๒.๒ ทัณฑ์หวาม
เมสันไม่ได้ไยดีกับการต่อต้านอันน่ารำคาญนั้นเลยสักนิด เขาใช้เรียวปากหยักบดกระแทกกดคลึงให้ริมฝีปากอันไร้เดียงสาของคนในอ้อมกอดต้องเผยอเปิด จากนั้นก็ฉกลิ้นสากระคายร้อนๆ วูบเข้าไปในโพรงปากจิ้มลิ้มอย่างจ้วงจาบตามแบบนิสัยคนเอาแต่ใจ
“อื้อ!...”
ละอองฝนรู้ดีว่านี่คือการลงทัณฑ์ของเขา เธอพยายามจะร้องประท้วง หากเสียงก็ฮึมฮัมอยู่แต่ในลำคอเท่านั้น สุดท้ายเสียงร้องก็กลายเป็นเสียงคราง เมื่อลิ้นอ่อนหัดต่ออารมณ์ดำฤษณาถูกเกี่ยวกระหวัดรัดร้อยเข้ากับลิ้นร้อนๆราวกับเปลวเพลิง ส่งผ่านความซ่านสยิวให้แล่นพล่านลามเลียไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายก่อนจะมาขมวดเกร็งรวมกันอยู่ในท้องน้อย
แรงจุมพิตอันแสนดิบเถื่อนของเขาทำให้ละอองฝนสะท้านเยือก แต่ทันทีที่กระดิกกระเดี้ยตัวเพียงแค่องคุลีเดียว ร่างอ้อนแอ้นที่ถูกตรึงให้ยืนแนบชิดอยู่กับร่างแกร่งจนไม่มีที่ว่างให้เข็มผ่านก็เกิดการเสียดสีที่ทำให้ความซ่านสยิวถาโถมเข้าใส่จุดอ่อนไหวรุนแรงยิ่งกว่าเดิม สาวน้อยจึงไม่กล้าขยับเขยื้อนและได้แต่ยืนนิ่งเหมือนยอมจำนนให้เขากอดจูบโดยดุษฎี
เมื่อไร้การต่อต้าน การลงทัณฑ์ของเมสันก็ยิ่งทวีความเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนสาวน้อยผู้อ่อนด้อยประสบการณ์รู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังจะขาดใจตายเพราะหายใจหายคอไม่ทัน แต่ก็ไม่ตายอย่างที่คิดเนื่องจากเขาได้ผละริมฝีปากออกอย่างกะทันหัน ทำให้เธอตกอยู่ในภาวะมึนงงแกมพร่าเลือนไปชั่วขณะสมองหมุนติ้ว เรี่ยวแรงจะยืนแทบไม่หลงเหลือจึงได้แต่ปล่อยให้ตัวเองทรุดลงไป ทว่ายังไม่ทันจะพับถึงพื้นร่างอ้อนแอ้นก็ปลิวขึ้นไปตามแรงฉุดของลำแขนแข็งแรง
เมสันไม่ได้ฉุดให้เธอยืนเท่านั้นแต่ยังยกหน้าท้องของเธอขึ้นไปพาดอยู่บนไหล่แกร่ง ศีรษะห้อยต่องแต่งลงมาด้านหลังของเขา โดยมือแกร่งกางขยุ้มบนบั้นท้ายงอนงามตรึงเอาไว้เพื่อไม่ให้เธอดิ้นหนี จากนั้นเขาก็แบกร่างน้อยพาเดินออกจากโรงม้า ตรงไปตามถนนซึ่งเป็นทางกลับคฤหาสน์
“ปล่อยดิฉันลงเดี๋ยวนี้นะคะคุณเมสัน!”
นั่นเป็นประโยคแรกที่หลุดจากปากสีระเรื่อที่ยังคงสั่นระริกจากการถูกบดจุมพิตอันรุนแรงในรอบหลายนาทีที่ผ่านมา
“หุบปากซะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะจับเธอทุ่มลงบนพื้นถนนแข็งๆ นี่เสีย”
เมสันตะคอกเสียงเข้ม ทำให้สาวน้อยต้องชะงักเสียงของตัวเองลงโดยพลัน เพราะรู้ดีว่าคนร้ายกาจเช่นเขาคงจะไม่เตือนเธอซ้ำสองเป็นแน่
ลำขาแกร่งยังคงก้าวอาดๆ ไปข้างหน้าอย่างมั่นคงจนคนที่ถูกแบกอยู่อดที่จะทึ่งในพละกำลังอันมากมายมหาศาลของเขาไม่ได้เมสันนั้นเป็นผู้ชายที่แข็งแรงมาก แบกเธอพาดบ่าตั้งแต่โรงม้าจนถึงหน้าคฤหาสน์โดยไม่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยใดๆ ให้เห็น ราวกับว่าร่างกายของเธอเบาหวิวเหมือนปุยนุ่นก็ไม่ปาน
“ปล่อยดิฉันลงค่ะคุณเมสัน ดิฉันบอกให้ปล่อย” เสียงหวานร้องอนาทรขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาพาเดินมาถึงยังหน้าคฤหาสน์แล้ว
“ถ้าเธออยากให้คนในบ้านแตกตื่นและลุกขึ้นมาเห็นว่าฉันแบกเธอมาจากโรงม้าก็แหกปากดังๆ เลยละอองฝน”
“ดิฉันขอโทษ... แต่กรุณาปล่อยดิฉันลงเถอะนะคะ”
ละอองฝนได้ยินเขาระบายลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะปล่อยเธอลงจากบ่าแข็งแรงของเขาให้ยืนบนพื้นอีกครั้ง ด้วยขาเรียวยังสั่นอยู่มาก แต่ก็มีแรงพอจะพยุงตัวเองให้ยืนได้ ไม่เหมือนตอนที่อยู่ในโรงม้า
“เข้าบ้านไปซะ แล้วก็อย่าให้ฉันเห็นว่าเธอออกไปที่โรงม้าหรือออกนอกบ้านยามกลางคืนแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะลงโทษให้หนักทันที” เขาไม่วายคาดโทษอีกเหมือนเคย... แม้จะตื่นตระหนกและคิดหนักอยู่บ้าง เพราะว่าหลังจากนี้เธออาจจะไปที่ฟาร์มยากขึ้น แต่มันก็ยังไม่ใช่ปัญหาที่สาวน้อยจะต้องคิดในเวลานี้ สิ่งที่เธอควรต้องรีบทำที่สุดคือต้องไปให้ห่างจากผู้ชายตรงหน้าให้ไวที่สุด ความคิดนั้นทำให้ร่างบอบบางรีบพาตัวเองเข้าไปในคฤหาสน์ตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตน โดยมีสายตาคมดุมองตามจนกระทั่งเธอลับตา เขาจึงค่อยก้าวตามเข้าไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ละอองฝนตื่นแต่เช้าเข้าไปช่วยงานในครัวตามปกติทั้งๆ ที่เมื่อคืนที่ผ่านมา เธอแทบจะไม่ได้หลับเพราะถูกเหตุการณ์อันน่าอับอายที่โรงม้าตามรบกวน สาวน้อยยังไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรและจะสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้เกิดอาการสั่นได้มากน้อยแค่ไหนยามที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาบนโต๊ะอาหาร แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนมีใครมายกภูเขาทั้งลูกออกจากอก เมื่อแม่บ้านบอกว่าเช้านี้เจ้านายสามคนไม่มีใครอยู่ เพราะไวแอตกับแพรวดาวถูกเชิญไปงานแต่งงาน ส่วนเมสันออกไปเจรจาเรื่องการซื้อขายม้ากับชีคจากตะวันออกกลางที่โรงแรมซึ่งอยู่ในตัวเมืองคลีฟแลนด์ เธอจึงได้ปล่อยหน้าที่การตั้งโต๊ะอาหารเช้าสำหรับเทเรซ่าและธัญญ่าให้เป็นของแม่บ้านกับสาวใช้ ส่วนตัวเองนั่งรับประทานอาหารในครัวเงียบๆ คนเดียว
บรรยากาศในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสีเขียวขจีตอนนี้เงียบลงถนัดตาเมื่อใครต่อใครต่างก็ออกไปทำธุระข้างนอกกันหมด ละอองฝนจึงเข้าไปหยิบหนังสือในห้อง ตั้งใจว่าจะออกไปนั่งอ่านที่มุมโปรดของตัวเอง แต่เท้าเล็กๆ ก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงเรียกของเทเรซ่าดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน!”
“คุณเทเรซ่าเรียกดิฉันเหรอคะ...”ละอองฝนหันมาถามด้วยเสียงนุ่มๆและยิ้มบางๆตามธรรมชาติของตัวเอง แต่อีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นกอดอกขณะมองมายังเธออย่างไว้ตัว
“เรียกเธอนั่นแหละ”
“คุณมีอะไรให้ดิฉันช่วยคะ”
“ฉันจะเข้าฟาร์ม” เทเรซ่าบอกความต้องการของตัวเองออกมาห้วนๆ
“แต่วันนี้คุณเมสันไม่อยู่นะคะ รถคันอื่นๆ ก็ไม่อยู่ค่ะ เอาไว้รอให้คุณเมสันกลับมาก่อนได้ไหมคะ” สาวน้อยตอบกลับไปอย่างนุ่มนวลเช่นเดิม
“ฉันจะเข้าฟาร์มวันนี้และเดี๋ยวนี้”
เทเรซ่ายืนยันความต้องการของตัวเองอย่างเอาแต่ใจ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่และปัญหาของละอองฝนที่จะต้องหาหนทางเอาเอง
ดวงตาดำขลับที่มีเงานุ่มเสมือนกำมะหยี่มองคู่หมั้นของเจ้าของคฤหาสน์อยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังชั่งใจ ครั้นจะบอกให้เทเรซ่าเดินไปเองก็รู้แน่ว่าอีกฝ่ายคงไม่พอใจ อีกทั้งแดดวันนี้ก็ค่อนข้างแรง ผู้หญิงบอบบางอย่างเทเรซ่าคงจะเดินตากแดดไปไม่ไหว จึงตัดสินใจว่าจะไปตามให้เอเดรียนขับรถมารับเทเรซ่า
“ถ้าอย่างนั้นคุณรอสักครู่นะคะ ดิฉันจะไปตามคนมารับ”
เทเรซ่าแค่พยักหน้าแล้วเดินกลับเข้าไปรอในคฤหาสน์ ละอองฝนจึงรีบสาวเท้าไปตามถนนคอนกรีตท่ามกลางแดดที่ร้อนเปรี้ยงๆ ราวกับเตาอบ แต่เธอก็ไม่ได้หวาดหวั่นกับเรื่องแค่นี้ ด้วยเพราะตระหนักดีว่าตัวเองเป็นแค่ผู้อาศัย จึงไม่อยากขัดใจคู่หมั้นเจ้าของคฤหาสน์
ทว่าดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเห็นใจเพราะเมื่อละอองฝนเดินไปถึงครึ่งทางเอเดรียนก็ขับรถสวนมาพอดี เขาบีบแตรแล้วหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง แล้วส่งเสียงทักทายสาวน้อยทันที
“จะเข้าฟาร์มเหรอออม”
“ใช่ค่ะ” สาวน้อยคลี่ยิ้มละไม“กำลังจะเข้าไปตามพี่เอเดรียนนั่นแหละ”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“มีค่ะพี่เอเดรียน คือคุณเทเรซ่าอยากเข้าไปดูม้าที่ฟาร์มน่ะค่ะ แต่ว่าที่บ้านรถไม่อยู่เลยสักคัน”
“ถ้างั้นมาขึ้นรถกลับกับพี่เถอะ เดี๋ยวพี่จะไปรับคุณเทเรซ่าให้เอง”
เอเดรียนบอกอย่างใจดี ทำให้สาวน้อยค่อยคลายใจ จึงเดินมาขึ้นรถที่เบาะข้างๆ ก่อนที่เอเดรียนจะขับรถพากลับไปยังคฤหาสน์อีกครั้ง