๓.๒ ทัณฑ์จอมเถื่อน
เมสันหัวเราะหึๆ ในลำคอ ดวงตาสีอำพันพราวระยับ เขาไม่ได้อับอายกับปฏิกิริยาของร่างกายตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่กำลังพอใจที่เห็นใบหน้าเนียนใสนั้นมีสีเลือดซับขึ้นบนพวงแก้ม ใครจะรู้ว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาร่างกายของเขาโหยหากลิ่นหอมอ่อนๆ และร่างนุ่มนิ่มของเธอมากแค่ไหน และมันน่าหงุดหงิดยิ่งนักที่เธอเอาแต่หลบหน้า ไม่ยอมแม้แต่จะเฉียดเข้ามาใกล้เขาด้วยซ้ำ
“เอนหน้าหนีซะขนาดนั้น ไม่กลัวคอหักหรือไง หรือว่าไม่อยากให้ฉันง้างปากแต่ชอบที่ถูกฉันไซ้คอมากกว่า” คนหน้าดุพูดเอาแต่ได้
“มะ...ไม่ใช่ทั้งสองอย่างค่ะ กรุณาปล่อยดิฉันค่ะคุณเมสัน”
“เธอรู้ดีละอองฝนว่าเธอกำลังโกหก เธอไม่อยากให้ฉันปล่อยและเธอก็อยากให้ฉันจูบด้วย” เขาก้มลงไปกระซิบ พลางพ่นลมหายใจอุ่นๆ รวยรดข้างซอกคอ แก้มที่สากระคายไปด้วยไรหนวดสัมผัสกับพวงแก้มนุ่มก่อให้เกิดการเสียดสีจนสาวน้อยรู้สึกใจสั่นหวิว จากนั้นเขาก็พิสูจน์ให้ละอองฝนเห็นว่าเธอพูดโกหก ด้วยการกดจมูกจูบไซ้ซอกคอขาวละมุนอย่างเร่าร้อนทันที สาวน้อยพานทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งงัน แต่กายสาวกลับเสียวสยิวจนสั่นสะท้านระริก อยากจะผลักร่างใหญ่ออกห่าง แต่สัมผัสแสนซ่านรัญจวนนั้นก็ทำให้เธอไร้สิ้นเรี่ยวแรงจะต้านทาน
ความเนียนนุ่มซึ่งกรุ่นไปด้วยความเปล่งปลั่งแห่งวัยสาวที่ร่างกายของตนโหยหาทำให้เมสันถึงกับต้องครางฮึมในลำคออย่างพึงพอใจ ปากร้อนจูบไซ้แรงยิ่งกว่าเดิมตามระดับความหื่นกระหายของคนจูบ...เด็กสาวกำลังทำให้เขาคลั่งและปวดหนึบไปด้วยความปรารถนา ร่างนุ่มนิ่มที่อยู่ในอ้อมกอดขณะนี้เร่งเร้าให้กายแกร่งเรียกร้องหาอย่างอื่นที่มันมากกว่าการกอดจูบลูบคลำแบบที่ทำอยู่ตอนนี้!
เมสันจำต้องผละใบหน้าห่างออกมาจากความยั่วยวนที่กำลังสัมผัสอยู่ เพราะเขายิ่งกว่ามั่นใจเสียอีกว่าหากขืนยังคลุกเคล้าอยู่นานกว่านั้นเพียงแค่ชั่วอึดใจ เขาต้องยกขาเธอขึ้นพาดไว้บนแขนแล้วโจนจ้วงแก่นลำชายที่กำลังแข็งผงาดเข้าไปในความเป็นหญิงของเธออย่างบ้าคลั่งแน่ๆ
“อารมณ์ค้างล่ะสิ”
เสียงห้าวกระด้างพูดหยันๆ ขึ้นเมื่อดวงตากลมโตแป๋วแหววมองมาอย่างงงงวย ที่จู่ๆ เขาก็ผละออกห่างเอาดื้อๆ แต่ให้ตายสิ...แววตาตื่นๆ ที่เจือไว้ด้วยอารมณ์หวามสวาทของเธอกำลังทำให้ความอดทนอดกลั้นที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดราวกับฟางเส้นสุดท้ายของเขาแทบจะขาดผึง!
คำพูดหยามหยันนั้น ยังผลให้ละอองฝนถึงกับผงะด้วยความอับอาย ไม่กล้าแม้แต่จะตอบโต้ว่ามันไม่จริง เพราะเธอกำลังรู้สึกอย่างที่เขาว่า สาวน้อยก้มหน้างุดก่อนจะรีบรวบรวมสติ แล้วรีบวิ่งหนีจากสายตาของเขาให้เร็วที่สุด
เมื่อเข้าไปอยู่ในห้องของตัวเอง ร่างบอบบางยืนพิงประตู ปล่อยให้น้ำตาเอ่อคลอออกมาพลางก่นด่าตัวเองที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เขากอดจูบเอาตามชอบใจมาหลายครั้งหลายครา โดยไม่รู้ว่าคนที่พูดทำร้ายจิตใจเธอเมื่อครู่นี้ก็สบถตัวเองเช่นกัน
ค่ำนั้นเป็นอีกค่ำที่ละอองฝนไม่ออกมาร่วมโต๊ะอาหาร โดยบอกกับแม่บ้านเอาไว้ว่าปวดศีรษะเหมือนครั้งก่อน พอแพรวดาวรู้เข้าก็อดที่จะบ่นกับไวแอตไม่ได้ว่าลูกสาวของตนปวดศีรษะตอนเย็นบ่อยผิดปกติ ส่วนอีกคนซึ่งนั่งรับประทานอาหารอยู่เงียบๆ รู้ดีทีเดียวว่าสาเหตุอันแท้จริงที่ละอองฝนไม่ออกมาร่วมโต๊ะอาหารคืออะไร
“พรุ่งนี้พี่เมสันไม่อยู่ใช่ไหมคะ” เทเรซ่าพูดแทรกขึ้น เมื่อรู้สึกรำคาญที่แพรวดาวเอาแต่พูดเรื่องของละอองฝน ซึ่งก็ทำให้อดีตนางแบบสาวใหญ่มองมาตาขวางอย่างไม่ชอบใจนัก
“ไม่อยู่...” เมสันตอบเสียงเรียบๆ
“แล้วพรุ่งนี้เทเรซ่าจะไปฟาร์มยังไงคะ”
“หยุดสักวันก็ได้มั้งเทเรซ่า”
“ไม่ล่ะค่ะ” หญิงสาวส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธ “ถ้ายังไงพี่เมสันบอกเอเดรียนมารับเทเรซ่าหน่อยนะคะ”
“แหม! เทเรซ่านี่ขยันจังเลยนะ ขนาดพรุ่งนี้คุณเมสันไม่อยู่ยังจะไปฟาร์มให้ได้ อยากจะรู้จังว่าที่ฟาร์มมีอะไรดี” แพรวดาวพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหนอย่างหมั่นไส้
เทเรซ่าตวัดมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตาขวางอย่างแสดงความไม่เป็นมิตรออกมาตรงๆ เช่นกัน ก่อนจะตอกกลับด้วยท่าทีเย่อหยิ่งและถือไพ่เหนือกว่า
“ก็ฉันจะมาเป็นภรรยาของพี่เมสัน เพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษางานทุกอย่างของพี่เมสันเอาไว้ ฉันไม่คิดจะแต่งงานแล้วมานั่งๆ นอนๆ ให้สามีเลี้ยงอย่างเดียวหรอกนะ”
ประโยคนั้นทำเอาแพรวดาวแทบจะลุกขึ้นเต้นเป็นเจ้าเข้าด้วยความเจ็บใจ เทเรซ่าเหน็บกลับมาอย่างเจ็บแสบที่สุดเนื่องจากตั้งแต่แต่งงานกับไวแอตมาแพรวดาวไม่เคยคิดจะทำอะไร นอกจากแต่งตัวและออกงานกับสามี
“หวังว่าคงจะมีโอกาสได้ดูแลทุกอย่างอย่างที่ตั้งใจนะ”
แพรวดาวข่มอารมณ์เอาไว้แล้วสวนกลับไปอีกครั้งอย่างไม่ยอมรามือง่ายๆ
“แน่นอน” เทเรซ่าทำเสียงสูงด้วยใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างมั่นใจในตัวเอง
“โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะให้เอเดรียนมารับก็แล้วกัน” เมสันตัดบทเสียงเข้มเพราะเริ่มรู้สึกรำคาญเสียงของผู้หญิงสองคนที่กระแนะกระแหนกันกลับไปกลับมาเต็มที
“ขอบคุณค่ะ” เทเรซ่าหันไปยิ้มหวานให้กับเมสัน ก่อนจะเงียบเสียงลงเช่นเดียวกับแพรวดาวที่รู้แล้วว่าเมสันกำลังอยู่ในภาวะไม่สบอารมณ์ เธอจึงเลือกที่จะหุบปากให้สนิทเช่นกัน ด้วยเพราะไม่กล้าเสี่ยงกับความเกรี้ยวกราดที่น่ากลัวมากกว่าพายุทอร์นาโดเสียอีก
เมสันยกน้ำขึ้นดื่มแล้วลุกจากโต๊ะอาหารก้าวดุ่มๆ ไปยังห้องทำงานของตัวเองโดยไม่มีใครกล้าถามอะไรอีก นอกจากมองตามเงียบๆ
ร่างสูงกำยำทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หนังตัวใหญ่แล้วหยิบเอกสารขึ้นมาดูด้วยความหงุดหงิดที่กรุ่นๆ มาจากโต๊ะอาหาร จะว่าเพราะรำคาญแพรวดาวกับเทเรซ่าก็ไม่เชิงนัก แต่สาเหตุหลักๆ น่าจะเกิดจาก...
“บ้าชะมัด!”
ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอพร้อมกับสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อสลัดความคิดที่กำลังออกนอกลู่นอกทางของตัวเองทิ้งไปเสีย ก่อนจะวางเอกสารลงบนโต๊ะเช่นเดิม เปลี่ยนอิริยาบถเป็นเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้ สองมือประสานไว้บนตัก แล้วหลับตาลง ทว่าภาพใบหน้าหวานใส ดวงตากลมโตที่กำลังไหวระริกดั่งนางเนื้อระแวงภัย ริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อ และรสสัมผัสจากเรือนกายนุ่มนิ่มก็ผุดพรายขึ้นมาในห้วงความคิดอีกจนได้
วันนั้น...ในห้องนี้ วันที่เขาโมโหเพราะเห็นเธอยืนคุยกับเอเดรียนอย่างสนิทสนม เขาสั่งให้เธอเอากาแฟมาให้ แล้วเค้นถามเอาความจริงว่าผู้ชายที่เธอแอบไปพบในยามวิกาลที่คอกม้าใช่เอเดรียนหรือเปล่า เมื่อเธอทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็ง เขาก็เลยกระชากมาลงโทษ มันเป็นภาพและเสียงที่เด่นชัดมาก อีกทั้งยังยวนอารมณ์เหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงครางอันสั่นสะท้านจนเกือบกลายเป็นเสียงสะอื้นของเธอในยามที่ถูกมือและปากของเขารุกราน!
‘อาว์...คุณเมสันคะ ได้โปรด...’
“เด็กบ้า” เสียงห้าวทุ้มพึมพำกับตัวเอง แล้วลุกพรวดพราดออกจากห้องทำงานอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเอาดื้อๆ
ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะหนักๆ ที่ประตูหน้าห้องดังขึ้นในเวลาเกือบสี่ทุ่ม ทำให้ละอองฝนต้องรีบปาดน้ำตาออกจากสองแก้มและกะพริบตาที่บวมช้ำถี่ๆ เพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่มาเคาะประตูเห็นว่าตนกำลังร้องไห้ เธอไม่ได้เพิ่งร้อง หากแต่น้ำตามันไหลตั้งแต่วิ่งเข้าห้องหลังจากปะทะกับเมสันที่หน้าห้องครัวแล้ว เธอโกรธเมสันน้อยกว่าโกรธร่างกายตัวเองที่มีความรู้สึกอันน่าอาย เหมือนอย่างที่เขาเย้ยหยันจริงๆ
สาวน้อยใช้เวลาปรับสีหน้าตัวเองอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยเดินไปเปิดประตู แต่ทว่าเมื่อเห็นคนที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านนอกก็ถึงกับผงะจนแทบจะหงายหลังล้มเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเขา!