยยิ้มที่ปรากฏทำให้ใบหน้าสี่เหลี่ยมของนางพยาบาลผู้นั้นอ่อนโยนลง
“ไปดูเอาเองเถอะค่ะ”
ทาเมร่าถอดเสื้อคลุมออก วางลงบนโต๊ะเล็กพร้อมกระเป๋าถือ ก่อนจะเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาตรงไปยังห้องที่ซาดี้เพิ่งจะเดินออกมา รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นร่างของสตรีผอมบางนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในเก้าอี้หุ้มเบาะ
“วันนี้หนูคงไม่ต้องถามว่าแม่เป็นยังไงบ้างใช่ไหมคะ?” ใบหน้าที่สงบเคร่งขรึมของเธอดูมีชีวิตจิตใจขึ้น ยามที่โน้มตัวลงจุมพิตแก้มที่ตอบซูบซีดนั้น “สวัสดีค่ะแม่”
“สวัสดี...แล้วหนูล่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้างลูก?” เสียงที่ทักถามลูกสาวเหมือนพยายามบังคับไม่ให้สันพร่า
“ก็ดีค่ะแม่” ทาเมร่าปด “วันนี้แม่ทำอะไรบ้างคะ?”
“ก็...ดูละครโทรทัศน์ แต่อย่าไปสนใจเลยว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง” คล้ายรอยยิ้มจะจุดขึ้นตรงมุมปาก เพียงแต่กล้ามเนื้อตรงส่วนนั้นไม่อาจเหยียดออกได้เท่านั้น แต่ประกายในดวงตาของนางยังแจ่มใสเป็นสีฟ้าเช่นเดียวกับลูกสาว
เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งที่ทาเมร่าจะต้องถามผู้เป็นมารดาด้วยคำถามเช่นนี้และก็จะได้รับคำตอบเช่นนี้เป็นประจำทุกวันเช่นกัน ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดบทในการสนทนาปราศรัยและรับรู้ในชีวิตประจำวันของแม่ไปในที ออกจะเป็นความน่าเบื่อหน่ายอย่างมากที่จะต้องขังตัวเองอยู่กับผนังทั้ง 4 ด้าน ภายในห้องเล็กๆ แต่ทาเมร่าก็ไม่เคยได้ยินมารดาอุทธรณ์เลยสักครั้ง มีอยู่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เธอได้ยินเสียงแม่ร่ำไห้ออกมาด้วยความรู้สึกปวดร้าว เมื่อหมอแจ้งให้นางทราบ ว่านางเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่ง
ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อในร่างกายก็จะค่อยๆตายลง...ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน และทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มพูนขึ้นจนเกินกำลัง