บทที่ ๖ ชายาแสนแปลก
บทที่ ๖
ชายาแสนแปลก
จากเมืองกวานลี่ มุ่งสู่เมืองหลวง ระยะทางแม้ไม่ห่างไกลกันมาก แต่ก็ไม่ถึงกับใกล้ คณะขององค์ชายแปดนามเมิ่งหลาน และ อนุชายาคนใหม่ ใช้เวลาเดินทางมาสองวัน ในที่สุดก็มาถึงเมืองเจ่า
เมืองเจ่า ติดกับเมืองหลวง มีค่ายทหารมากมายในเมืองนี้ เมืองเจ่า ถูกผู้คนเรียกกันง่ายๆว่า ‘เมืองแห่งกองทัพ’
วันนี้แดดค่อนข้างแรง ขบวนรถม้าหรูหรา หน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง
หลี่ถังยื่นป้ายทองให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองผู้หนึ่ง
เจ้าหน้าที่เห็นป้ายทองนี้ก็ตกตะลึงตาค้าง รีบวิ่งไปสั่งให้ทหารเปิดประตูเมือง อำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ทั้งอาสาจะขอจัดหาที่พักให้องค์ชายแปดแลคณะ
“ท่านผู้ตรวจ องค์ชายมิอยากให้เอิกเกริก พวกข้าจะไปพักค่ายสกุลหวัง ได้แจ้งแก่ท่านแม่ทัพหวังเยี่ย ไว้แล้ว นี่ สำหรับความมีน้ำใจของท่าน”
หลี่ถังยื่นถุงผ้าไหมขนาดเท่าฝ่ามือให้ผู้ตรวจคนเข้าเมือง
ชายวัยกลางคนเห็นถุงเงินก็รีบรับไว้ แม้นจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ได้คืบก็ไม่ควรจะเอาศอก พอใจในสิ่งที่ได้รับ ภัยจักได้ไม่มาหาตัว
“ขอบพระคุณขอรับ”
หลี่ถังพยักหน้า กำลังจะเดินกลับยังรถม้า แต่ดันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
“ค่ายทหารเรอะ ไม่ ข้าไม่อยากไป ข้าเป็นคุณหนู เดินทางรอนแรมมาไกลถึงเพียงนี้ ขาก็ปวด เอวก็ปวด ปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัว จะให้ไปพักในค่ายทหารได้อย่างไร ข้าไม่ไป เด็ดขาด”
เสียงโวยวายนั้นเป็นเสียงของสตรี ภายในขบวนมีสตรีเพียงคนเดียวนั่นก็คือ อนุชายาคนใหม่ขององค์ชายแปด อนุสิบเอ็ด นาม เจี้ยนอวี่
“ชายาเจี้ยน ท่านอย่าออกมาเช่นนี้”
หลี่ถังเดินไปใกล้พลางร้องบอก
เจี้ยนอวี่มีอาการเหน็ดเหนื่อยออกมาทางสีหน้า แต่ยังคงไว้ซึ่งความงามความสดใส ดวงตากลมโตสองชั้น จ้องตอบหลี่ถังอย่างไม่เกรงกลัว เอ่ยโต้กลับ
“ข้าเมื่อย พวกท่านก็จอดรถม้าไว้เสียนานสองนาน ข้าอยากออกมายืดเส้นยืดสาย ว้าว นี่เมืองเจ่าหรือ”
เจี้ยนอวี่มองไปรอบๆพลางอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ ตากลมลุกวาว กล่าวต่อ
“ข้าพึ่งเคยมาต่างเมือง อยากเที่ยวชม เราค้างกันในเมืองไม่ได้หรือ ค่ายสกุลหวังอยู่ห่างจากเมืองตั้งมาก จะถ่อไปทำไม”
หลี่ถังรู้สึกละเหี่ยใจ แต่ก็สะกิดใจเช่นกัน รีบเอ่ยถาม
“ท่านทราบได้อย่างไรว่าค่ายทหารสกุลหวังอยู่ห่างจากตัวเมือง”
ถามแล้วก็ใช้ดวงตาคมกริบจ้องมองเจี้ยนอวี่
เจี้ยนอวี่ตอบกลับหน้านิ่งไร้ความน่าสงสัยใดๆว่า
“หรือไม่ใช่ ค่ายทหารก็ต้องอยู่ที่กว้างๆจะมาอยู่ใกล้เมืองแออัดได้อย่างไร”
“ท่านคิดอย่างนั้นแน่หรือ?” หลี่ถังไม่ไว้ใจ
เจี้ยนอวี่ทราบว่าเขากำลังจับผิดนาง แม้ภายนอกจะไร้ซึ่งพิรุธใดๆแต่ภายในนางกำลังก่นด่าสลับกับชื่นชมในการควบคุมอาการไม่ให้ตื่นตระหนกของตนเอง นางหันเหความสนใจโดยวิ่งลงจากรถม้าของตนไปยังรถม้าขององค์ชายแปด
“ถวายบังคมเพคะองค์ชาย”
“มีอันใด?” เสียงในรถม้าตอบกลับมา
เจี้ยนอวี่จึงเอ่ยต่อ “ตัวข้าไม่เคยมาต่างเมือง อยากอยู่เที่ยวชมภายในเมืองได้หรือไม่เพคะ?”
“ข้ามีราชกิจต้องจัดการยังค่ายทหารทัพสกุลหวัง”
เหมือนเป็นการยื่นคำขาด แต่นางเตรียมคำแย้งไว้แล้ว ถึงได้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“เหตุใดไม่ให้ท่านแม่ทัพมาพบพระองค์ล่ะเพคะ”
“เจี้ยนอวี่”
เสียงเข้มดังออกมากจากรถม้า
เจี้ยนอวี่ตกใจ ก้มหน้า กล่าวเสียงสั่น
“ขอประทานอภัยเพคะ บ่าวเพียงตื่นเต้นที่ได้มาต่างเมือง เจี้ยนอวี่ผิดไปแล้ว เจี้ยนอวี่เอาแต่ใจตนเอง ขอพระองค์ทรงลงโทษ”
ถ้อยน้ำเสียงสั่นเบาหวิวเจือไปด้วยเสียงสะอื้นน้อยๆ แม้นเมิ่งหลานจะมีอนุมากมายในวัง ทุกผู้ล้วนมีมารยาร้อยเล่มเกวียน แต่เด็กสาวผู้นี้พึ่งเข้าวัยสิบเจ็ด จากบ้านจากเมืองมาไกล ทำเพื่อครอบครัว
‘เอาเถิด บางทีตนอาจจะเข้มงวดจนเกินไป นางเป็นเพียงสตรีวัยสิบเจ็ด จากการเดินทางร่วมกันมาสองวัน แม้นจะทำตัวชอบเรียกร้องต่างๆทั้งพิลึกพิลั่นไปมาก แต่นางก็รู้จุดยืนของตน ไม่เคยเซ้าซี้ให้ต้องรำคาญใจและไม่มีพิษมีภัยเช่นที่กังวล’
ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น ปรากฏร่างของบุรุษรูปงามสง่า เพียงมองก็ทราบแล้วว่าต่างจากบุคคลธรรมดาทั่วไป มือเรียวขาวงดงามยื่นออกมา ตามด้วยประโยคสั้นๆจากน้ำเสียงทุ้ม
“ขึ้นมาเถิด”
เจี้ยนอวี่ตกใจ อดสะดุ้งไม่น้อย
เมิ่งหลานเห็นก็คิดว่านางคงเสียใจและหวาดกลัวตน จึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง ยอมออกมาจากรถม้า กระโดดลงมาเหยียบบนพื้น โชคดีที่บริเวณนี้ไร้คนเพราะปิดทางและถนนไว้เรียบร้อยแล้ว หากมีคนพบเห็นเรือนกายงามสง่านี้ อาจตกใจเป็นลมหรือหลงใหลจนยอมมาถวายตัวเป็นอนุอีกเป็นแน่
“ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมสักรอบ”
ประโยคสั้นๆทื่อๆแต่ได้ใจความ เจี้ยนอวี่เงยหน้าขึ้น ก่อนจะรีบก้มหน้าลง
ตั้งแต่เห็นเขาเต็มตานางก็ไม่กล้าสบตาหรือมองหน้าอีก เหตุใดตนไม่สังเกตเห็นว่า บุรุษผู้นี้รูปงามเกินมนุษย์ หากนางพบเขาในยามปกติ ไม่มีเรื่องความฝันบ้าๆนี้ล่ะก็ นางก็คงไม่อาจจะบอกตนได้ว่า ที่ยอมเป็นอนุองค์ชายแปดเพราะไม่ได้หลงใหลเขาเช่นสตรีมากมาย ไม่น่าเหล่า พระองค์ถึงได้มีอนุมากมายทั้งที่วัยเพียงยี่สิบกว่า
บุรุษบางผู้ใบหน้าหล่อเหลาแต่ไม่สง่างาม
บางผู้สง่างามแต่ไร้ซึ่งเสน่ห์
บางผู้ได้ทั้งเสน่ห์ ทั้งความสง่างามหล่อเหลา แต่ร่างกายไม่สมส่วน
ต่างจากองค์ชายแปดผู้นี้ ล้วนครอบครองทั้ง ความรูปงามสง่า เสน่ห์อันน่าตรึงตรา และเรือนกายสูงหนาดุจชายชาตรี
นางที่ว่าสูงแล้ว ยามยืนกับองค์ชายแปด ความสูงยังห่างกันหลายช่วงตัว สูงเพียงแค่ไหล่ขององค์ชายเท่านั้น
เจี้ยนอวี่ย่อกายถอนสายบัว กล่าวขอบคุณ
“ขอบพระทัยเพคะ”
เมิ่งหลานพยักหน้า หันไปรับสั่งต่อหลี่ถัง
“เจ้านำคณะแลรถม้าไปที่ค่าย สักยามเซิน1 มารับข้ากับนาง”
หลี่ถังรับคำสั่ง อดจะจ้องเขม็งแม่ชายาคนใหม่ที่แสบไม่เบาผู้นี้
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
“ท่านหลี่ ยามเดินทาง มองนกมองกิ่งไม้บ้างนะเจ้าคะ”
เจี้ยนอวี่ตะโกนบอก หลี่ถังหันหลังกลับมามองนางเล็กน้อย คิดในใจว่านางคงต้องการหยอกตนเล่น จึงไม่คิดใส่ใจ
เจี้ยนอวี่ถอนหายใจ นางเพียงทำได้เท่านี้แหละหนา หวังว่า จะมีคนเสียชีวิตน้อยกว่าในความฝัน
“ใยเจ้าชอบหยอกหลี่ถังเล่น เขาไม่เล่นกับเจ้าหรอกหนา”
เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือหัว
เจี้ยนอวี่เงยหน้าโต้กลับ แต่เมื่อสบตากับดวงตาคมทรงเสน่ห์นั้นก็รีบหลบ
“ข้าไม่ได้หยอกเล่นนะเพคะ”
เมิ่งหลานไม่เก็บมาใส่ใจ คว้าข้อมือบางไปจับแล้วเดินนำไป โดยไม่หันกลับมามองคนที่หน้าแดงก่ำราวผลผิงกั่ว2นี้
เจี้ยนอวี่ขนลุกไปทั้งตัว เมื่อถูกองค์ชายแตะเนื้อต้องตัวเช่นนี้ มิใช่ว่านางรังเกียจ หรือหวงตัว อาการขนลุกนี้ช่างประหลาด เหมือนมีความเย็นและร้อนวิ่งพล่านไปทั่วกายขึ้นไปสุมอยู่ที่หน้า นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เพียงทราบแค่ว่า ไม่ได้เป็นความรู้สึกรังเกียจ
*******
ด้านหลี่ถัง องครักษ์หนุ่มนำขบวนเดินทางมายังค่ายทหารทัพสกุลหวัง พื้นที่เปลี่ยวเพราะไม่มีผู้ใดมาใช้เส้นทางนี้ หากไม่ใช่ทหารในค่ายหรือผู้มีธุระในค่าย ชาวบ้านปกติที่ไม่มีธุระใดๆก็ไม่เฉียดกายมาที่แห่งนี้
ต้นไม้ขึ้นสูงตลอดทาง นี่ไม่ใช่ยามกลางคืน แต่เส้นทางกลับเงียบสงัดเหลือเกิน ไร้เสียงนก เสียงใบไม้ไหว แม้แต่เสียงแมลงไม้ก็ไม่มี ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกเขาว่านี่มันประหลาดเกินไปเสียแล้ว ดวงตาที่คมกริบมองไปรอบๆบริเวณ พอมองขึ้นบนต้นไม้
พลัน! เห็นเงาดำเงาหนึ่ง หลี่ถังรีบตะโกนร้องเตือนทุกคนในทันที
“ทุกคน ระวัง นี่เป็นกำดัก!”
สิ้นเสียงตะโกนบอก ธนูนับร้อยก็พุ่งมาจากต้นไม้รอบๆ มันพุ่งเข้าหารถม้าที่หลี่ถังบังคับอยู่ ในตอนนั้นเอง เขาก็ทราบว่าพวกมันต้องการจะสังหารผู้ใด
“ไป!”
หลี่ถังตะโกนร้อง รถม้าทั้งแปดรีบห่อตะบึงวิ่ง ไร้ความเป็นระเบียบ ยังดีที่ผู้ที่เดินทางในขณะนี้ล้วนเป็นทหารองครักษจึงไม่มีความตื่นตระหนกหวาดกลัว เพียงเสี้ยวเดียวก็มีสติ ทหารองครักษกระโดดลงมาจากรถม้า พุ่งไปยังต้นไม้ ได้ยินเสียง ฉับ ฉับ มือสังหารไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง ก็ร่วงหล่นลงมาราวกับแมลง
หลี่ถังใบหน้าถมึงทึง ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด อดคิดในใจไม่ได้ว่า หากองค์ชายอยู่ภายในรถม้าคงต้องแย่แล้วเป็นแน่
“ส่งคนไปแจ้งแก่แม่ทัพหวัง ข้าจะไปแจ้งแก่องค์ชาย”
ทหารองครักษ์ต่างรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง
“ขอรับท่านหัวหน้าราชองครักษ์หลี่”
หลี่ถังนำม้ามาตัวหนึ่ง ควบย้อนกลับไป ระหว่างห่อตะบึงม้าไปหาองค์ชายแปด อยู่ๆคำของชายาเจี้ยนอวี่ผู้นั้นก็ดังขึ้นมาในหัว
‘ท่านหลี่ ยามเดินทาง มองนกมองกิ่งไม้บ้างนะเจ้าคะ’
เหตุใด นางจึงพูดเช่นนั้น นี่มัน ประหลาดเกินไปแล้ว