ตอนที่ 5 ออกเดินทาง
ตอนที่ 5 ออกเดินทาง
เมื่อองค์ชายอีริคหันหลังไปแล้ว
“ท่านพ่อจะมาวันนี้ทำไมไม่บอกก่อนคะ” อันดาต่อว่าท่านพ่อของเธอทันที แล้วก้มมองสภาพของตัวเอง ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามคนหัวเราะชอบใจ
“กลัวลูกหนีไง...ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ป่ะ อย่าให้องค์ชายรอนาน” กลัวหนี! เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย ช่างรอบคอบเสียจริง
“รอนิดรอหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งคะ” อันดาไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะสูงส่งมาจากไหน คนเหมือนกัน ดูจากหน้าตาแล้วอายุก็คงมากกว่าเธอแค่ไม่กี่ปี
“เราต้องให้เกียรติเขาในฐานะที่เขาเป็นองค์ชายนะลูก” คุณแม่ช่วยพูดอีกแรง อันดามีสีหน้าเบาลง เธอทำท่าเข้าใจแต่ในใจยังคงต่อต้านอยู่มาก
“อันดาไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ผู้ใหญ่ทั้งสามคนพยักหน้าให้ อันดาจึงเดินขึ้นชั้นบนไปอาบน้ำ โดยมีคุณแม่เดินตามขึ้นไปช่วยลูกสาวแต่งตัวด้วย ส่วนเคนน้องชายวันนี้ไปโรงเรียนไม่ได้อยู่บ้าน และคงมาไม่ทันส่งพี่สาว
ส่วนบทสนทนาในวันนี้ทุกคำล้วนแล้วแต่ใช่ภาษารัสเนเปย์และภาษาอังกฤษในการสื่อสาร...
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป อันดาเดินออกมาที่หน้าบ้านด้วยชุดใหม่ลุคใหม่
เธอสวมกระโปรงสั้นสีกรมอวดขาเรียวขาว ตัวกระโปรงถูกประดับด้วยกระดุมสีขาวเม็ดใหญ่ที่ด้านหน้าของกระโปรง เสื้อสีขาวคอปกแขนยาวกระดุมด้านหน้า ถูกตกแต่งด้วยผ้าสีเดียวกันกับกระโปรง มองดูแล้วน่ารักสมวัย ผิดจากตอนแรกที่เธอวิ่งเข้ามาในบ้าน
ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อดูเป็นธรรมชาติ ผมถูกหวีแล้วมัดเอาไว้ครึ่งศีรษะอีกครึ่งปล่อยยาวลงมา ดูน่ารักจนองค์ชายที่นั่งอยู่ในรถแอบมองมาที่เธอรู้สึกผิดหูผิดตา
“อันดา...รักษาสร้อยเส้นนี้เอาไว้ให้ดีนะลูก” คิมหันต์สวมสร้อยคืนให้ลูกสาว สร้อยที่เป็นมากกว่าเครื่องประดับ พร้อมทั้งสมุดบัญชีที่เป็นของอันดามูลค่าเท่าไหร่นั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะมันเยอะมากๆ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เพชรตะวันเอามาฝากคิมหันต์ไว้เพื่อมอบให้กับอันดา ไม่เคยถูกนำไปใช้เลยแม้แต่บาทเดียว บัดนี้คิมหันต์ได้ทำหน้าที่พ่ออย่างสมบูรณ์แล้ว ขอคืนทุกอย่างให้กับอันดา...
“ฝากลาเคนด้วยนะคะ” อันดากอดคุณพ่อทีนึง คุณแม่ทีนึงเพื่อร่ำลากัน จากนั้นเธอจึงเดินไปที่รถคันที่เธอจะต้องเข้าไปนั่ง นั่นก็คือคันเดียวกันกับที่องค์ชายนั่งอยู่นั่นเอง เธอหันหลังกลับไปโบกมือให้ผู้มีพระคุณของเธออีกครั้งก่อนที่จะเข้าไปนั่งในรถ
โดยมีทหารองครักษ์ประจำกายขององค์ชายอีริค ที่มีนามว่าสิบทิศเปิดประตูรถให้กับอันดาขึ้นไปนั่ง จากนั้นประตูรถก็ถูกปิดลง กระจกรถเลื่อนลงอีกครั้ง อันดามองไปที่คุณพ่อและคุณแม่ด้วยสายตาเว้าวอน และเมื่อรถได้แล่นออกไปจนลับตาแล้ว กระจกรถก็ได้ขยับขึ้นปิดอีกครั้งจากคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง โดยไม่มีการพูดอะไรออกมา องค์ชายอีริคทรงนั่งเฉยๆ ด้วยท่าทางสง่างามเหมือนอย่างเคย
สำหรับอันดาแล้วองค์ชายอีริคก็คือคนแปลกหน้าสำหรับเธอ เธอไม่ได้กลัวแต่แค่ไม่รู้จะพูดอะไรด้วย เธอจึงนั่งเฉยๆไปตลอดทาง แต่ด้วยความเงียบที่ได้ยินแค่เสียงเครื่องยนต์กับเสียงแอร์ จึงทำให้อันดารู้สึกอึดอัด เธอจึงพูดขึ้นว่า...
“องค์ชายเพคะ”
“...........” ใบหน้าหล่อเหลาแต่กับเรียบเฉยเบนมามองใบหน้าสวยหวานนิ่งๆ เป็นการรับรู้ว่าเธอเรียก
“องค์ชายคิดยังไงกับผู้หญิงที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วต้องมาทำความรู้จักกันเพราะเป็นคู่หมั้นกันเหรอเพคะ” อันดากล้าที่จะถามความรู้สึกของอีกฝ่ายตรงๆ เพราะเธอเองโคตรจะรู้สึกอึดอัดเลย
“เธอรู้สึกยังไง เราก็รู้สึกไม่ได้ต่างกัน” อันดาหยุดคิดแล้วถามต่อว่า…
“องค์ชายไม่ได้ถูกบังคับให้มารับหม่อมฉันใช่มั้ยเพคะ”
“คงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ ผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอจะคู่ควรกับองค์ชายอย่างเราได้ยังไง” จากสิ่งที่เห็น สำหรับอีริคแล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรกับเขาเลยสักนิด
“แล้วคิดเหรอว่าอยากจะคู่ควร แหวะ!” ประโยคนี้เธอพูดเป็นภาษาไทยแล้วเธอก็คิดเอาเองว่าเขาคงฟังไม่ออกเพราะตอนที่อยู่ที่บ้านของเธอเขาไม่ได้พูดภาษาไทยเลยสักประโยคเดียว
ส่วนเธอพูดจบประโยคก็หันหน้าออกไปมองนอกกระจกรถริมที่เธอนั่งอยู่ จึงไม่เห็นสีหน้าของเขากับประโยคของเธอเมื่อสักครู่ ส่วนองค์ชายเองเขาขี้เกียจพูดจึงนั่งเฉยๆไป
เวลาที่นั่งอยู่บนรถยนต์สุดหรูผ่านไปไม่นานมาก แอร์เย็นๆก็ทำให้อันดาเผลอหลับไป
คอที่เคยตั้งตรงตอนนี้มันตกมาโดนหัวไหล่ขององค์ชายเข้าอย่างไม่รู้ตัว ทำให้อีริคถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เพราะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าแสดงกิริยาแบบนี้ใส่เขามาก่อน ถึงเธอคนนี้จะทำเพราะไม่รู้ตัวก็ตามแต่เขาก็ไม่ชอบ
องค์ชายอีริคพยายามผลักศีรษะของอันดาให้เอนไปอีกทางโดยไม่ยอมให้เธอใช้หัวไหล่ของเขาพิง พลาดพลั้งไปน้ำลายอาจจะมาติดเสื้อของเขาเอาได้
แต่ศีรษะของหญิงสาวยังไม่ทันที่จะเอนไปอีกทาง มันก็กลับมาทางเดิมอีกครั้งคล้ายกับรู้ว่าริมที่เอนมามีที่พักพิงศีรษะอย่างดีเยี่ยม
เมื่อครั้งแรกผ่านไป เธอก็เอนกลับมาใหม่อีก ครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็แล้ว ทำให้องค์ชายอีริคถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างต้องการข่มอารมณ์ไม่ให้รู้สึกโกรธ
“นี่เธอ...” เขาเรียกเธอเสียงเบา พร้อมกับจับศีรษะของเธอด้วยมือของเขาทั้งสองข้างประคองเอาไว้ แล้วผลักให้เธอตะแคงคอไปอีกทางแทน และดูเหมือนว่าครั้งนี้มันจะได้ผล ซึ่งองค์ชายเองก็ไม่เคยใช้มือของเขาแตะต้องใบหน้าของผู้หญิงคนไหนมาก่อน มือที่แตะไปโดนแก้มเนียนๆของเธอทั้งสองข้างแทบทำให้เขาต้องรีบชักมือกลับอย่างไว
เมื่อเวลาผ่านไปได้อีกสักพัก รถนำขบวนเสด็จแล่นมาถึงสนามบินโดยใช้เวลาเพียงไม่นานมากนัก แต่ก็ทำให้ผู้หญิงที่ขี้เซาอย่างอันดาหลับได้เต็มอิ่มพอดี
“ปลุกเธอให้ด้วย” องค์ชายหันไปสั่งคนสนิท ในขณะที่เขาลงมายืนอยู่ด้านนอกรถแล้ว และเตรียมตัวที่จะเดินขึ้นเครื่องบินส่วนตัว
“คุณอันดาครับ ถึงสนามบินแล้วครับ” ประตูรถเปิดออกพร้อมกับเสียงเรียกของสิบทิศ แต่อันดาก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่น สิบทิศจึงลองเรียกเธอใหม่อีกครั้ง
“คุณอันดาครับ ถึงสนามบินแล้วครับ” สิบทิศไม่กล้าแตะต้องตัวของหญิงสาวที่จะได้มาเป็นพระชายาขององค์ชาย เขาจึงไม่กล้าที่จะสะกิดเธอ เป็นจังหวะที่เพชรตะวันท่านพ่อของเธอเดินมาดูพอดี เพราะสงสัยว่าทำไมอันดาถึงยังไม่ยอมลงจากรถสักที ส่วนองค์ชายอีริคเดินขึ้นไปรอบนเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น”
“คุณอันดาไม่ยอมตื่นครับท่านจอมพล”
“มาเดี๋ยวผมปลุกเธอเอง”
“อันดาตื่นลูก” ท่านจอมพลเพชรตะวัน ใช้มือเขย่าหัวไหล่ของลูกสาวเบาๆ ทำให้อันดารู้สึกตัวค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา
“ท่านพ่อ...” ตั้งแต่เล็กจนโตอันดาเป็นคนนอนได้ขี้เซามากไม่เคยเปลี่ยน
“เขาขึ้นเครื่องกันหมดแล้วลูก”
“อ้าวเหรอ...แล้วทำไมไม่มีใครปลุกอันดาเลยล่ะ” สิบทิศที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ยังไม่ได้ไปไหนได้ยินประโยคสนทนาก็ได้แต่ทำหน้านิ่งๆ แต่ในใจกลับไม่นิ่ง
“ทำไมจะไม่ปลุกแต่ลูกขี้เซาต่างหาก” เพชรตะวันบ่นลูกสาว อันดาลงมาจากรถแล้วเดินขึ้นเครื่องบินไปพร้อมกับท่านพ่อของเธอ
“กระหม่อมต้องขอประทานโทษแทนลูกสาวของกระหม่อมด้วยนะพระเจ้าค่ะที่เสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์” ท่านจอมพลก้มศีรษะให้องค์ชายอีริคเพื่อเป็นการขอโทษแทนลูกสาว
“ช่างเถอะเราไม่ถือสาเธอหรอก”
“............” เพชรตะวันเดินออกไปนั่งประจำที่ของตัวเอง แล้วทิ้งอันดาไว้เพราะที่นั่งของเธอก็คงจะหนีไม่พ้นข้างๆองค์ชายอีกตามเคย
“นั่งสิ จะยืมค้ำหัวเราหรือไง”
“ที่นั่งก็เหลือตั้งเยอะ ทำไมต้องให้นั่งตรงนี้ด้วยนะ” เธอบ่นมุบมิบเสียงเบาเป็นภาษาไทย แต่ก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี พร้อมกับหยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ตัวเองเสร็จ