บทที่ ๘ ไม่คาดคิด
บทที่ ๘
ไม่คาดคิด
เมืองเจ่า ค่ายทหารทัพสกุลหวัง ภายในห้องโถงกว้าง มีโต๊ะไม้ยาวประมาณ 5 ฉื่อ3 ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง เก้าอี้ไม้สี่ตัวคลุมด้วยหนังสัตว์ ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย ประดับธงสีขาวขลิบน้ำเงินตรงกลางของธงปักวงกลมสีแดงเลือดนก แขวนอยู่บนผนังตรงกับโต๊ะประชุม
ด้านหัวโต๊ะ ผู้ที่นั่งอยู่คือ องค์ชายแปด ดำรงตำแหน่ง จวิ้นหวัง นาม โจวเมิ่งหลาน องค์ชายแปดในวันนี้ยังคงหล่อเหลาเหมือนทุกๆวัน อาภรณ์สีดำขลับให้ผิวขาวนวลยิ่งขาวสว่างตา ดวงตาคม ปลายเชิดขึ้นสองชั้นรับกับแผงขนตาหนาทำให้ดวงตาที่คมดุจมีดนั้นอ่อนโยนลงเล็กหน่อย แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกอ่อนหวานแต่อย่างใด ใบหน้ารูปงามเรียบนิ่ง ร่างสูงนั่งตรงเด่นเป็นสง่า มือข้างหนึ่งทิ้งตัวลงด้านข้าง อีกข้างวางที่หน้าตักชันศอกขึ้นเล็กน้อย ฝั่งขวาขององค์ชายแปด คือองครักษ์ประจำกาย นาม หลี่ถัง องครักษ์หนุ่มวัยเดียวกันนั้น ยังสวมอาภรณ์สีเข้ม ผมยาวเกล้ารวบตึงสวมกวานเงิน สะพายกระบี่ปลอกแดงเลือดนกข้างเอวซ้าย ตรงข้ามกับหลี่ถังนั้น เป็นชายวัยกลางคน อายุราวๆสามสิบปี ผู้นี้คือท่านแม่ทัพหวังเยี่ย บุตรชายคนโตของท่านอ๋องหวังเซี่ย ปกครองเมืองเจ่า
ท่านแม่ทัพหวังเยี่ย รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำกว่าบุรุษทั้งสอง เครื่องหน้าถือว่าหล่อเหลา แต่กลับมีกลิ่นอายน่าหวั่นกลัว สวมเครื่องแบบติดอาวุธ อาวุธของท่านแม่ทัพเป็นดาบใหญ่ตามรูปร่างและลักษณะของเจ้าของมัน
“นักฆ่าเมื่อวานถูกเค้นถาม แต่โชคร้ายที่มันลอบกัดลิ้นตายพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหวังเยี่ยรายงานต่อองค์ชายแปด
หลี่ถังหัวเราะในลำคอ คล้ายเดาไว้แล้วว่าเรื่องต้องเป็นเช่นนี้
องค์ชายแปดเอ่ยถาม “เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองผู้นั้นเล่า?”
แม่ทัพหวังเยี่ยกล่าวตอบ “เจ้าหน้าที่ผู้นั้น นาม ปิงเย่ว ทำหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาร่วม สี่สิบปี ถือว่าเป็นขุนนางมือสะอาดผู้หนึ่ง พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ถังเอ่ยขึ้นน้ำเสียงค่อนแขวะ “ไม่มีเบาะแสเลยสินะ”
แม่ทัพหวังเยี่ยหันใบหน้าแข็งกร้าวไปทางองครักษ์หลี่ถังโต้ตอบกลับ
“ถึงมีเบาะแสแต่อย่างไรก็ไม่สามารถสาวไปถึงตัวการหลัก”
แม่ทัพหวังเยี่ยหันกลับมาเอ่ยถามองค์ชายแปด
“พระองค์ทรงสงสัยผู้ใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เมิ่งหลานเอ่ยขึ้น “ตัวข้าเดินทางไปเมืองกวานลี่ เนื่องว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้ตรวจสอบการทำงานของ เจ้าเมือง ตั้งแต่เราออกจากเมืองหลวง ก็มีคนตามมาตลอด แต่ไม่ปรากฏกาย หลายครั้งที่เหมือนจะจับได้ กลับจับไม่ได้ บางที เอาศพกลับเมืองหลวงไปด้วย ข้าจะให้เสียนฟาน ชันสูตรดู”
แม่ทัพหวังและองครักษ์หลี่ถัง ตอบรับพร้อมกัน
“พ่ะย่ะค่ะ”
*******
ยามเฉิน
เจี้ยนอวี่ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกนอนหลับเต็มอิ่มที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ดวงตากลมโตกวาดไปมองรอบๆห้อง เมื่อคืนไม่ทราบว่าตนหลับไปตอนนั้น และไม่รู้เช่นกันว่าที่แห่งนี้คือที่ใด โชคดีที่บริเวณโต๊ะหัวเตียงนั้นมีอ่างล้างหน้ากับผ้าขนหนูสีขาวหนึ่งผืน และอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆให้นางได้จัดการตัวเอง
ผ่านไปหนึ่งเค่อ เจี้ยนอวี่จึงจัดการตนเองเสร็จ ตั้งแต่ออกเดินทางมาจากจวนสกุลเจี้ยน บ้านของตน นางก็ดูแลตนเองมาตลอด องค์ชายแปดมิได้ให้นางนำสาวใช้ติดตามมาด้วย หลายวันมานี้ เจี้ยนอวี่จึงเริ่มอยู่ได้โดยไม่มีสาวใช้ได้บ้างแล้ว
เมื่อผลัดผ้าเสร็จเรียบร้อย คุณหนูเจี้ยนจึงออกมาจากห้อง เพียงเปิดประตูความเย็นก็ปะทะใบหน้าจนชาดิก อากาศหนาวลมแรงจนต้องปิดประตูกลับเข้ามา เจี้ยนอวี่หันไปมองรอบๆ เห็นผ้าคลุมสีดำทำด้วยขนสัตว์แขวนไว้บนราวไม้ก็เดินไปหยิบมาคลุมกาย เมื่อได้ผ้าคลุมกันหนาวแล้ว นางจึงเปิดประตูออกอีกครั้ง
เส้นทางทอดยาวมีหลากหลายแยกจนนางมึนงง
เจี้ยนอวี่เดินวนอยู่เช่นนั้นเป็นนานสองนาน นางเหนื่อยจึงหาที่นั่งยังโต๊ะไม้บริเวณนั้น นั่งอยู่สักพัก กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจนตกใจ ผุดลุกขึ้นยืนโดยพลัน
“เจ้าเป็นผู้ใด!”
เจี้ยนอวี่ตกใจหันไปทางต้นเสียงอันแสนดังนั้น
บุรุษร่างสูงใหญ่ผิวสีน้ำผึ้ง มีกล้ามเนื้อเต็มแน่นสวมชุดเกาะสีดำเมี่ยม เมื่อมองเลยขึ้นไป จึงสบกับใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์ อายุราวๆน่าจะใกล้ๆเคียงกับนาง ดวงตาคมเข้มจ้องมาที่นางเขม็ง เขากวาดมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางไร้มารยาท ดีที่เจี้ยนอวี่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนจิตใจเยียบเย็นดุจน้ำ จึงไม่ถือสาเอาความ เพราะนี่ไม่ใช่บ้านตน
เจี้ยนอวี่ลุกขึ้นยืน ฉีกยิ้มแห่งความเป็นมิตรไปให้ แต่ชายผู้นั้นกลับไม่ยิ้มตอบ ยังคงจ้องนางด้วยสายตาเย็นชา นางประสานมือโน้มกายลงคำนับหนึ่งครั้ง พลางกล่าวแนะนำตนเอง
“คาราวะคุณชาย ข้านาม เจี้ยนอวี่ ข้า เดินทางมากับองค์ชายแปดเจ้าค่ะ”
“อ้อ เจ้าเป็นสาวใช้หรือ?”
ประโยคที่บุรุษถามทำให้คิ้วงามกระตุกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนหน้า คล้ายแข็งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง
เจี้ยนอวี่นับหนึ่งถึงสิบในใจ ยิ้มใหม่ กล่าวเสียงนุ่ม
“จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ผิดเจ้าค่ะ”
“ไม่ผิดอย่างไร เอาเถอะ องค์ชายแปดอยู่กับพี่ชายข้า เจ้าอย่าเดินเพ่นพ่าน ตามข้ามา”
กล่าวจบก็หมุนกายเดินไป แต่ก็หันกลับมาอีกเมื่อรู้สึกว่าสาวใช้องค์ชายแปดมิได้เดินตามมา
หวังเริ่น จึงหันมากล่าวเสียงดัง “เร็วสิ จะยืนบ้าใบ้อยู่ทำไม”
เจี้ยนอวี่สะดุ้งโหยง นางไม่เคยเห็นชายใดพูดจาเสียงดังถึงเพียงนี้ เอะอะก็ตะโกน ไม่เจ็บคอบ้างหรือไร ด้วยไม่อยากโดนตะโกนใส่เป็นรอบที่สาม นางจึงรีบเดินตามชายผู้นั้นไป
สถานที่ที่ชายผู้นั้นพามาคือ โรงครัว พ่อครัวราวยี่สิบคนต่างง่วนอยู่กับการทำอาหารมากมาย นางรู้สึกตกตะลึงด้วยไม่เคยเห็นการเตรียมอาหารมากถึงเพียงนี้ พวกเขาเตรียมอาหารไว้สำหรับคนกี่คนกัน ภายในโรงครัววุ่นวายอย่างยิ่ง แต่เมื่อชายผู้นี้เดินเข้ามา ทุกคนก็หันมาทำความเคารพและเรียกเขาว่า
"คุณชายรอง"
ดูแล้ว ผู้ที่เดินนำหน้านางนั้น คงเป็นลูกชายคนรองเจ้าของจวนแห่งนี้
เจี้ยนอวี่มองแผ่นหลังหนานั้นในความรู้สึกที่ดีขึ้น
'เขาคงพานางมาหาอะไรกิน ช่างเป็นคนดี'
ในตอนนั้นที่นางกำลังจะเอ่ยเรียกและขอบคุณเขา ชายสวมชุดเกราะก็หันมา
กล่าวกับนางว่า "เจ้ายกของว่างนี่ไป"
"ว่า...อย่างไรนะเจ้าคะ?"
เจี้ยนอวี่แทบจะตะโกนออกมา แต่ยั้งไว้ทัน น้ำเสียงนางจึงยังนิ่งสงบเช่นปกติ
แต่ชายผู้นั้นกลับขมวดคิ้ว มองนางอย่างหงุดหงิด น้ำเสียงก็ไม่ต่างกับใบหน้าของเขาเลยสักนิด
"ข้าบอกว่าให้เจ้ายกของว่างนี้ไป เจ้าหูไม่ดีหรือ"
นางอยากร้องไห้ เดี๋ยวตะโกนเดี๋ยวด่า พ่อครัวก็หันมามองนางกันหมด
เจี้ยนอวี่ไม่อยากอับอายไปมากกว่านี้ จึงเดินเข้าไปยกถาดของว่าง ประกอบไปด้วย ขนมและน้ำชาอย่างละสามชุด คุณหนูเจี้ยนผู้ไม่เคยยกของหนักเกือบจะทำของว่างตกพื้น ดีที่บังคับตนไม่ให้มือไม้อ่อนทำเสียหน้า
คุณชายรองจอมโหวกเหวกปรายตาเล็กน้อย แล้วเดินนำไป
เจี้ยนอวี่จึงเดินตาม เดินมาได้สักพักเจี้ยนอวี่ก็หน้าซีด เหงื่อเริ่มผุดบนใบหน้า แต่นางยังคงอดทน บอกกับตนเองว่า
'ไม่เป็นไร อดทน ไม่รู้ว่าเข้าวังจะโดนสิ่งใดบ้าง'
ในที่สุด คุณชายจอมมารก็หยุดเดิน เจี้ยนอวี่เงยหน้าซีดๆขึ้นมอง
ประตูไม้ปิดสนิท คุณชายจอมมารยกมือขึ้นเคาะ พลางเอ่ยขึ้น
"องค์ชาย หวังเริ่น ขออนุญาตพ่ะย่ะค่ะ"
เจี้ยนอวี่ตาโต ไม่คิดว่าเขาจะพานางมาพบกับองค์ชายแปด
หากพระองค์เห็นนางในสภาพเช่นนี้ จะทรงกริ้วหรือไม่ จะโกรธที่นางมาก้าวก่ายหรือไม่
'แต่นางมิได้ก้าวก่ายเสียหน่อย คุณชายจอมมารผู้นี้พานางมาเองนี่'
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจี้ยนอวี่ก็ยืดหลังตรง ใบหน้ากลับมาซับสีเลือดเล็กน้อย ได้ยินเสียงขององค์ชายตอบกลับมา
คุณชายรองจอมมารรับคำ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
เจี้ยนอวี่ก้มหน้านิ่ง นางเดินตามหลังของคุณชายหวังเริ่น โดยใช้ร่างเขาบังร่างของนาง ดีที่เขาตัวใหญ่ ยามเดินเข้ามาจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนาง
"ของว่างพ่ะย่ะค่ะ"
คุณชายรองหวังผู้นั้นกล่าวสั้นๆ ก่อนจะขยับตัวไปด้านข้าง นางที่เอาแต่ก้มหน้าขยับตามไม่ทัน จึงไร้ที่กำบังอีกต่อไป
"นำขึ้นถวายให้องค์ชายเสียสิ" หวังเริ่นกระซิบบอกนาง
หลี่ถังคราแรกหรี่ตาสงสัยว่าเหตุใด อนุสิบเอ็ดนาม เจี้ยนอวี่ ถึงถือถาดของว่างมาที่แห่งนี้ แต่เมื่อมองไปทาง หวังเริ่น แล้วก็พอจะเข้าใจ
เขาลอบยิ้มภายในใจ รู้สึกสะใจเล็กน้อย เมื่อวานนางตอกเขาเสียหน้าหงาย วันนี้ถึงทีนางบ้างแล้ว
เจี้ยนอวี่รับคำ "เจ้าค่ะ" พลางเดินไปวางถาดของวางยังโต๊ะที่ใช้จัดของว่าง นางรินน้ำชาแล้วจึงถือเดินมาวาง ใบหน้าก้มจนแถบชิดกับลำคอยามวางถ้วยน้ำชาลงกับโต๊ะ เจี้ยนอวี่รีบทำ นางไม่ได้มองว่าจะมีใครมองนางอย่างไร ยามนี้ อยากหนีออกจากห้องนี้ด้วยซ้ำ รู้สึกเบาใจอยู่บ้างที่องค์ชายไม่กล่าวอันใด อาจเป็นเพราะพระองค์มิได้สนใจ ซึ่งก็ดี เมื่อมอบให้องค์ชายแล้ว ก็ถึงการมอบให้องครักษ์หลี่ เขากระซิบน้ำเสียงกลั้วหัวเราะระคนสะใจ
"กลายเป็นสาวใช้แล้วหรือ ขั้นท่านเลื่อนเร็วนะ"
หากเป็นยามปกติ นางคงขึงตาใส่เขาอยู่บ้าง แต่ยามนี้ เจี้ยนอวี่เงียบไว้แทน นางรีบมอบให้บุรุษอีกท่าน ก่อนจะถอนสายบัว ออกไปจากห้อง เมื่อออกมาจากห้องนั้นได้แล้ว นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
"เจ้า" เสียงคุณชายรองหวังเริ่นดังอยู่ด้านหลัง
เจี้ยนอวี่หันกลับไป อยู่ๆก็รู้สึกคล้ายหน้ามืด นางเผลอทิ้งถาดลง
เคร้ง! เสียงถาดกระทบพื้นดังทั่วบริเวณ อาจจะดังไปถึงด้านใน
"เจ้า เจ้า"
เจี้ยนอวี่มึนหัวไปหมด นางรู้สึกถึงพื้นเย็นๆเสียง ของคุณชายจอมมารดังอยู่เหนือหัว ยิ่งทำให้เวียนหัวหนักกว่าเดิมหลายเท่า อยากบอกให้เขาเงียบเสียงหน่อย ก็ไม่มีแรง
"เจี้ยนอวี่"
เหมือนได้ยินเสียงขององค์ชาย ร่างของนางคล้ายถูกยกขึ้นและเคลื่อนที่ เจี้ยนอวี่เวียนหัวอย่างมาก อยู่ๆนางก็นึกถึงบิดามารดา ขอบตารื้นขึ้นเอ่อล้นจนสายตาพร่ามัว
'ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากกลับบ้าน ข้าไม่น่ามาเลย ข้ากลับบ้านได้ไหม ไม่เอา ไม่สนแล้ว'
หากย้อนเวลากลับไปได้ นางจะไม่สนว่า องค์ชายจะตายหรือไม่
ไม่สน....ไม่ได้หรอก....