๑.๔ ละอองฝนริมทาง
“นั่นข้อมือไปโดนอะไรมาน่ะออม ทำไมมันถึงได้เขียวคล้ำแบบนั้น”
แพรวดาวถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าข้อมือเล็กๆ ของลูกสาวมีร่องรอยฟกช้ำตอนที่เธอยื่นมือมารินน้ำ
“เอ่อ...คือ...เมื่อคืนออมนอนละเมอตกเตียงค่ะ แขนก็เลยฟาดกับขอบเตียง” สาวน้อยจำต้องพูดปดกับผู้เป็นมารดา และอดที่จะปรายหางตาชำเลืองมองไปทางต้นเหตุไม่ได้ เห็นเขาทำหน้านิ่งขรึมเงียบเฉยเหมือนกับหุ่นยนต์ก็ยิ่ง ใจไม่ดี
“แน่ใจเหรอ?” แพรวดาวหรี่ตาลงแคบๆ ด้วยความสงสัยมากขึ้นเมื่อเห็นละอองฝนมองไปทางเมสัน“แต่คุณว่าร่องรอยมันเหมือนกับถูกกระชากนะ”
“จริงๆ ค่ะคุณ” ละอองฝนพยายามทำเสียงหนักแน่น แล้วก็ถอยห่างออกไปยืนข้างๆ โต๊ะอาหารเพราะไม่อยากโดนซักไซ้ไปมากกว่านั้น ด้วยกลัวว่าจะแสดงพิรุธออกมาให้แพรวดาวได้เห็น เนื่องจากปกติเธอเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย
“ก็แล้วไป แต่อย่าให้คุณรู้นะว่าแอบไปทำอะไรโดยที่ไม่บอกคุณ”
คนเป็นแม่สำทับเสียงเข้ม ทั้งขู่ลูกสาวและเหมือนตั้งใจจะให้กระทบไปถึงคนที่นั่งทำหน้าตายอยู่ตรงข้ามกลายๆ
“ละอองฝนก็คงจะชอบ ‘แอบ’ ทำอะไรเหมือนอย่างที่คุณชอบนั่นแหละ”
เมสันที่นั่งนิ่งอยู่นานพูดขึ้นด้วยเสียงห้าวดุดัน ริมฝีปากหยักเหยียดได้รูปคล้ายจะเยาะ
“คุณเมสัน!”
แพรวดาวที่ทำเสียงเข้มอยู่เมื่อครู่นี้หน้าซีดเผือดลง กลัวเขาจะพูดในสิ่งที่เธอไม่อยากให้พูด ไม่อย่างนั้นเธอกับละอองฝนคงจะได้ระเห็จออกไปจากบ้านหลังนี้เป็นแน่ เพราะคำพูดของลูกชายที่เป็นคนจริงจังอย่างเมสันต้องน่าเชื่อถือมากกว่าภรรยาใหม่อย่างเธออยู่แล้ว
“มีอะไรที่พ่อไม่รู้หรือเปล่า?” ไวแอตหันไปทางเมสันเมื่อรู้สึกว่าหัวข้อสนทนานั้นเริ่มกำกวมและอยู่นอกเหนือจากเรื่องที่เขารู้
“ผมว่าให้ภรรยาของพ่อตอบเองจะดีกว่านะ”
“เอ่อ...คือคุณเมสันคงจะหมายถึงเรื่องที่แพรวแอบถักเสื้อกันหนาวให้คุณน่ะค่ะไวแอต” แพรวดาวรีบหาทางออกให้ตัวเองทันที
“ความจริงแพรวตั้งใจว่าจะเซอร์ไพรส์วันเกิดของคุณ แต่พอดีคุณเมสันไปเห็นเข้าเสียก่อน ก็เลยไม่เซอร์ไพรส์เลย”
คำตอบของผู้เป็นภรรยาทำให้ท่าทีเคลือบแคลงสงสัยของไวแอตเปลี่ยนไปโดยพลัน ใบหน้าและน้ำเสียงที่ดูเครียดๆ เมื่อครู่นี้กลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที
“อย่างนั้นเองหรอกเหรอที่รัก”
“ค่ะ...แต่สงสัยแพรวต้องหาของขวัญให้คุณใหม่แล้วล่ะค่ะ” แพรวดาวได้ทีรีบทำเสียงและสายตาอ้อนๆ ใส่สามี
“ไม่เป็นไรหรอกที่รัก คุณอุตส่าห์ตั้งใจทำให้ทั้งที...”
ไวแอตบอกอย่างอ่อนโยนรักใคร่ ในขณะที่คนมีชนักติดหลังแอบระบายลมหายใจออกมาเบาๆ เป็นเชิงโล่งอกที่เอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นไปได้อย่างหวุดหวิด
ละอองฝนที่ยืนฟังเงียบๆ รู้สึกสงสารและเห็นใจไวแอตยิ่งนัก แต่จะให้โกรธเกลียดผู้เป็นแม่นั้นเธอก็ทำไม่ได้ สาวน้อยลอบมองไปทางเมสันอีกครั้ง เห็นประกายตาของเขามีร่องรอยการเหยียดหยามเจืออยู่อย่างเปิดเผย ก็ยิ่งสะท้อนใจในการกระทำของมารดาเหลือเกิน
“แล้วนี่แกจะไปรับเทเรซ่ากับธัญญ่าเลยหรือเปล่า” ไวแอตเอ่ยถามลูกชายหลังจากรับประทานอาหารเช้าอิ่มแล้วโดยยกกาแฟขึ้นมาจิบขณะรอคำตอบ
“ผมคงไม่ไปเอง พอดีผู้จัดการฟาร์มโทร.มาบอกว่าเมื่อคืนพรีมโรสตกลูก ตัวนี้เป็นลูกของเจ้าเฮดีส ผมก็เลยว่าจะแวะไปดูสักหน่อย ส่วนเทเรซ่ากับธัญญ่าเดี๋ยวผมจะให้เอเดรียนไปรับ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ เห็นม้าสำคัญกว่าคู่หมั้น” ผู้เป็นพ่อนิ่วหน้าเป็นเชิงประชดลูกชายคนเดียวออกมาตรงๆ
“ใครไปรับก็มาถึงเหมือนกันนั่นแหละ ผมขอตัวก่อนนะ”
ว่าแล้วร่างกำยำก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปหยิบเอาหมวกปีกใบใหญ่แบบคาวบอยที่แขวนอยู่หน้าประตูทางออก ก้าวดุ่มตรงไปขึ้นรถจี๊ปซึ่งจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ ก่อนจะเหยียบคันเร่งและบังคับพาหนะคู่ใจไปยังฟาร์มโดยไม่คิดจะไยดีอะไรอีก
“ที่คุณคุยกับคุณเมสันเมื่อครู่นี้หมายความว่ายังไงเหรอคะไวแอต”
แพรวดาวรีบหันมาถามสามีด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างไม่ชอบใจเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นของเมสันกำลังจะมาที่นี่
“เทเรซ่ากับธัญญ่าจะมาอยู่กับเราสักระยะ”
“มาอยู่กับเรา!” สาวใหญ่เผลออุทานเสียงสูงแหลมอย่างลืมตัว
“ใช่” ไวแอตพยักหน้าน้อยๆ “มีอะไรหรือเปล่าที่รักทำไมทำเสียงแบบนั้น”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ เพียงแต่แพรวไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้น คุณน่าจะบอกก่อนแพรวจะได้ดูแลเรื่องห้องหับไว้ให้” แพรวดาวปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้เป็นยิ้มแย้ม ทั้งๆ ที่ในใจตอนนี้ร้อนรุ่มดุจไฟผลาญเต็มที เพราะไม่ชอบหน้าสองสาวพี่น้องนั่นเท่าไหร่นัก แม้จะเป็นญาติห่างๆ ของผู้เป็นสามีก็ตาม
“ผมไม่อยากให้คุณเหนื่อย...” คนเป็นสามีบอกอย่างยิ้มแย้ม“...เรื่องนั้นให้แม่บ้านจัดการดีกว่า”
“แล้วสองคนนั่นจะมาอยู่ที่นี่นานมั้ยคะ”
“คงจะอยู่จนกว่าเทเรซ่าจะแต่งงานกับเมสันนั่นแหละ ส่วนธัญญ่าก็จะมาช่วยดูแลผม ผมว่าดีเสียอีกคุณจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป”ไวแอตหันมาสบตากับแพรวดาวทำให้เธอต้องจำใจฉีกยิ้มกว้างๆ และแสร้งทำหน้าระรื่น
“ความจริงแพรวก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรหรอกนะคะ แต่คิดๆ ไปก็ดีเหมือนกัน เพราะธัญญ่าเป็นพยาบาลน่าจะช่วยแพรวได้เยอะเชียวค่ะ” อดีตนางแบบสาวพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเองอย่างสิ้นเชิง
ละอองฝนยืนฟังเงียบๆ เช่นเดิม เธอไม่ได้สนใจว่าใครจะไปใครจะมา แต่สิ่งที่เธอสนใจก็คือเรื่องที่ม้าในฟาร์มตกลูก และมันเป็นลูกของเจ้าเฮดีสซึ่งเป็นม้าตัวโปรดของเมสัน เธอใคร่อยากเห็นนักว่าม้าตัวน้อยที่เพิ่งจะคลอดออกมาใหม่นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน จะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย และจะสง่างามเหมือนเจ้าเฮดีสหรือเปล่า
หลังจากเก็บโต๊ะเรียบร้อย สาวน้อยก็จัดการกับอาหารเช้าของตัวเอง จากนั้นก็หยิบเอาหนังสือออกไปนั่งอ่านใต้ต้นแอปเปิลข้างๆ คฤหาสน์ที่กำลังออกลูกแดงสะพรั่งเต็มต้น หนังสือที่ละอองฝนอ่านเป็นวรรณกรรมภาษาอังกฤษซึ่งเป็นหนังสือประเภทที่เธอโปรดปรานมากที่สุดมาตั้งแต่เด็ก ผลจากการอ่านอยู่บ่อยๆ ทำให้เธอเป็นคนที่มีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษดีเยี่ยม ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเธอก็เลือกเรียนในสาขาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ และก็อดเสียใจไม่ได้ที่ต้องลาออกทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มเรียนได้แค่เทอมเดียว สาวน้อยหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะมีโอกาสได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งที่นี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพราะตอนนี้ชีวิตของเธอขึ้นอยู่กับผู้เป็นมารดาเพียงคนเดียวเท่านั้น
สายลมเย็นๆ ซึ่งพัดโชยมาท่ามกลางบรรยากาศที่รายล้อมด้วยเนินหญ้าและต้นไม้สีเขียวขจีอันแสนสงบทำให้ละอองฝนเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือจนเหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกจินตนาการของตนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีรถแล่นเข้ามาจอดยังหน้าคฤหาสน์ ซึ่งคนที่ก้าวลงจากรถเป็นคนแรกก็คือเอเดรียนคนสนิทของเมสัน และอีกสองคนเป็นสองสาวชาวอเมริกัน รูปร่างหน้าตาดีทั้งคู่ซึ่งสาวน้อยคาดว่าคงจะเป็นเทเรซ่ากับธัญญ่าที่ไวแอตกับเมสันพูดถึงเมื่อเช้านี้ เธอไม่เคยเห็นทั้งสองคนมาก่อน แต่คนเป็นแม่น่าจะเคยเห็นเพราะไปงานเลี้ยงข้างนอกกับไวแอตบ่อยๆ คงมีโอกาสเจอกันบ้าง
เอเดรียนมองมายังละอองฝน หลังจากที่เขาหิ้วกระเป๋าเข้าไปส่งเทเรซ่ากับธัญญ่าในคฤหาสน์แล้ว ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดก็เดินตรงมาหาทันที
“พี่เอเดรียน...”