บทที่ 1-2 เขาชื่อติณณ์
“ต้องทบมาข้างบนแบบนี้ก่อน” ผอ.ขยับมายืนประจันหน้าในระยะประชิด ลมหายใจอุ่นจัดเป่ารดบนแก้มของหนึ่งฤทัย กลิ่นหอมประหลาดๆ ที่กรุ่นจากผิวกายของผอ. ทำให้หนึ่งฤทัยอดรู้สึกร้อนวูบวาบไม่ได้ หนำซ้ำร่างกายอันแสนใหญ่โตกำยำนั้นข่มขวัญอย่างยิ่ง
“ปกติแฟนผูกให้สินะ”
“เปล่าค่ะ คือหนึ่งต้องเปิดคลิปแล้วค่อยๆ ทำตาม เลยจะผูกเตรียมไว้ตอนกลางคืนคะ พอตอนเช้าหนึ่งแค่เอามาคล้องคอ”
“ทำงานสองปีแล้ว ยังไม่คล่องอีกรึ”
“แหะๆ คนเราก็ต้องมีเรื่องที่ถนัดและไม่ถนัดนี่คะ” หนึ่งฤทัยยืดคอสุดฤทธิ์และเชิดคางขึ้น ตอนที่หลังมือของผอ.ปัดมาโดนผิวตรงลำคอ หนึ่งฤทัยก็ต้องสูดลมหายใจฮึบไว้
“ถ้าทำไม่ได้ก็มาให้ผมผูกให้”
“ไม่กล้าๆ” เธอรีบโบกมือ ใครจะไปกล้าใช้เจ้านายผูกผ้าพันคอให้คะท่าน
“ถ้าผอ.ชงเรื่องให้ยกเลิกการผูกผ้าพันคอมาทำงานได้ หนึ่งจะกราบขอบคุณอย่างสูง อย่างน้อยเวลาอยู่ออฟฟิศก็ไม่ต้องผูกก็ยังดีค่ะ”
“มันคือกรอบธรรมเนียมที่สังคมธุรกิจหัวเก่ายังเข้มงวดอยู่ เวลาออกมานอกสถานที่หรือติดต่องานก็ยังต้องรักษาภาพลักษณ์มืออาชีพให้ดี แต่โลกก็หมุนไปทุกวัน ธุรกิจสื่อของเราพยายามดิ้นรนทำอะไรนอกกรอบและหาความแตกต่าง เวลานั่งโต๊ะทำงานจะมัวจุกจิกกับเรื่องผูกเนกไทกับผ้าพันคอก็กระไรอยู่ ผมจะลองพิจารณาดูก็แล้วกัน... เอาล่ะ เรียบร้อย”
“ขอบคุณค่ะ” หนึ่งฤทัยยิ้มแฉ่ง ผอ.คนนี้หัวก้าวหน้า เจ๋งเป้งไปเลย
“ที่คุณบอกว่าชอบผม จริงเหรอ”
“คะ? อ๋อ ใช่ค่ะ!!” หนึ่งฤทัยตอบเสียงดังฟังชัด ตาเป็นประกายเหมือนลูกหมา “หนึ่งชอบผอ.มากเลยค่ะ! หนึ่งยกให้เป็นไอดอลเลย”
“ขอบใจ” เขายิ้มมุมปาก ตบไหล่หนึ่งฤทัยเบาๆ แล้วเดินออกไป หนึ่งฤทัยใจพองฟู เดินตัวตรงหลังตั้งฉาก ก้าวฉับๆ ตามหลังไป แต่ไม่ทันระวัง เดินชนหน้าทิ่มเข้าใส่แผ่นหลังองอาจเข้าจังๆ
“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ”
ชนแค่นี้ หนึ่งฤทัยตั้งหลักได้ทันอยู่แล้ว แต่ที่น่าตกใจคือร่างสูงใหญ่หันมาคว้าเธอไว้ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่น่าทึ่งสุดๆ
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
แววตาของเขาเป็นประกายฉาย แต่แฝงด้วยความตึงเครียด ไม่มั่นคง หนึ่งฤทัยอ้าปากพะงาบ รู้สึกได้ชัดเจนว่าฝ่ามือร้อนๆ กำลังลูบไหล่แล้วลากลงมาที่เอว ฟอนเฟ้นเนิบช้า ความร้อนระอุที่มีระหว่างกันรุนแรงจนน่าตกใจ แต่ทุกอย่างก็จบลงอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่ใครจะสังเกตด้วยซ้ำ
โหย นึกว่าหัวใจจะวายซะแล้ว
หนึ่งฤทัยแอบหลบมุมไปปรับสมองครู่หนึ่ง แต่พอกลับไปที่โต๊ะ ทุกคนก็ดูเหมือนจะจงใจเว้นที่นั่งถัดจากผอ.จอมโหดเอาไว้ หนึ่งฤทัยไม่มีที่นั่งให้เลือกแล้วจึงต้องไปนั่ง ทุกคนตั้งหน้าตั้งตากิน หนึ่งฤทัยก็เช่นกัน เธอตักอาหารให้รุ่นน้องที่นั่งอยู่ไกล แล้วก็คอยดูว่าใครต้องการอะไรเพิ่มเติม แต่ก็คิดว่าต้องชวนผอ.คุยบ้าง ไม่งั้นมันจะเงียบจนอึดอัดทั้งโต๊ะ
“ไม่สนใจถามเรื่องส่วนตัวของผมหรือ”
“หนึ่งคิดว่าไม่ควรถามค่ะ ถ้าผอ.อยากบอก เดี๋ยวหนึ่งก็ได้รู้เอง”
หนึ่งฤทัยตอบโดยไม่คิดอะไร “ในหนังสือพัฒนาทักษะที่หนึ่งอ่าน แนะนำว่าถ้าต้องการกระตุ้นให้ใครพูด ก็ให้หาเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจขึ้นมาเปิดประเด็น แค่นี้การสนทนาก็จะไหลลื่นแล้ว แต่หนึ่งยังไม่แน่ใจว่าผอ.กำลังสนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษ”
“ผมสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อยู่เหมือนกัน ลองถามมาสิ”
หนึ่งฤทัยคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ผอ.มีแฟนแล้วยังคะ”
“ยัง”
น้ำเสียงและแววตาของร่างสูงใหญ่ออกจะสบายๆ และมีรอยยิ้มประดับหน้าอยู่เสมอ ประหนึ่งจะบอกว่าถามมาอีกสิ แต่หนึ่งฤทัยเกรงว่าจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเกินไป เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง
“ตอนที่ขับรถมาที่ร้าน หนึ่งมีไอเดียสดๆ อยากเสนอ เกี่ยวกับโปรเจคเครื่องสำอางตัวใหม่ที่เราจะตีตลาดญี่ปุ่นค่ะ”
“ว่ามาสิ”
“เรากำหนดให้ดาราไทยที่กำลังมีผลงานในประเทศญี่ปุ่นเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งหนึ่งก็คิดว่าดี แต่คู่แข่งเราทำก่อนแล้ว หนึ่งก็เลยคิดว่าเราต้องหาวิธีนำเสนอแป้งทาหน้าตัวนี้เจาะกลุ่มวัยรุ่นให้แตกต่างบ้าง”
“ทำอย่างไรล่ะ”
“หนึ่งเสนอให้เพิ่มรีวิวจากเด็กสาวๆ หน้าตาน่ารักๆ ทั้งจากไทย เกาหลีและญี่ปุ่นเข้าไป ถ่ายทำเป็นคลิปเเปลงโฉมในย่านกลางเมือง ไม่ก็ละแวกสถานที่ทำงานที่มีสาวออฟฟิศอยู่เยอะ มันน่าจะกลายเป็นไวรัลได้ไม่ยาก”
“คุณลองทำแผนเสนอมาดูอีกทีก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะ”
“พับเรื่องงานไปก่อน ตอนนี้เลิกงานแล้ว ผ่อนคลายหน่อย”
“ค่ะ”
พอเธอหยุดพูด ทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ ถึงจะพูดคุยจากในห้องประชุมแล้ว หนึ่งฤทัยก็ยังประหม่าอยู่บ้าง ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำเพราะมัวแต่เกร็ง แต่ทุกคนในโต๊ะต่างคิดตรงกันว่าผอ.กำลังรอตอบคำถามของหนึ่งฤทัยอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว
“...”
จะถามอะไรต่อดีหว่า... หนึ่งฤทัยคิดๆ และเผลอสบตา จะบอกว่าสายตาของผอ.เย็นชาก็ว่าเย็นชา แต่เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนแรงลุกโชนอยู่จางๆ ถ้าเธอตั้งใจจีบผอ. ป่านนี้คงจะหูอื้อตาลายไปแล้ว จังหวะที่หนึ่งฤทัยกำลังเอ๋อ เพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ก็รวบรวมความกล้ายิงคำถาม
“ผอ.ไปประจำอยู่ที่ยุโรปตั้งหลายปี ผอ.ชอบประเทศไหนที่สุดคะ”
“ถ้าให้เลือกก็อิตาลี อาหารอร่อยดี”
โอ้... เขาชอบอาหารอิตาเลียน หนึ่งฤทัยเมมโมรีข้อมูลไว้ในสมอง แต่นึกไม่ถึงว่าผอ.ติณณ์จะหันหน้ามาทางเธอแบบกะทันหัน
“คุณล่ะ ชอบอาหารอิตาเลียนมั้ย”
“ค่ะๆ หนึ่งเองก็ชอบค่ะ”
“ชอบอะไรบ้างล่ะ”
“เอ่อ... อันไหนอร่อยก็ชอบหมดนั่นแหละค่ะ” หนึ่งฤทัยรู้ตัวว่าตอนนี้เธอกำลังพูดประจบผอ.สุดๆ แถมยิ้มก็ฝืดๆ ผอ.ดูออกแล้วแหงเลย เกรงว่าถ้าตอบแบบขอไปทีคงจะไม่ได้ หนึ่งฤทัยจึงปรับน้ำเสียงใหม่ พูดกับอีกฝ่ายอย่างจริงใจดีกว่า
“อันที่จริงหนึ่งเองก็รู้จักอาหารอิตาเลียนไม่กี่อย่างหรอกค่ะ ทุกวันนี้รู้จักแค่มักกะโรนีกับสปาเก็ตตี้ ฮ่าๆ”
“เอาไว้ผมจะลองทำให้ชิม”
“จริงเหรอคะ” หนึ่งฤทัยตาเป็นประกาย “ผอ.ทำกับข้าวเป็นด้วย?!”
อันนี้เธอทึ่งจริง ไม่ได้ประจบ
“แล้วทำไมถึงคิดว่าผมทำไม่เป็นล่ะ”
“ก็ผอ.เหมาะกับอาหารมื้อหรูๆ นั่งโต๊ะดินเนอร์ริมหน้าต่างบนตึกสูงระฟ้า จิบแชมเปญแล้วก็หั่นสเต็กเนื้อลูกวัว มีบริกรเดินมาค้อมศีรษะแล้วถามว่าท่านจะรับอะไรเป็นของหวานดีครับ ผอ.ก็ตอบเขาไปว่าเช็คบิล จากนั้นก็หยิบบัตรเครดิตแบล็กการ์ดออกมารูดปรื้ด พร้อมเซ็นจ่ายทิปก้อนโต”
“ฮ่าๆ” คราวนี้ผอ.เป็นฝ่ายหลุดหัวเราะ คนทั้งโต๊ะถึงกับหันมามอง
“อยู่ที่โน่นซื้อกินทุกมื้อก็เบื่อเเย่ ผมก็แค่นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวยืนอยู่หน้าเตา หยิบโน่นผสมนี่ ทำออกมากินได้ก็โอเคแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังอะไรมากนัก”
ใบหน้าของเขาดูน่าเกรงขามน้อยลง แถมยังหัวเราะเบาๆ หนึ่งฤทัยจึงรู้สึกว่าผอ.เองก็เป็นคนทั่วไปที่สามารถจับต้องได้ เพราะเธอเองก็ใส่กางเกงเจเจเวลาอยู่บ้านเหมือนกัน