บทที่ ๗ สนองสนใจ
บทที่ ๗
สนองสนใจ
เมืองเจ่าอยู่ใกล้เมืองหลวง ประติมากรรมของเมืองจึงทันสมัย บ้านเรือน สองสามชั้น โรงเตี๊ยมก็มาก คนขายของก็มากตามจำนวนชาวเมือง
ในเรื่องนี้เจี้ยนอวี่ไม่ได้รู้สึกว่าตื่นเต้นหรือประหลาดใจ ยามอยู่เมืองกวานลี่ คนมากกว่านี้ ร้านค้าร้านขายก็มากกว่า แต่ที่ทำให้นางตื่นเต้นประหลาดใจ คือกลุ่มคนส่วนมากที่เดินอยู่ในตลาดมักเป็นบุรุษใส่เครื่องแบบของกองทัพ หรือไม่ใส่เครื่องแบบแต่ก็ดูมีราศีของขุนนาง กลุ่มบุรุษสวมเครื่องแบบกองทัพเดินกันขวักไขว่ จับจ่ายซื้อของราวเป็นเรื่องปกติ ต่างจากเมืองกวานลี่ ที่หากเห็นทหาร หรือ เจ้าหน้าที่รักษาการเมือง เดินผ่านก็พากันหลบหนีตัวสั่นหวาดกลัวเป็นทิวแถว ดูท่าที่เรียกเมืองเจ่า ว่า ‘เมืองแห่งกองทัพ’นั้นเป็นเช่นนี้เอง
“นายท่านเจ้าคะ ทหารกับชาวบ้านอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติเช่นนี้หรือเจ้าคะ?” เจี้ยนอวี่หันมาถาม องค์ชายแปด เหตุที่เปลี่ยนคำเรียกเป็นเพราะอยู่ในฝูงชนมาก องค์ชายจึงให้นางเรียกว่า นายท่าน
เมิ่งหลานเอ่ยตอบ “ส่วนมาก แต่ไม่เกือบหมด”
เจี้ยนอวี่ไม่เข้าใจ
เมิ่งหลานจึงปรายตาไปทางหนึ่งให้นางมองตาม บุรุษร่างสูงใหญ่สามสี่คนใส่เครื่องแบบของทหารยืนล้อมอยู่หน้าร้านค้าร้านหนึ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไป พวกเขาปิดกั้นร้านราวกับมีคนในราชวงศ์อยู่ในร้านนั้น เพียงครู่ บุรุษสองคนสวมชุดเครื่องแบบก็เดินออกมา ทหารกลุ่มนั้นจึงเดินตามไป ร้านค้าร้านดังกล่าวถึงมีชาวบ้านกล้าเข้าไป
เมิ่งหลานเดินต่อ เจี้ยนอวี่เดินตาม องค์ชายแปดกล่าวต่อ
“ในเมืองที่ปกครองด้วยกองทัพมากเกินไป กลุ่มทหารสำหรับชาวบ้านก็มีอำนาจมาก เทียบเท่ากับราชวงศ์เลยก็ว่าได้”
“เป็นเช่นนี้” เจี้ยนอวี่กล่าวสั้นๆแล้วเงียบไป มิได้ซักไซ้ถามต่อ
เมิ่งหลานเห็นนางไม่กล่าวอันใดก็หันกลับมา นางไม่ได้เดินอยู่ข้างหลังตนแล้ว แต่นางอยู่ยังแผงขายลอยจำพวกหนังสือบทกวีมากมายวางเรียงรายเต็มไปหมด
“เถ้าแก่ เล่มนี้ราคาเท่าไหร่?”
เจี้ยนอวี่หยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาเอ่ยถาม
เถ้าแก่ขายหนังสือเงยหน้ามองดรุณีน้อยสลับกับมองตำราในมือนาง พลางตอบอย่างฉงน
“ห้าตำลึง”
เจี้ยนอวี่พยักหน้า พลางหยิบถุงเงินออกมา หยิบมาสิบตำลึงพลางกล่าว
“ข้ามีเรื่องนี้เกือบหมดแล้ว ขาดเล่ม สี่ ห้า หก เถ้าแก่ หากข้าซื้อสามเล่ม สิบตำลึงได้หรือไม่เจ้าคะ?”
กล่าวจบก็ยิ้มกว้าง อวดฟันขาวเรียงสวย เถ้าแก่อึ้งเล็กน้อย คล้ายไม่เคยเจอดรุณีที่ไหนมาต่อรองราคาเช่นนี้ เขามองเลยไปทางด้านหลัง บุรุษผู้หนึ่งสวมหมวกเห็นเพียงครึ่งหน้า กลิ่นอายดูสูงศักดิ์น่าเกรงขามจึงไม่กล้าเสียมารยาท
“แม่นาง หนังสือที่เจ้าอยากได้นั้นแพงหนา เห็นใจข้าเถิด”
เจี้ยนอวี่เอียงคอก่อนจะทำหน้าเศร้า กล่าวอย่างผิดหวัง
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางว่าเสร็จก็ยื่นเงินให้เถ้าแก่
ชายวัยกลางคนผู้ขายหนังสือยื่นมือมารับเงินจากดรุณีน้อย แต่ยังไม่ทันได้เงิน บุรุษด้านหลังก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ที่บ้านข้ามี หากเจ้าต้องการอ่าน ก็ไปหยิบยืมได้ ไม่ต้องซื้อหรอก”
เจี้ยนอวี่ชักมือกลับทันที หันไปหาองค์ชายแปด นางฉีกยิ้มกว้าง ร้องถาม
“จริงหรือเจ้าคะ?”
เมิ่งหลานพยักหน้า เจี้ยนอวี่วางหนังสือลง เตรียมหมุนกายจากไป แต่เถ้าแก่ร้องเรียกไว้
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน แม่หนู สามเล่มสิบตำลึงก็ได้ อย่างไรซื้อไว้เป็นของตนเองย่อมดีกว่า”
เจี้ยนอวี่เลิกคิ้ว นางทำหน้าเศร้ายามกล่าว “แต่มันแพงนะเจ้าคะ”
เถ้าแก่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้น “เอาเถิด เห็นแก่แม่นางเป็นนักสะสม ข้าลดให้ คนกันเอง”
เจี้ยนอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หลังได้หนังสือตามราคาที่ต้องการ ทั้งสองก็เดินออกมาจากร้าน เดินเล่นต่อไปเรื่อยๆ จวนใกล้เวลาที่หลี่ถังจะมารับแล้ว องค์ชายแปดจึงพาเลี้ยวเข้าโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
หนึ่งคือสตรีที่รูปโฉมงดงามโดดเด่น ทวงท่ากิริยาล้วนดูสง่างามน่าจับตามอง อีกหนึ่งที่เคียงคู่กันมา คือบุรุษร่างสูงที่ถึงแม้นจะไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงริมฝีปากสีลูกพีชได้รูป แต่กลับแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามสูงศักดิ์ออกมา จนผู้คนมิอาจละสายตาไปได้ พวกเขาเพียงเดินเข้ามาก็ถูกสายตามากมายจับจ้อง เด็กชายวัยราวสิบกว่าเดินเข้ามาคำนับคนทั้งสอง เมิ่งหลานจึงบอกสิ่งที่ต้องการแก่เด็กบริการ
“ขอห้องที่เป็นส่วนตัว”
เด็กบริการน้อมรับ พลางผายมือเชื้อเชิญคนทั้งสอง
บริเวณชั้นสองของร้าน ขนาดห้องปานกลาง ตกแต่งหรูหรา มีโต๊ะไม้เนื้อดีหนึ่งชุด เมื่อมาถึงห้อง เมิ่งหลานจึงเอ่ยสั่งกับเด็กบริการ
“จัดอาหารชั้นเลิศมาสองชุดพร้อมน้ำชา”
เด็กหนุ่มรับคำก่อนจะหายออกไปจากห้อง
“ขอรับ”
เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว องค์ชายแปดจึงถอดหมวกออก เผยให้เห็นใบหน้ารูปงามดุจหยก ดวงตาคมตวัดไปมองทางเจี้ยนอวี่ นางวางถุงผ้าที่บรรจุหนังสือสามเล่มไว้บนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลง
“ขอบพระทัยองค์ชายเพคะ”
เมิ่งหลานนั่งลงตาม เอ่ยถาม “เรื่อง?”
เจี้ยนอวี่ยิ้มกว้าง พลางตอบ “ที่ช่วยหม่อมฉันต่อรองราคา”
“ข้าไม่ได้ช่วย ที่วังหลวงมีหนังสือที่เจ้าอยากได้”
เจี้ยนอวี่พยักหน้า “อย่างไรก็ขอบพระทัยเพคะ”
จบคำประตูก็ถูกเคาะ ก่อนจะเปิดออก คนที่ปรากฏมิใช่เด็กบริการของโรงน้ำชา แต่เป็นหลี่ถัง องครักษ์หนุ่มก้าวเร็วๆเข้ามาในห้องก่อนจะคุกเข่าคำนับองค์ชายแปด
“คาราวะองค์ชาย”
“เจ้าลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ถังมองทางเจี้ยนอวี่เขม็ง ก่อนจะหันมาถามองค์ชายแปด
“พระองค์มิได้รับอันตรายใดๆใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เมิ่งหลานส่ายหน้าเอ่ยตอบ “ไม่”
หลี่ถังรู้สึกจิตใจที่อัดแน่นมานานผ่อนคลายลง ในตอนนั้นเอง เด็กบริการก็ปรากฏกายพร้อมชุดอาหารและน้ำชา
เด็กหนุ่มเข้ามาจัดอาหาร ก่อนจะถอนกายออกไป ให้แขกได้รับความเป็นส่วนตัว
เจี้ยนอวี่ลุกขึ้นตั้งใจจะรินน้ำชา แต่หลี่ถังห้ามไว้เสียงแข็ง
“หยุด ข้ารินเอง ท่านนั่งเฉยๆเถิด”
เจี้ยนอวี่พยักหน้า นางนั่งลงเฉยๆ รอให้หลี่ถังรินน้ำชาและตรวจสอบอาหารเสร็จ ถึงสามารถทานได้ เขายังคงจ้องนางไม่วางตา เจี้ยนอวี่รู้สึกอึดอัดไม่น้อยจึงโอดครวญในใจ
‘ทำคุณบูชาโทษอีกแล้ว คนอุตส่าห์ช่วย กลายเป็นผู้ต้องสงสัยเสียได้’
นางคาดได้ว่า หลี่ถังคงพบคนลอบสังหารองค์ชายจริง ถึงได้จ้องนางราวกลับจะเค้นหาความจริงเช่นนี้
“หลี่ถัง เจ้าก็นั่งลงกินด้วยสิ” องค์ชายแปดเอ่ยชวน
องครักษ์หลี่ละสายตาจากเจี้ยนอวี่ หันมากล่าว “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย แต่กระหม่อมยังมิหิวพ่ะย่ะค่ะ”
เมิ่งหลานพยักหน้า ไม่เซ้าซี้อีก
เจี้ยนอวี่คีบเต้าหู้ทอด หมายมอบให้องค์ชาย แต่เต้าหู้ยังไม่ทันได้วางลงจาน มือของนางก็ถูกจับไว้ เจี้ยนอวี่ตกใจ เมิ่งหลานเองก็ประหลาดใจ เอ่ยถามองครักษ์ของตน
“ทำอะไรน่ะหลี่ถัง?”
องครักษ์หลี่ปล่อยมือ เอ่ยตอบ
“ในตอนที่กระหม่อมพาขบวนกลับไปยังค่ายทหาร ระหว่างทางเกิดการปะทะกับมือสังหาร บังเอิญยิ่งกับที่อนุเจี้ยน อยากเที่ยวชมเมือง และเตือนกระหม่อม ทำให้กระหม่อมอดสงสัยมิได้ว่าเหตุใด อนุเจี้ยนถึงได้ทราบ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารครานี้หรือไม่ พ่ะย่ะค่ะ”
เมิ่งหลานหันมามองเจี้ยนอวี่ในทันที นางตกตะลึง มือที่คีบตะเกียบก็เผลอปล่อย เต้าหู้ทอดหล่นลงจานข้าว ร้องถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“นี่ท่านสงสัยข้าหรือ?”
หลี่ถังหรี่ตาลง เอ่ยถามเสียงเย็นชา “แล้วเหตุใดอยู่ๆท่านจึงอยากเที่ยวชมเมือง เหตุใดจึงร้องเตือนข้าเช่นนั้น จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือ?”
เจี้ยนอวี่พยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด นางรู้สึกปวดหัวกับองครักษ์ผู้นี้จริงหนา นั่นก็ระแวงนี่ก็ระแวง ตัวนางจะทำอันใดได้
หลี่ถังมองกลับด้วยสายตาเยียบเย็น เอ่ยกล่าว
“หากข้าบอกว่าไม่เชื่อเล่า”
“ท่านองครักษ์ หากข้ามีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าจะพาองค์ชายแยกตัวออกมาทำไม ข้าไม่ปล่อยให้องค์ชายถูกลอบสังหารไปเลยไม่ง่ายกว่าหรือ?”
หลี่ถังพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เจี้ยนอวี่กล่าวต่อ “ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อีกอย่างองค์ชายไม่ได้รับอันตรายก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ หากท่านจะสืบสาวเอาความก็ควรทำกับมือสังหารกลุ่มนั้น มิใช่ข้า ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ คนหนึ่ง”
ใบหน้าของหัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มแข็งค้างไปชั่วขณะ
เจี้ยนอวี่ไม่คิดต่อความอีก นางหยิบตะเกียบมาเช็ดก่อนจะลงมือทานต่อ แต่ครานี้ นางไม่ได้คีบอาหารให้องค์ชายอีก ด้วยไม่อยากถูกตั้งข้อสงสัยว่าลอบวางยาพิษสังหาร
ในตอนนั้นเอง มุมปากของเมิ่งหลานคล้ายยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
หลังทานมื้อค่ำที่โรงน้ำชาเสร็จ เจี้ยนอวี่กับองค์ชายแปด และองครักษ์หลี่ก็เดินทางกลับค่ายทหาร นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินจึงเผลอหลับไป
คืนนั้น นางรู้สึกคล้ายว่าตนกำลังฝัน นางถูกอุ้มอย่างอ่อนโยนไปวางที่เตียง มีคนห่มผ้าให้นางและลูบหัวเบาๆสามสี่ครั้ง สิ่งเล็กน้อยนี้ กลับทำให้เจี้ยนอวี่หลับสนิทจนถึงเช้า