บทที่ ๕ ชายาคนใหม่
บทที่ ๕
ชายาคนใหม่
จวนสกุลเจี้ยน เรือนใหญ่ประมุขเจี้ยนฟั่น คืนนี้เรือนใหญ่ช่างยาวนานยิ่งนัก
ภายในโถงกว้างด้านใน ทั้งองค์ชายแปด องครักษ์หลี่ถัง เศรษฐีเจี้ยนฟั่น เจี้ยนอวี่ และ เจี้ยนฮูหยินเสียนฮวา ทั้งหมดตัดสินใจได้หลังจากรวบรวมสติที่หลุดลอยหายไปให้กลับคืนมาเชื้อเชิญองค์ชายให้นั่งลงยังโต๊ะรับแขก น้ำชาอุ่นร้อนถูกวางไว้ด้านหน้ามีเพียงองค์ชายแปดและผู้ติดตามหลี่ถังที่ยกชาขึ้นจิบ ส่วนครอบครัวสกุลเจี้ยนนั้นพากันนั่งนิ่งตัวลีบแบนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาผู้สูงศักดิ์
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เจี้ยนฟั่นถึงเอ่ยขึ้น
“อะ องค์ชายแปดพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม” องค์ชายแปดนามเมิ่งหลานรับคำในรับคอ นัยน์ตาจดจ้องอยู่ที่น้ำตกจำลองด้านข้าง
เจี้ยนฟั่นตัวเกร็งรวบรวมความกล้า กล่าวออกไป
“บ่าวและครอบครัว ขอองค์ชายทรงอภัยโทษที่ได้กระทำการล่วงเกินด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอองค์ชายทรงอภัยด้วยเพคะ”
ทั้งสามกล่าวพร้อมคุกเข่า ประสานมือโน้มกายลงจรดศรีษะกับพื้น
นิ่งและนาน กว่าองค์ชายแปดจะตอบรับ พระองค์ลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดลงเบื้องหน้าของเจี้ยนอวี่ รับสั่งนิ่งๆ
“เงยหน้าขึ้น เจ้าน่ะ”
เจี้ยนอวี่สะดุ้งน้อยๆ หลับตานับหนึ่งถึงสิบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น เมื่อพินิจดีๆแล้ว ดวงหน้าเรียวรูปไข่ขาวผ่องเนียนละเอียด ดวงตากลมโตคมกริบรับกับแผงขนตายาวงอนหายาก จมูกโด่งปลายเรียวเล็ก ริมฝีปากสีแดงเป็นกระจับ สตรีในวังนั้นล้วนงดงามราวกับเซียนสตรีบนสวรรค์ แม้สตรีผู้นี้จะบอกได้ว่างามและงดงามอย่างมาก แต่ก็ใช่ว่าจะโดนเด่นกว่าสตรีในวัง
“เจ้าอยากแต่งเป็นอนุข้าจริงหรือ?”
แม้องค์ชายจะใช้น้ำเสียงราบเรียบ ไร้แววกดดัน คล้ายเป็นคำถามที่อยากทราบมากกว่า แต่ในยามนี้ นางจ้องตากับพระองค์อยู่ ย่อมรู้ว่า คำถามที่เหมือนอยากรู้นั้น แท้แล้วพระองค์มิได้อยากทราบ แต่เพียงหยั่งเชิงนางเท่านั้น
“เพคะ”
“ที่เจ้าอยากแต่งเป็นอนุข้า เพราะอยากตอบแทน หรือกลัวว่าครอบครัวเจ้าจะถูกลงทัณฑ์”
“บ่าวอยากตอบแทนพระองค์และลบมลทินที่ถูกถอนหมั้น ถึงบ่าวไม่เป็นอนุพระองค์ อย่างไร ก็ต้องเป็นอนุชายใดสักจวน สตรีที่ถูกถอนหมั้นเช่นบ่าว ใครหรือจะแต่งไปเป็นภรรยาเอก องค์ชายแปดเป็นโอรสสวรรค์โปรดทรงช่วยเหลือสตรีต่ำต้อยที่ตกยากผู้นี้ด้วยเถิดเพคะ”
“ดี! ข้าชอบสตรีที่ฉลาดในการตอบ ได้ วันรุ่ง เจ้าเก็บสัมภาระไปเมืองหลวงพร้อมกับข้า”
“หา!”
ไม่เพียงเจี้ยนอวี่ที่อุทานออกมา เจี้ยนฟั่นและเจี้ยนฮูหยินก็ตกใจลืมความกลัวเงยหน้าและร้องอุทานออกมาเฉกเช่นกัน
องค์ชายแปดเลิกคิ้วเอ่ยถาม
“ทำไม ไม่พอใจหรือ?”
“ไม่ ไม่เพคะ ขอบพระทัยองค์ชายแปด”
“เช่นนั้นหมดเรื่องแล้ว พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด ส่วนเจ้า เตรียมสัมภาระให้พร้อม”
ทั้งสามลุกขึ้น ถวายบังคมองค์ชายแปดที่หันกายออกไปจากเรือนเมื่อรับสั่งเสร็จ
เมื่อองค์ชายแปดไปแล้ว เหลือเพียงเจี้ยนอวี่และบิดามารดา ทั้งสามหันมามองหน้ากัน แม้นพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่กลับไม่ดีใจเลยที่ลูกสาวที่รักดั่งแก้วตาดวงใจนั้นจะออกเรือนไปเป็นอนุองค์ชายแปด
องค์ชายแปด นามเมิ่งหลาน มีชื่อเสียงเรื่องลือถึงความเก่งกาจ องค์ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน มีสิทธ์มากที่จะถูกแต่งตั้งเป็นไท่จื่อ ยามนี้ ดำรงตำแหน่ง จวิ้นหวัง ความก้าวหน้าสูง ภายภาคหน้า เจี้ยนอวี่อาจได้เป็นสนมมีชีวิตสุขสบายไม่น้อย สกุลเจี้ยนก็จะได้ผูกมิตรกับคนในราชวงศ์ แต่ องค์ชายแปดนั้นก็ขึ้นชื่อเรื่องมากอนุเช่นกัน อายุเพียงยี่สิบปีก็มีอนุในวังมากถึงสิบคน มิมีอนุผู้ใดถูกแต่งตั้งเป็นชายาเอกแม้แต่คนเดียว แสดงถึงความ รักง่ายหน่ายเร็วขององค์ชายแปด แล้วเช่นนี้ เขาเจี้ยนฟั่นที่รักบุตรสาวมากเพียงนี้ จะดีใจได้อย่างไร ในวังการแก่งแย่งชิงดีสูงยิ่ง อวี่เออร์ไม่รู้จะต้องประสบพบเจอสิ่งใด
เจี้ยนอวี่ทราบดีถึงข้อนี้ นางยืดตัวตรง ประสานมือคุกเข่าลง โน้มศรีษะแตะกับพื้นกล่าวประโยคที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“บุตรขอขมาโทษแก่บิดามารดา ลูกสาวผู้นี้นำแต่ความเสื่อมเสียทุกข์ใจมาให้ ครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ลูกอกตัญญูคนนี้จะทำ ขอให้บิดามารดาอวยพรลูกทีเจ้าค่ะ”
จบประโยค เจี้ยนฮูหยินก็ทรุดกายลงสวมกอดบุตรสาวร่ำไห้ดังลั่นจวน
เจี้ยนฟั่นน้ำตาคลอ ไม่ต่างจากเจี้ยนอวี่ที่กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลจนตาแดงก่ำ
ชีวิตหนอ เหตุใดมาถึงจุดนี้ได้กัน
*******
เพียงชั่วยามหลังจากนั้น เจี้ยนอวี่แลบ่าวไพร่มิได้หลับได้นอนกันทั้งคืน ด้วยต่างช่วยกันเก็บข้าวของ ของคุณหนูใหญ่ ข่าวการเป็นอนุองค์ชายแปดของเจี้ยนอวี่แพร่สะพัดไปไวเยี่ยงไฟลามทุ่ง ผู้คนได้ยินต่างทั้งอิจฉาและยินดี จวนอื่นล้วนเสียดาย อดสงสัยไม่ได้ว่าเศรษฐีเจี้ยนฟั่นทราบได้อย่างไรว่าองค์ชายแปดเสด็จมาที่นี่
บ้างก็ว่าเป็นโชคหลังเกิดเรื่องร้ายๆ บ้างก็ว่าเศรษฐีเจี้ยนฟั่นถูกคนหลอก ผู้คนในเมืองล้วนแห่กันมาหน้าจวนสกุลเจี้ยน
รถม้าสิบคันจอดเรียงกันหน้าจวน รถม้าสองคันนั้นหรูหรากว่ารถม้าคันอื่นๆ แต่ที่หรูหราที่สุด ทั้งมีธงสัญลักษณ์เชื้อพระวงศ์เสียบไว้ คือรถม้าคันหน้า ไม่เพียงรถม้าที่มากแล้ว อีกทั้งยังมีทหารสวมเครื่องแบบองครักษ์นั่งอยู่บนอาชาปิดทั้งหน้า ข้าง ท้าย
บ่าวไพร่ต่างขนของไปที่รถม้าธรรมดาอีกแปดคัน เพียงข้าวของสมบัติของสกุลเจี้ยนก็อลังการมากแล้ว คาดว่ารถม้าแปดคันนั้นเป็นรถม้าที่สกุลเจี้ยนจ้างมาขนของให้คุณหนูใหญ่เจี้ยนอวี่เป็นแน่
ประตูจวนด้านใน เจี้ยนอวี่และครอบครัวประกอบไปด้วย บิดาเจี้ยนฟั่น มารดาเสียนฮวา และแม่รองแม่สาม น้องชายน้องสาว ยืนอำลากันอยู่
“ไปอยู่ในวังระเบียบเคร่งครัด เจ้าต้องระวังให้มากนะ ห้ามเอาแต่ใจ เป็นภรรยาที่ดีต่อสามี เป็นแม่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีต่อบุตร หากมีโอกาส กลับมาหาแม่บ้างนะ ที่นี่จะเป็นบ้านของเจ้าเสมอ”
เสียนฮวาอวยพรพลางกอดบุตรสาว น้ำตาของเจี้ยนฮูหยินเอ่อคลอจวนจะไหล
“เจ้าค่ะ”
เจี้ยนอวี่รับคำ พลางผละออก หันไปหาเจี้ยนหลิง น้องชายของนาง
“ฝากดูแลท่านแม่และท่านพ่อ ฝากดูแลแม่รองแม่สาม และน้องๆของเจ้าด้วยหนา อาหลิง”
เจี้ยนหลิงรับคำ “ขอรับ พี่หญิง”
เจี้ยนอวี่ยิ้มอ่อน ลูบหัวน้องชาย เมื่อกล่าวลาครบทุกคนแล้ว ก็เหลือคนสุดท้ายที่ยืนห่างออกไปไกล ท่านพ่อของนาง
เจี้ยนอวี่รู้ดีว่าการตัดสินใจของนาง ท่านพ่อไม่เห็นด้วย และโกรธมาก เป็นเพราะท่านรักนางมาก แต่เรื่องนี้ ตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนใจได้
เจี้ยนอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆยืดตัวตรง ประสานมือโน้มกายลงทำความเคารพบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะยืดตัวขึ้น หันหลัง ประตูจวนเปิดออก นางเดินช้าๆไปที่รถม้าประดับผ้าม่านสีแดง เมื่อขึ้นมานั่งบนรถแล้ว ได้ยินเสียงตะโกนว่า ‘ไป’ รถม้าจึงเคลื่อนตัวเป็นขบวน
ประตูจวนปิดลง เจี้ยนฟั่นหลับตา ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เขา ทำหน้าที่พ่อ ได้ดีที่สุดแล้ว
*******
ก่อนหน้านั้นราวชั่วยาม
“บ่าวมีเรื่องจะขอร้ององค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
เจี้ยนฟั่นโน้มกายลงกล่าวอย่างนอบน้อม
องค์ชายแปดที่นั่งจิบชาอยู่ เอ่ยถาม
“อันใด?”
เจี้ยนฟั่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกล่าวออกไป
“บ่าวรักบุตรสาวมาก นางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของบ่าวอยากจะขอร้ององค์ชาย โปรดประทานเรือนให้เจี้ยนอวี่อยู่คนเดียวได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เจ้า….”
“บ่าวทราบว่าขอมากไป แต่องค์ชายโปรดเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เมิ่งหลานประหลาดใจและรู้สึกชื่นชมความใจกล้าของประมุขเจี้ยนไม่ได้
องค์ชายแปดลุกขึ้นยืน ก่อนจะตรัสว่า
“ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดรักลูกมากเท่าเจ้าแล้ว ได้ ข้าจะประทานเรือนให้นางอยู่ผู้เดียว”
เจี้ยนฟั่นคุกเข่าลงก้มศรีษะติดกับพื้นกล่าวขอบพระทัยองค์ชายแปด
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
กลับมายังปัจจุบัน เศรษฐีเจี้ยนฟั่นยืนมองจนประตูปิดสนิท ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ขอให้เจ้าอยู่รอดปลอดภัยนะอวี่เออร์”