บทที่ ๙ กฎของความฝัน
บทที่ ๙
กฎของความฝัน
เมิ่งหลานช้อนร่างของนางขึ้นอุ้มก่อนจะก้าวเดินไป
เยี่ยหวังเดินขึ้นขนาบข้าง เอ่ยบอกองค์ชายด้วยใบหน้าเรียบนิ่งว่า
“เรือนรับรองนั้นอาจไกลไป มาเรือนข้างๆเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เมิ่งหลานพยักหน้าไม่กล่าวอันใดเพียงเดินตามแม่ทัพหวังเยี่ย
หลี่ถังขมวดคิ้ว พลางหันมาถามบุรุษที่ยืนนิ่งแข็งทื่อดวงตาเบิกกว้างคล้ายตกใจของคุณชายรองหวังเริ่น
“ท่านทำอันใดนางหรือคุณชาย?”
หวังเริ่นสายหน้า หันมาหาองครักษ์หลี่ เอ่ยตอบ
“ข้าไม่ได้ทำอันใดนะ”
หลี่ถังยักไหล่ก่อนจะเดินตามองค์ชายแปดไป เหลือเพียงหวังเริ่นผู้เดียว
คุณชายรองหวังเมื่อคืนสติก็รีบเดินตามหลังหลี่ถังไปทันที
เมิ่งหลานวางร่างบางลงบนเตียงตั่งขนาดนอนผู้เดียว องค์ชายแปดเลิกแขนเสื้อนางขึ้นจับชีพจร ก่อนจะเงื้อมือทาบกับหน้าผาก สัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุผ่านฝ่ามือ
“อนุสิบเอ็ดเป็นอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หวังเยี่ยเอ่ยถาม
เมิ่งหลานลุกขึ้นกล่าวตอบ
“คงจะเป็นไข้ ข้าลืมไปว่าแถบเมืองหลวงอากาศเย็นกว่า เมืองกวานลี่นัก วานท่านให้คนต้มยาแก้ไข้ขับไอเย็นมาให้ที”
หวังเยี่ยฟังจบก็รับคำสั่ง เดินออกจากห้องไป
“พ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหวังเยี่ยเดินออกมาเห็นองครักษ์หลี่และน้องชายตนยืนอยู่หน้าห้อง หวังเริ่นรีบเข้ามาสอบถามพี่ชายในทันที
“พี่ใหญ่ สาวใช้องค์ชายเป็นเช่นไรบ้าง?”
หวังเยี่ยเหลือบไปเห็นองครักษ์หลี่หลุดขำก็หน้าตึงตวาดน้องชาย
“เหลวไหล สายตาเจ้ามันมืดบอดหรือไร นั่นใช่สาวใช้เสียเมื่อไหร่ นางเป็นชายาคนที่สิบเอ็ดขององค์ชาย อยู่นี่ก็รังแต่จะอับอาย มากับข้า”
ไม่พูดเปล่า ยังลากน้องชายให้เดินตามไป
หวังเริ่นตกตะลึงเป็นรอบสอง
‘สตรีอ่อนเยาว์ผู้นั้น เป็น…อนุชายาองค์ชายแปดรึ?’
*******
เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน ไข้ของเจี้ยนอวี่จึงเบาบางลงมาก นางลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานไม้ เจี้ยนอวี่ถอนหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นแตะแก้มที่มีคราบน้ำตา นางนอนนิ่งไม่ขยับ หวนนึกถึงความฝันที่ยาวนาน
‘หวังเริ่นเดินทางเข้าเมืองหลวง ร่วมสอบคัดเลือกราชองครักษ์รักษาวัง เขาเก่งกาจจนไปถึงรอบสุดท้าย แต่เพราะอารมณ์ร้อนทำให้มีปากเสียงกับคนร่วมสอบด้วยกัน เรื่องลุกลามจนไปถึงขั้นทะเลาะวิวาทเปล่าประกาศท้าดวล จากนั้นผู้คุมสอบคัดเลือกก็มาถึง ทั้งสองจึงถูกรวบตัวไป ผู้คุมตัดสินไม่ให้ทั้งสองเข้าคัดเลือกอีก หวังเริ่นโมโหอย่างมาก เขากลับจวนสกุลหวังที่อยู่เมืองหลวง กินเหล้าเมามาย หวังเยี่ยทราบเรื่องก็เร่งมาเมืองหลวง ทั้งสองมีปากเสียงกัน หวังเริ่นจึงหนีออกจากจวน คืนนั้น ไม่มีผู้ใดทราบว่าคุณชายรองหวังไปที่ใด รุ่งเช้าทางการมายังจวนสกุลหวัง ประกาศจับตัวหวังเริ่น โทษฐานฆาตกรรม หูหลัน ที่มีปากเสียงและทะเลาะวิวาทกันยังลานสอบคัดเลือก หวังเริ่นพึ่งกลับมาก็ถูกจับตัวไปยังศาล เขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่า หูหลันตายอย่างไร แต่เมื่อถูกสอบถามว่า เมื่อคืนเขาอยู่ที่ใด หวังเริ่นก็ไม่ตอบ เขาจึงถูกตัดสินว่า ฆาตกรรม หูหลัน โทษประหาร แต่เนื่องว่า เป็นคุณชายสกุลหวัง จึงได้ถูกเนรเทศไปชายแดน’
กลับมายังปัจจุบัน เจี้ยนอวี่นอนตะแคง
‘หวังเริ่นเป็นฆาตกร’ นางคิดในใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมา เหตุใดจึงฝันถึง แล้วนางควรทำเช่นไร ควรช่วยใคร หูหลัน หรือ หวังเริ่น
เจี้ยนอวี่จมอยู่กับตนเองจนไม่รู้ว่ามีคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง
เมิ่งหลานเห็นเจี้ยนอวี่นอนตะแคงหันหน้ามาทางตนก็ขมวดคิ้ว นางจ้องเขาอยู่ เหมือนมีอะไรจะกล่าว องค์ชายแปดจึงเอ่ยถาม
“เจ้าอยากถามอันใด?”
“หูหลันกับหวังเริ่น ควรช่วยใคร?”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ช่วยทำไม แล้วหูหลันเป็นใคร?”
น้ำเสียงเย็นชืดเอ่ยถามออกมา
เจี้ยนอวี่รู้สึกตัว เห็นองค์ชายแปดยืนอยู่เบื้องหน้าก็ตกใจ รีบลุกขึ้นนั่งอุทานเรียก
“องค์ชายแปด”
เมิ่งหลานจ้องมองนางอย่างคาดคั้น พลางเอ่ยถาม
“หูหลันเป็นใคร?”
เจี้ยนอวี่อ้าปากค้าง ไม่คาดคิดว่า องค์ชายจะอยู่ที่นี่แล้วได้ยินสิ่งที่นางกล่าวกับตนเอง องค์ชายแปดเดินเข้ามาใกล้พระองค์ไม่ได้เอ่ยถามอีกครั้ง แต่สายตาที่จ้องมองมานั้นทำให้นางต้องรีบหาคำตอบให้ได้ทันที
“หู หูหลัน ข้าฝันเพคะ”
“ฝัน?”
เจี้ยนอวี่พยักหน้า รีบบอก
“ฝันว่า คุณชายรองให้ข้าไปยกถาดน้ำชาที่หนักมากมาก เอาไปให้นายท่านหูหลัน แล้วนายท่านหูหลันก็ให้ข้านำถาดน้ำชาที่หนักมากมาก ไปให้คุณชายรองหวังเริ่น ข้าเดินจนเหนื่อย ทรมานมากเลยเพคะ”
พูดจบก็มองตอบองค์ชายแปดที่จ้องนางไม่กะพริบตา ผ่านไปครู่หนึ่ง พระองค์จึงเอ่ยขึ้น
“เจ้านี่เจ้าคิดเจ้าแค้น เอาเถิด เขาไม่รู้ เจ้าก็อย่าโกรธเคืองเขาเลย”
‘เขาเชื่อรึ’
เจี้ยนอวี่อยากถอนหายใจด้วยความโล่งอก และออกจะประหลาดใจไม่ได้ว่าเหตุใดองค์ชายถึงเชื่อเรื่องไร้สาระพันนี้ หรือว่าพระองค์เห็นนางไร้สาระ แต่เอาเถอะ เขาเชื่อก็เป็นผลดีต่อนาง เจี้ยนอวี่จึงก้มหน้ารับคำ
“เพคะ”
เมิ่งหลานเห็นนางรับคำง่ายๆก็พอใจ ใช้นิ้วชี้ดันคางเล็กให้เงยขึ้น
เจี้ยนอวี่ตกใจผงะถอยหลัง เมิ่งหลานนิ่งค้าง คล้ายได้สติแล้วลุกขึ้นยืน กล่าวกับนาง
“หากเจ้าดีขึ้นแล้วก็ทานข้าวเสีย” กล่าวจบก็หมุนกายเดินออกจากห้องไป
เจี้ยนอวี่ฟุบตัวลงนอนอย่างคนหมดแรง ไออุ่นจากนิ้วนั้นยังอยู่ที่ปรายคางก่อนจะร้อนลามไปทั่วใบหน้า อีกทั้งดวงตาคมที่จ้องมาอีก…
หญิงสาวยกมือนาบกับหน้าอกด้านซ้าย สัมผัสถึงหัวใจที่เต้นเร็วแรงอย่างบ้าคลั่งพานคิดในใจว่า
‘เมื่อครู่ มันคืออันใดกัน’
*******
วันรุ่งขึ้น อาการไข้ของนางก็ดีขึ้นจนเกือบหายสนิท หลังทานมือเช้าแล้วเรียบร้อย องค์ชายจึงให้คนจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางกลับเมืองหลวง จริงแล้ว องค์ชายแปดตั้งใจจะเดินทางเมื่อยามวาน แต่เพราะนางล้มป่วยเสียก่อนจึงต้องเลื่อนมาวันนี้
เจี้ยนอวี่นั่งรออยู่ที่ศาลาของจวนสกุลหวัง หรือที่คนทั่วไปเรียกที่นี่ว่า ค่ายทหารทัพสกุลหวัง นางไม่มีเพื่อนให้นั่งพูดคุยด้วย ทั้งไม่มีสาวใช้ติดตาม องค์ชายแปดก็ทรงอยู่กับองครักษ์หลี่และแม่ทัพหวัง นางจึงอยู่ผู้เดียว จะไปไหนก็ไปผู้เดียว
บนโต๊ะกลมที่ใช้วางน้ำชาและขนมกินเล่น ในมือของหญิงสาวมีสมุดเล่มหนึ่ง มือข้างขวาถือพู่กันกำลังจรดปลายเขียนลำดับความฝันของนาง
หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองมาหลายครั้ง เจี้ยนอวี่ก็นึกถึงข้อนี้ได้ ทุกสิ่งอย่างย่อมมีกฎ การที่นางฝันเห็นอนาคตนั้นก็ย่อมมีกฎของมันด้วยเช่นกัน
ครั้งแรก ฝันว่า ฝนจะตก เหมือนเป็นความฝันที่ไม่สลักสำคัญใดๆ นางจึงจำไม่ได้ ต่อมา ฝันว่า จินเออร์ถูกงูกัด เป็นความฝันสั้นๆเหตุการณ์เฉพาะ ครั้งต่อมาฝันว่าแม่สามถูกรุมทำร้าย ฝันว่าบิดาถูกลอบฆ่า ฝันว่าองค์ชายถูกลอบสังหารอีก 2 ครั้ง ครั้งนี้ ฝันถึงคุณชายรองหวังเริ่น เมื่อเอามาเขียนรวมกันแล้ว ทุกคนที่นางฝันถึง ล้วนเป็นคนที่เคยพบและอยู่รอบๆตัว หากเป็นจริงตามที่คาดเดาแล้ว การที่นางจะฝันเห็นอนาคตของพวกเขา นางต้องรู้จักพวกเขาเสียก่อน หรือเคยเห็นหน้า นางถึงจะฝันเห็นอนาคตของคนผู้นั้น และส่วนมาก ความฝัน มักจะเป็นเรื่องเลวร้าย…
“เจ้าทำอะไร?”
เจี้ยนอวี่สะดุ้งตกใจ รีบปิดสมุดลง หันไปทางต้นเสียง
บุรุษรูปร่างสูงกำยำ แต่ใบหน้ายังคงอ่อนเยาว์ ผู้ที่ทำให้นางตกใจก็คือ คุณชายรองหวังเริ่น
“ข้า ข้าเพียงเขียนอะไรเรื่อยเปื่อยเจ้าค่ะ”
หวังเริ่นหรี่ตามองคล้ายไม่เชื่อ พลางถามขึ้น
“เขียนด่าข้ารึ?”
“ไม่ใช่” เจี้ยนอวี่ปฏิเสธทันที และการที่นางรีบร้อนเช่นนี้สำหรับหวังเริ่นแล้วนั้นเต็มไปด้วยพิรุธยิ่งนัก
หวังเริ่นเดินเข้ามาในศาลา จ้องมองนาง
“เจ้ามีพิรุธ เอามาให้ข้าดู”
เจี้ยนอวี่ส่ายหน้า หยิบสมุดแอบไว้ที่หลัง ร้องบอก
“นี่มันของข้านะ”
หวังเริ่นคิดว่าในสมุดเล่มนั้นต้องมีอะไรแน่ๆ เขาจึงเดินเข้ามาประชิดตัว ใช้ความเร็วกว่าคว้าสมุดเล่มนั้นมาได้
เจี้ยนอวี่เบิกตากว้างพุ่งเข้าไปหาสมุดหมายจะเอาคืน แต่หวังเริ่นชูมันขึ้นสูง นางจึงไม่สามารถเอื้อมถึง เจี้ยวอวี่พยายามกระโดดแต่ก็ไม่สามารถแตะโดนได้
ใบหน้างามเริ่มงองำ จ้องหวังเริ่นอย่างโมโห เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มักใช้กับคนในบ้าน
“เอาของอวี่เออร์คืนมานะ”
หวังเริ่นรู้สึกสนุก ยิ่งเห็นใบหน้างองำท่าทางเอาแต่ใจนั้น เขายิ่งรู้สึกพอใจ อยากแกล้งนางต่อ
“เราจะคืนให้ แต่อวี่เออร์ต้องบอกก่อนว่าเขียนต่อว่าเราหรือไม่?”
เจี้ยนอวี่โมโหอย่างมากจึงตะโกนใส่หน้าเขา “ไม่ ไม่ได้เขียน!”
หวังเริ่นหลุดยิ้ม มุมปากคลี่ออกจนปรากฏรอยบุ๋มของสองข้างแก้มทำให้ใบหน้าดุนั้นอ่อนโยนหล่อเหลาเป็นเท่าตัว
เจี้ยนอวี่ประหลาดใจ ชายหน้ายักษ์ที่น้อยกว่าแม่ทัพหวังเยี่ยมีลักยิ้ม นางจึงเอ่ยถาม “ท่านมีลักยิ้มด้วยหรือ?”
หวังเริ่นคืนสติ รีบหุบยิ้ม วางสมุดของนางลงยังโต๊ะกลม ใบหูทั้งสองข้างแดงจัดจนเห็นได้ชัด
เจี้ยนอวี่เมื่อเห็นสมุดของนางวางไว้ที่โต๊ะก็รีบหยิบ โค้งกายบอกลา
“ข้าขอตัว ลานะเจ้าคะ”
กล่าวจบก็หมุนกายเตรียมเดินลงจากศาลา แต่หวังเริ่นร้องเรียกไว้ก่อน “เดี๋ยว!”
เจี้ยนอวี่ชะงักหันมาถาม “อันใดเจ้าคะ?”
หวังเริ่นมองขึ้นด้านบนคล้ายรวบรวมความกล้า เมื่อรวบรวมได้แล้ว จึงก้มลงสบตากับเจี้ยนอวี่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ข้าขอโทษ”
ต้นมู่กง5 ข้างๆศาลาไหวเอนไปมาตามสายลมที่พัดผ่าน
เจี้ยนอวี่ หันกลับมายืนดีๆก่อนจะเผยรอยยิ้มจริงใจให้คุณชายรองหวังเริ่น
‘บางที แม้เขาจะชอบเสียงดัง โผงผาง นิสัยใจร้อน แต่ก็เป็นลูกผู้ชายไม่น้อย จิตใจเปิดเผย คนผู้นี้หรือจะฆ่าคนอื่น’
เจี้ยนอวี่ตัดสินใจว่าจะช่วยหวังเริ่น มิใช่ว่าเขาเพียงมาขอโทษนาง แต่ดวงตาที่จ้องมาที่นางนั้น มันสื่อว่าเขารู้สึกผิดจริงๆ นางไม่รู้ว่าจะเชื่อคนผิดหรือไม่ แต่สัมผัสได้ว่าเขามิได้เลวร้าย
“คุณชายรองหวังเริ่น หากท่านจะไปสอบคัดเลือกเป็นราชองครักษ์ในวัง ข้าอยากแนะให้ท่านใจเย็นให้มาก ก้าวย่างและตัดสินทุกอย่างด้วยสตินะเจ้าคะ”
เจี้ยนอวี่ประสานมือโน้มกายคำนับอย่างอ่อนซ้อยงดงาม ก่อนจะยืดหลังตรง หมุนกายเดินไป
หวังเริ่นงุงงง มองตามแผ่นหลังของนางไปจนลับตา พลางตั้งคำถามกับตน
‘นางทราบได้อย่างไรว่าข้าจะไปคัดตัวเป็นราชองครักษ์’