เจ้าชายของอันดา

116.0K · จบแล้ว
มะนาว​สีชมพู​
52
บท
5.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เรื่อง...เจ้าชายของอันดา เรื่องนี้เป็นภาคต่อจากเรื่อง...สะดุดรักเมียตัวปลอม {หน้าที่อาจสำคัญแต่สิ่งเดียวที่เขาอยากปกป้องก็คือเธอ} โปรย…เมื่อเขาคิดว่าเธอไม่คู่ควร ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้อยากจะคู่ควร การเอาชนะจึงเกิดขึ้นแต่ก็ต้องจบลงด้วยวัฒนธรรมของประเทศที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน แนะนำตัวละคร - เจ้าชายอีริค อายุ 25 ปี – “คิดในใจบ้างไม่เป็นหรือไง” “ไร้สาระสิ้นดี” - อันดา อายุ 21 ปี – “ทำไมถึงไม่รู้มาก่อนนะว่าเขาฟังภาษาไทยออกทุกคำ...แล้วอย่างนี้เขาก็รู้หมดน่ะสิ โอ๊ยพูดอะไรออกไปบ้างวะเนี่ย” (คู่ที่2) โปรย…เมื่อคนรักตัวจริงเสียชีวิตกะทันหัน คนน้องจึงถูกส่งมาแทนคนพี่ ซึ่งเธอทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกันภายนอกดูไม่แตกต่าง แต่คนที่เขาต้องการกลับไม่ใช่เธอ แนะนำตัวละคร - เจ้าชายอีวาน อายุ 29 ปี – เขา...เปรียบเสมือนเพชร เลอค่า แข็งแกร่ง ภายนอกดูสวยงามแต่ภายในกลับซ่อนความโหดร้ายเอาไว้ - ท่านหญิงเรืองลดา อายุ 23 ปี – เธอ...สวย อ่อนหวาน เรียบร้อย ล้ำค่า คู่ควร แต่เธอกลับไม่ใช่คนที่เขาต้องการ **นิยายเรื่องนี้ ไรท์ขอไม่ใช้คำราชาศัพท์ที่ยากเกินไปนะคะ เพื่อง่ายต่อการเขียนและเข้าใจง่าย จึงขออนุญาตใช้แค่คำง่ายๆเท่านั้นค่ะ **ถ้าหากไรท์ใช้คำราชาศัพท์ผิดหรือแม้กระทั่งสรรพนามที่ใช้เรียกกันและยศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆถ้าผิดก็ขออภัยด้วยนะคะ

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันพลิกชีวิตแต่งงานสายฟ้าแลบองค์หญิงนางเอกเก่งสัญญาทางรักโรแมนติกแต่งงานก่อนรัก

ตอนที่ 1 สัญญาหมั้น

เรื่อง...เจ้าชายของอันดา

เรื่องนี้เป็นภาคต่อจากเรื่อง...สะดุดรักเมียตัวปลอม

{หน้าที่อาจสำคัญแต่สิ่งเดียวที่เขาอยากปกป้องก็คือเธอ}

โปรย…เมื่อเขาคิดว่าเธอไม่คู่ควร ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้อยากจะคู่ควร การเอาชนะจึงเกิดขึ้นแต่ก็ต้องจบลงด้วยวัฒนธรรมของประเทศที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน

แนะนำตัวละคร

- เจ้าชายอีริค อายุ 25 ปี –

“คิดในใจบ้างไม่เป็นหรือไง” “ไร้สาระสิ้นดี”

- อันดา อายุ 21 ปี –

“ทำไมถึงไม่รู้มาก่อนนะว่าเขาฟังภาษาไทยออกทุกคำ...แล้วอย่างนี้เขาก็รู้หมดน่ะสิ โอ๊ยพูดอะไรออกไปบ้างวะเนี่ย”

(คู่ที่2)

โปรย…เมื่อคนรักตัวจริงเสียชีวิตกะทันหัน คนน้องจึงถูกส่งมาแทนคนพี่ ซึ่งเธอทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกันภายนอกดูไม่แตกต่าง แต่คนที่เขาต้องการกลับไม่ใช่เธอ

แนะนำตัวละคร

- เจ้าชายอีวาน อายุ 29 ปี –

เขา...เปรียบเสมือนเพชร เลอค่า แข็งแกร่ง ภายนอกดูสวยงามแต่ภายในกลับซ่อนความโหดร้ายเอาไว้

- ท่านหญิงเรืองลดา อายุ 23 ปี –

เธอ...สวย อ่อนหวาน เรียบร้อย ล้ำค่า คู่ควร แต่เธอกลับไม่ใช่คนที่เขาต้องการ

**นิยายเรื่องนี้ ไรท์ขอไม่ใช้คำราชาศัพท์ที่ยากเกินไปนะคะ เพื่อง่ายต่อการเขียนและเข้าใจง่าย จึงขออนุญาตใช้แค่คำง่ายๆเท่านั้นค่ะ **ถ้าหากไรท์ใช้คำราชาศัพท์ผิดหรือแม้กระทั่งสรรพนามที่ใช้เรียกกันและยศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆถ้าผิดก็ขออภัยด้วยนะคะ

-----------------

ตอนที่ 1 สัญญาหมั้น

ประเทศรัสเนเปย์ เป็นประเทศเล็กๆที่อยู่ติดกับประเทศไทยตอนบน เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านแร่ธาตุหลากหลายชนิดเช่น ทองคำ อัญมณี เพชร ล้วนแล้วแต่มีราคาทั้งสิ้น และยังมีแร่ธาตุอื่นๆอีกมากมาย ที่เป็นมูลค่ามหาศาลสามารถทำรายได้ให้กับประเทศอยู่ในขณะนี้

ประเทศแห่งนี้ในสมัยก่อนเป็นประเทศปิดไม่ค่อยมีผู้คนรู้จักมากนัก ซึ่งในปัจจุบันเป็นประเทศเปิดแล้ว เปิดให้นักลงทุนได้เข้ามาทำธุรกิจมากขึ้น มีการนำเข้าและส่งออกของแร่ธาตุแต่ละชนิด รวมถึงเครื่องประดับที่มีราคาและทรงคุณค่า

นอกจากการขยายธุรกิจของประเทศแล้ว ประเทศแห่งนี้ยังต้องการเพิ่มจำนวนประชากรอีกด้วย

ภายใต้ความคิดที่ว่าหากขาดแคลนประชากรแล้วจะต่อยอดธุรกิจในภายภาคหน้าได้อย่างไร

โดยสร้างเงื่อนไขไว้ดังนี้ ผู้ชายสามารถมีเมียได้ 2 คน ส่วนเชื้อพระวงศ์มีเมียได้ 2 คนเหมือนกัน แต่สามารถมีสนมได้อีก 4 คน

ภายใต้เงื่อนไขถ้าหากฝ่ายหญิงไม่สามารถมีบุตรธิดาให้กับผู้เป็นสามีได้เท่านั้น ฝ่ายชายมีสิทธิ์ร้องขอได้ แต่ถ้าหากฝ่ายหญิงสามารถมีบุตรธิดาให้กับฝ่ายชายได้แล้ว ฝ่ายชายก็จะหมดสิทธิ์ร้องขอในเรื่องนี้ทันที

ทางรัฐบาลของประเทศรัสเนเปย์แห่งนี้ ต้องการเพิ่มจำนวนประชากรของประเทศให้มากขึ้น โดยมีเป้าหมายว่าจะต้องมีประชากรเพิ่มขึ้นในทุกๆปี ห้ามลดลงเด็ดขาดนั่นจึงจะถือว่าประสบความสำเร็จด้านบริหารจำนวนประชากร โดยเงื่อนไขหรือข้อตกลงนี้มีมายาวนานจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ทุกคนได้ยอมรับไปแล้ว

ประเทศแห่งนี้มีเจ้าชายผู้ทรงสง่างามถึงสองพระองค์ด้วยกัน องค์โตเจ้าชายอีธานและองค์เล็กเจ้าชายอีริค ทั้งสองพระองค์นอกจากจะมีใบหน้างดงามแล้ว ยังมากไปด้วยความสามารถ

ในขณะที่องค์ชายทั้งสองพระองค์กำลังนั่งคุยกันอยู่นั้น ก็มีทหารคนสนิทขององค์ราชาเดินเข้ามาด้านในตำหนัก

“ใครมาน่ะ” องค์ชายอีธานซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาทหันไปมองผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ ก็เห็นว่าเป็นทหารองครักษ์ของบิดามารดาของเขานั่นเอง

“มีอะไร มาหาเราเอาป่านนี้” องค์ชายอีริคเอ่ยถามองครักษ์ ตำหนักแห่งนี้เป็นตำหนักขององค์ชายอีริค ซึ่งองค์ชายทั้งสองพระองค์จะมีตำหนักแยกออกไปเป็นของตัวเอง เวลานี้ถือเป็นเวลาพักผ่อน ท้องฟ้ามืดนานแล้ว อากาศของประเทศนี้ค่อนข้างหนาวเย็นไม่เหมาะแก่การออกไปเดินข้างนอกเพราะอาจจะทำให้ไม่สบายเอาได้

“องค์ชายอีริคพระเจ้าค่ะ องค์ราชาและองค์ราชินีให้กระหม่อมมาทูลเชิญให้ไปเข้าเฝ้าตอนนี้พระเจ้าค่ะ”

“ตอนนี้เลยเหรอ”

“พระเจ้าค่ะ” องค์ชายอีริคทำหน้าเข้าใจ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่ด้วยท่าทางสง่างามแล้วหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวม

“เดี๋ยวเราตามไป” อากาศของประเทศช่วงนี้ค่อนข้างหนาวเย็น ผิดกับประเทศไทยที่ร้อนระอุเกือบทุกฤดูกาล

“เสด็จพี่ไปด้วยกันมั้ยพระเจ้าค่ะ”

“ไม่ล่ะ นายไปเถอะพี่กลับไปนอนดีกว่า”

องค์ชายอีริคเดินเข้ามาที่ตำหนักใหญ่ชั้นในของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ก็เห็นว่าทั้งสองพระองค์กำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ มีธุระอะไรจะพูดกับลูกหรือพระเจ้าค่ะ”

“นั่งลงก่อนสิ พ่อมีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้าสักหน่อยอีริค”

“เรื่องอะไรหรือพระเจ้าค่ะ ถึงได้ให้คนสนิทไปตามลูกมาเวลานี้” องค์ชายทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาหนังอย่างดีภายในตำหนัก

“ถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้องมีพระชายาสักที” เมื่อองค์ราชาพูดจบประโยค องค์ชายอีริคก็ยังคงมีสีหน้านิ่งเฉย เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมา เพราะเรื่องพระชายาของเขา ที่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ได้หมั้นหมายเอาไว้ให้ตั้งแต่ที่เขายังเยาว์วัยอยู่นั้น

ซึ่งเรื่องนี้อีริคเองก็ยังคงค้านอยู่ในใจเพราะไม่ค่อยเห็นด้วยเลย เนื่องจากว่าสมัยนี้เป็นสมัยใหม่ ถ้าเขาเป็นแค่คนธรรมดา คงจะยกเลิกเรื่องหมั้นบ้าๆนี้ไปนานแล้ว แต่เพราะเขาเกิดมาเป็นลูกกษัตริย์จึงไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบกับเรื่องนี้ได้

“เสด็จพ่อหมายถึง ลูกสาวของท่านองครักษ์ของเสด็จพ่อคนนั้นใช่มั้ยพระเจ้าค่ะ”

“ใช่” องค์ราชาตอบลูกชาย และที่พวกท่านเรียกลูกชายมาคุยวันนี้ ก็เพราะรู้ว่าลูกสาวของท่านองครักษ์ซึ่งบัดนี้คือท่านจอมพลเพชรตะวัน ที่ได้หมั้นหมายกับอีริคเอาไว้ตั้งแต่เยาว์วัย ตอนนี้เธอเรียนจบแล้วคงถึงเวลาที่จะต้องทำตามสัญญาแล้ว

สำหรับองค์ชาย เขารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่อายุสิบขวบแล้ว ว่าตัวเองมีคู่หมั้นอยู่แล้ว และด้วยความที่ตัวเองเป็นลูกกษัตริย์ องค์ชายอีริคจึงไม่เคยมองใคร เพราะถึงมองไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คำพูดของกษัตริย์ถือเป็นที่สุด ซึ่งเรื่องนี้เขารู้ดี เขาจึงใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับการเล่าเรียนและทำงานมาโดยตลอด

“ลูกขอผลัดไปอีกหน่อยได้มั้ย ลูกยังไม่พร้อม” ถึงยังไม่พร้อม แต่องค์ชายก็รู้ตัวดีว่าสักวัน เขาก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ดี ไม่ชอบก็ไม่ได้แปลว่ารังเกียจ เพราะเขาทำใจไว้นานแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเห็นหน้าเธอคนนั้นเลยก็ตาม

“ไม่ได้...น้องเรียนจบแล้ว ที่พ่อกับแม่เรียกลูกมาคุยเรื่องนี้ ก็อยากให้ลูกไปรับตัวน้องมาอยู่ที่นี่ให้เร็วที่สุด”

“ถ้าปฏิเสธไม่ได้ ก็แล้วแต่เสด็จจะรับสั่งเลยพระเจ้าค่ะ เพราะยังไงลูกก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่แล้ว”

“อีริคไม่พูดแบบนั้นกับเสด็จพ่อสิลูก” องค์ราชินีทรงเอ็ดลูกชายแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก แต่ก็ทำให้องค์ชายอีริคถึงกลับต้องก้มหน้าลง แล้วองค์ราชินีก็พูดถึงเรื่องครั้งก่อนเมื่อนานมาแล้วว่า...

“ช่วงนั้นประเทศของเราเกิดกบฏแย่งชิงอำนาจ เสด็จพ่อของลูกก็ได้ท่านจอมพลคอยช่วยเหลือไว้ เขาทิ้งครอบครัวและลูกสาวที่เพิ่งเกิดไว้ให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้เลี้ยงดู แถมแม่ก็ยังมาเสียชีวิตเพราะโรคร้ายอีก” เมื่ออีริคได้ยินดังนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด แต่ก็ยอมนั่งฟังต่อเงียบๆ

“ท่านจอมพลเขาเลือกที่จะมาดูแลพวกเรา ช่วงนั้นเสด็จพ่อของลูกบอกให้เขาลาออกไปก็ได้ แต่เขาก็ไม่ทำ ยังคงยืนยันเสมอต้นเสมอปลายว่าจะสู้ไปด้วยกัน ถวายชีวิตรับใช้ชาติ แม่กับเสด็จพ่อก็เลยจับลูกกับลูกสาวของท่านจอมพลหมั้นหมายกันเอาไว้ อยากให้ลูกช่วยดูแลน้อง เพื่อตอบแทนท่านจอมพลที่เคยเสียสละเพื่อพวกเรา ได้มั้ยลูก...” องค์ราชินีพูดกับลูกชายโดยเล่าเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนให้ฟัง แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านเล่า

“ดูแลในรูปแบบอื่นไม่ได้เหรอพระเจ้าค่ะ ทำไมจะต้องแต่งงานด้วย”

“ไม่ได้ เพราะพ่อสัญญาและได้หมั้นหมายเอาไว้ให้ลูกแล้ว” องค์ราชาเริ่มมีน้ำเสียงเข้มขึ้น

องค์ชายอีริคเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่อยากจะมีโอกาสเลือกคู่ครองด้วยตัวเองเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เสด็จพี่ของเขาก็ถูกบังคับให้แต่งงานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเขาเองก็คงหมดทางปฏิเสธ

ในเมื่อเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ต้องการให้เขาแต่งงาน เขาก็จะแต่ง จะได้จบๆไป เขาจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นและคิดเรื่องอื่นบ้าง และหวังว่าเจ้าหญิงของเขาคงไม่ขี้เหร่จนเกินไป

“ก็ได้ครับ แต่ลูกขอให้เลยงานอภิเษกสมรสของเสด็จพี่ไปก่อนได้มั้ยครับ” องค์ชายอีริครับคำ เพราะไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ส่วนงานอภิเษกสมรสของอีธานซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาท กำหนดงานอภิเษกได้ใกล้เข้ามาแล้ว

“อือได้ ถ้าอย่างนั้นลูกก็ไปพักผ่อนเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว”