บทที่ 1-3 เขาชื่อติณณ์
“ไม่ดื่มเหรอ” ผอ.ติณณ์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหนึ่งฤทัยดื่มแต่น้ำอัดลม
“เดี๋ยวหนึ่งต้องขับรถค่ะผอ. ถ้าผอ.จะดื่ม อย่างน้อยหนึ่งก็จะได้ขับไปส่งผอ.ให้ได้ค่ะ”
“นั่นสินะ” มือแกร่งวางแก้วเบียร์ลงหลังจากจิบไปสองสามอึก ก่อนจะสั่งน้ำอัดลมแบบเดียวกับหนึ่งฤทัยบ้าง “คุณเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นแบบนี้ตลอดเลยหรือ”
“หนึ่งไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ พ่อกับแม่หนึ่งถูกคนเมาขับรถชน... มันก็นานมาแล้ว... แต่พอคิดถึง หนึ่งเลยติดนิสัยระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ เวลามากินข้าวกัน ถ้าใครเมาจนขับรถกลับไม่ไหวหนึ่งจะได้ขับรถไปส่ง ทำไมผอ.ถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ”
“แค่สงสัยว่าทำไมถึงไม่เรียกแท็กซี่ จะลำบากขับรถไปส่งทำไม”
“มันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรนี่คะ ถ้าเมาระดับคอพับพูดจาไม่รู้เรื่องก็เดือดร้อนแท็กซี่เปล่าๆ หนึ่งเองก็รู้จักบ้านทุกคนอยู่แล้ว”
“คุณเป็นคนมีเสน่ห์นะ”
หนึ่งฤทัยกะพริบตาปริบๆ “หนึ่งเนี่ยเหรอคะ”
“ใช่แล้ว ไม่เคยมีใครชมคุณเลยหรือ”
“ไม่มีค่ะ” หนึ่งฤทัยรู้สึกเหมือนเป็นนักเรียนที่กำลังได้รับคำชมจากคุณครูเลย
“ส่วนใหญ่จะบอกว่าหนึ่งหน้าเด็ก เพิ่งจะมีผอ.ที่ชมหนึ่งแบบนี้ค่ะ...” พูดเองก็เขินเอง หนึ่งฤทัยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฟังคำชมจากผอ.แล้วดีใจกว่าฟังจากคนอื่น
“คือเพราะหนึ่งรับหน้าที่ขับรถส่งคนเมากลับบ้าน พวกเพื่อนเลยเรียกหนึ่งว่ากู้ภัยแม่โขง”
หนึ่งฤทัยยิ้มเขินๆ การถูกคนหน้าตาดีมากๆ ชมว่ามีเสน่ห์ หนึ่งฤทัยก็ไม่เเน่ใจว่าชมจากใจจริงหรือแค่หยอกเรื่องที่เธอหน้าตาอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็นหัวหน้าฝ่าย การที่เธอหน้าตาเกลี้ยงเกลา มองเผินๆ แล้วดูเหมือนเด็กก็ทำให้เป็นอุปสรรคอยู่เหมือนกัน บางทีพวกหัวหน้าฝ่ายด้วยกันก็บอกว่าเธอยังไร้บารมีผู้นำ เฮ้อ...
“คุณพักอยู่แถวไหน”
“คอนโดแถวที่ทำงานค่ะ แล้วผอ.พักแถวไหนคะ เผื่อหนึ่งไปส่ง”
ผอ.ติณณ์หัวเราะ “ถ้าผมเมา คุณก็พาผมกลับไปนอนที่คอนโดคุณก็แล้วกัน”
“หา?”
ผอ.คงจะพูดหยอกนั่นแหละ คนผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามีหน้าตาและบุคลิกโดดเด่นกว่าคนทั่วไป แค่อยู่นิ่งๆ ก็สง่าชวนมอง หนึ่งฤทัยกลับขมวดคิ้ว
ผอ.เพียงแค่ยิ้ม ไม่ตอบคำ จากนั้นก็ละบทสนทนาไปเสียดื้อๆ
หนึ่งฤทัยนั่งอยู่ใกล้ที่สุดย่อมสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ทุกอย่าง องศาการขยับมือ ข้อนิ้วแข็งแรง ฝ่ามือที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูน่าสนใจไปเสียหมด ท่ามกลางเสียงคลื่นแม่น้ำผสานกับดนตรีที่เปิดคลอในร้านอาหารแล้ว หนึ่งฤทัยเอาแต่ตั้งใจเงี่ยหูฟังทุกคำที่ผอ.พูด
ลึกลงไปแล้วหนึ่งฤทัยรู้สึกดีกับผอ. แต่จะมากสักแค่ไหนก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ เธอถูกทำร้ายจิตใจบ่อยเกินกว่าจะเปิดใจให้ใครง่ายๆ เวลารู้สึกดีกับใคร ระบบเตือนภัยจะทำงาน แจ้งให้ระวังนะ อย่านะ คนอย่างเธอเคยถูกล่วงละเมิด ถึงเธอจะเป็นเหยื่อก็เถอะ แต่ใครรู้ก็ล้วนถอยห่างและตราหน้าเธอ
ครั้งสุดท้ายที่เธอเคยมีแฟนก็ตอนมัธยมปลาย หนึ่งฤทัยบอกความลับของตัวเองให้แก่คนที่เธอคิดว่าจริงใจที่สุด แต่เช้าวันต่อมา เรื่องที่เธอบอกก็แพร่กระจายไปทั้งโรงเรียน
ทุกคนมองเธอเป็นตัวตลก ยัยโง่ ขี้อ่อย ไม่ก็ตัวน่าสงสาร แฟนคนแรกของเธอทำร้ายเธออย่างสาหัสเพียงเพราะอยากเอาเรื่องน่าอายนี้ไปอวดเพื่อน
“ค่าใช้จ่ายทุกอย่างลงบัญชีผมไว้ได้เลยนะ”
“แต่นี่เป็นงานเลี้ยงต้อนรับผอ.นะคะ”
“ไม่เป็นไร ผมเลี้ยงเอง”
หลังจากจบมื้อ ตามมารยาทแล้วต้องส่งผู้มีตำแหน่งสูงสุดขึ้นรถก่อน ร่างสูงใหญ่ทักทายและลาทุกคนที่มายืนส่ง หนึ่งฤทัยเองก็ยืนสำรวมอยู่ในกลุ่ม พวกลูกน้องที่หนึ่งฤทัยดูแลหลบอยู่ข้างหลัง ไม่กล้าออกมาเจอผอ. ดังนั้นจึงเกาะเสื้อหนึ่งฤทัยกันเป็นพรวน
“เหมือนแม่ไก่เลยนะ”
“คะ?”
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้ เราจะเริ่มงานกันทันที”
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์ เดินทางปลอดภัยนะคะ” หนึ่งฤทัยยกมือไหว้และยืนส่งจากรถคันหรูแล่นไปจนพ้นสายตา ทุกคนที่มากินข้าวฟรีต่างก็เป่าปากดังฟู่
“เป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย”
“พี่หนึ่งนั่นแหละ ไม่เกร็งบ้างเลยเหรอ ผอ.คนใหม่ดุโฮก ดีนะที่ได้พี่หนึ่ง ไม่งั้นอึดอัดตายคาโต๊ะกันหมด”
“ดุเหรอ?” หนึ่งฤทัยนึกคัดค้านในใจ ก็ดูอย่างผ้าพันคอนี่สิ ผอ.เป็นคนช่วยผูกให้เลยนะ หนึ่งฤทัยจะคลายผ้าพันคอออกแต่ก็นึกเปลี่ยนใจ ปล่อยมันไว้อย่างนั้นก่อน เมื่อพวกผู้ใหญ่กลับกันไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่เด็กๆ ที่ดื่มกินกันต่อ หนึ่งฤทัยเห็นว่าดึกมากแล้วจึงขอตัวกลับ
เมื่อขับรถเลี้ยวออกจากร้านไปไม่ถึงสองร้อยเมตร เธอก็พบรถจากัวร์คันหรูของผอ.จอดชิดขอบถนน เปิดไฟฉุกเฉินรออยู่
“เกิดอะไรขึ้นคะผอ.”