6
ส่วนพี่สาวฝาแฝดมาทันได้เห็นแค่ร่างอันไร้วิญญาณที่กำลังนอนให้ผู้คนมาอาบน้ำศพเคียงคู่พ่อในวัดไม่ห่างจากไร่เพียงเท่านั้น มันใจหาย สลดหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เมื่อแฝดพี่ที่เหมือนสื่อถึงกันได้ในบางครั้งต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ลำพังต้องแยกบ้านกันอยู่ตั้งแต่พ่อแม่แยกทางกันเมื่อห้าปีก่อนก็ย่ำแย่ด้านจิตใจกันพอแรงแล้ว
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะย่ำแย่กว่าอีกเป็นล้านเท่า เมื่อต้องสูญเสียพี่กับพ่อไปในวันเดียวกัน แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีการสั่งลากันเลยด้วยซ้ำ จิตใจเลยเสมือนอยากจะตายตามพี่กับพ่อไปยังไงยังงั้น
“พ่อกับพี่ไปดีแล้วล่ะหนูดาว อย่าร้องไห้นะเดี๋ยวจะพลอยทำให้สองคนไม่เป็นสุขเปล่าๆ”
โสรัตน์เดินเข้ามาปลอบขวัญหลานสาวที่หลงเหลือเพียงคนเดียวด้วยใบหน้าสลดหดหู่ “หนูดาวไม่เข้าใจว่าทำไมพี่หนูเดือนกับพ่อถึงได้จากไปเร็วขนาดนี้คะ” สาวน้อยเหมือนดาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม ขณะหันไปหาอาซึ่งเป็นญาติฝ่ายพ่อคนเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้
“อาก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อพ่อกับพี่เราจากไปแล้ว ก็ต้องทำใจนะหนูดาว แล้วก็ต้องก้าวต่อด้วย เห็นมั้ยว่ามีอีกหลายต่อหลายเรื่องให้ต้องดูแลต่อจากพ่อ หนูดาวจะทำไหวหรือเปล่า”
เพราะผู้เป็นอารู้ดีว่าหลานไม่มีทางทำอะไรได้มากไปกว่ากลับไปเรียนหนังสือแน่ เลยเป็นห่วงตรงจุดนี้ไม่น้อย “ต้องดูอะไรบ้างล่ะค่ะอา”
“ก็งานในไร่ ไหนจะรีสอร์ตอีกล่ะจ๊ะ มีอะไรให้ทำตั้งมากมาย โชคดีพ่อเราชวนอามาอยู่ด้วย ไม่งั้นคงไม่มีคนของเรารู้งานแล้วสานต่อจากแน่ๆ เลย”
“แล้วหนูดาวจะดูอะไรเป็นคะ”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้เลยหนูดาว ไว้ให้งานศพจบลงก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ หรือถ้าหลานไม่ไหวอย่างน้อยๆ ก็ยังมีอาอยู่ทั้งคนจะกลัวอะไรล่ะ อารู้พอๆ กับพ่อเราหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ รับรองว่ามีอาอยู่ด้วยหลานสบายไปอีกหลายปีเลยล่ะหรือถ้ากิจการไปไม่ไหวจริงๆ พอที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของหนูดาวแล้ว เราจะขายให้คนอื่นก็ได้”
สาวน้อยเหมือนดาวนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ข้างๆ คนเป็นแม่ เพื่อคอยจุดธูปส่งให้แขกที่มาเคารพศพผู้พ่อกับพี่สาวเป็นครั้งสุดท้ายด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ขอบตาบวมเปล่งเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักนับตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าพ่อกับพี่ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
กระทั่งวินาทีนี้ ที่ได้นำศพทั้งสองมาตั้งสวนอภิธรรมในวัดไม่ห่างจากฟาร์มแสงตะวัน กับไร่คล้ายเดือนเหมือนดาวนัก เพราะสะดวกสำหรับเจ้าภาพพร้อมแขกเหรื่อ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นแขกของแสงตะวัน
นั่นทำให้สาวน้อยต้องคอยหันไปมองคนเป็นอาอยู่เสมอๆ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และไม่มีใครให้ความสนใจลูกสาวของคนจากไปด้วยซ้ำ หรือจะพูดให้ถูกก็คือทั้งแม่และอาเองก็แทบไม่ได้อยู่ในสายตาของแขกผู้ใหญ่ที่มางานด้วยซ้ำ
“ตกลงนี่พี่หรือพ่อของใครตายกันแน่ล่ะเดือน แขกแต่ละคนมาฉันแทบไม่รู้จักเลย แล้วไม่มีใครสนใจพวกเราด้วยซ้ำนะฉันว่า” จนโสรัตน์เองอดมากระซิบกระซาบกับพี่สะใภ้วัยเดียวกันไม่ได้ เพราะรู้สึกเหมือนไร้ซึ่งตัวตนในงานยังไงยังงั้น
“นั่นน่ะสิรัตน์ ตั้งแต่ตอนรดน้ำศพแล้ว เดือนก็ไม่เห็นใครจะมาถามพวกเราเลยนอกจากคนงานของรีสอร์ตกับคนในฟาร์มเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นคนใหญ่คนโตในพื้นที่ หรือไม่ก็เป็นเจ้าของกิจการทั้งนั้น
“ไม่คิดเลยนะครับว่าแกจะไปไวขนาดนี้ ยังไม่ทันได้ล่ำลากันเลย” ทั้งสามที่นั่งอยู่หน้าหีบศพมองไปยังชายวัยกลางคน แต่งกายภูมิฐานมาพร้อมพวงหรีดกับซองเงินช่วยงาน ขณะยื่นซองส่งให้ก็เปรยด้วยสีหน้าเศร้านิด
“พวกเราก็ตกใจเหมือนกันครับ”
แสงตะวันยกมือไหว้ขอบคุณขณะยื่นมือรับซองจากแขกที่เขากับพ่อเคยไปช่วยงานไว้หลายต่อหลายครั้งมาแล้ว เหมือนดาวจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนรอรับแขกอยู่ในชุดสูทสีดำ ซึ่งส่งให้เขาดูหล่อเหลาเป็นเป้าสายตาให้หลายต่อหลายคนตลอดเวลา
ผิดกับสาวน้อยภรรยาในนามของเขาโดยสิ้นเชิง ที่เป็นทั้งเด็กหน้าตาเด๋อๆ ผมทรงบ๊อบสั้นเลยติ่งหูมาเล็กน้อย เสื้อผ้าก็ธรรมดาๆ ราคาร้อยเก้าสิบเก้าบาท หาสง่าราศีใดๆ ให้เทียบกับผู้เป็นสามีในนามไม่ได้เลย
“คนนั้นเป็น สส. เขตนี้ ที่ยืนด้วยกันนั้นก็นายกเทศบาล รู้จักคุณป๋ากับคุณตะวันเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ก็พวกชอบมาขอสปอนเซอร์ให้ช่วยงานนั้นงานนี้นั่นล่ะ พวกนักการเมืองหน้าไหว้หลังหลอก ฉันล่ะเกลียดจะตายเดือน”
โสรัตน์กระซิบบอกดุจเดือนด้วยสีหน้าไม่ปลื้มพวกนักการเมืองที่โกงบ้านกินเมืองสักเท่าไหร่ “แล้วพี่รงค์สนิทกับคนพวกนี้ด้วยหรือเปล่ารัตน์”
เพราะนับตั้งแต่หย่าขาดจากกัน ดุจเดือนก็แทบไม่ได้คุยเรื่องส่วนตัวใดๆ กับอดีตสามีเลย นอกจากจะคุยเรื่องลูกเวลาปิดเทอมว่าจะให้ใครไปอยู่กับใครเพียงเท่านั้น เลยไม่ได้รู้ความเคลื่อนไหวอะไรเลย
“ไม่รู้สิ! ฉันก็ไม่ค่อยได้ยุ่งเรื่องนี้ของพี่รงค์หรอก แต่เห็นแกสนิทกับป๋าแล้วก็คุณตะวันมากกว่าใครนะ บางทีก็ชวนกันไปงานวันเกิดนักการเมืองท้องถิ่นบ้าง งานแต่งของลูก สจ. สว. นายกนั่นนี่บ้าง ตามประสาคนทำธุรกิจที่จะต้องพึ่งพาคนมีอำนาจบารมีล่ะมั้ง”
โสรัตน์ตอบตามตรง เพราะไม่ได้ยุ่งกับใครนอกจากทำงานและยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของตัวเองเท่านั้นจริงๆ แล้วทั้งสามก็หันไปมองรถตู้สองคันที่แล่นเข้ามาจอดไม่ห่างจากศาลานัก สักพักก็มีนักเรียนมัธยมเดินลงมาไม่ต่ำกว่าสามสิบ กับครูอีกห้าหกคนที่มารถเก๋งสองคัน