บท
ตั้งค่า

บทที่ ๔ ฝันนำบุพเพ

บทที่ ๔

ฝันนำบุพเพ

รถม้าวิ่งมาหยุดลงที่หน้าประตูจวนหลังหนึ่ง เจี้ยนฟั่นเลิกผ้าม่านขึ้นดู เมื่อเห็นว่าเป็นหน้าประตูจวนของตนก็ปิดม่าน หันกลับมากล่าวกับบุรุษเจ้าของรถม้า

“ขอบพระคุณนายท่านที่ช่วยเหลือข้ากับบุตรสาว”

ผู้มีพระคุณมองมาทางเจี้ยนฟั่น กล่าวตอบสั้นๆน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“อืม”

เศรษฐีเจี้ยนฟั่นเผยยิ้ม กล่าวต่อ “ข้าอยากตอบแทนนายท่าน ตัวข้านามเจี้ยนฟั่น บุตรสาวข้าเจี้ยนอวี่ ดูแล้วนายท่านเป็นคนต่างถิ่น หากไม่รังเกียจ ข้าขอตอบแทนนายท่านได้หรือไม่ขอรับ?”

เจี้ยนอวี่ลอบมองเขา เขาไม่ตอบรับในทันที คล้ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ครู่หนึ่งเขาถึงได้เอ่ยถาม

“เจ้าจะตอบแทนด้วยสิ่งใด?”

เศรษฐีเจี้ยนฟั่นยิ้มดีใจ เอ่ยตอบน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี

“หากไม่รังเกียจ ข้าอยากเชิญนายท่านไปพักที่บ้านข้าสักคืน ข้าจะเลี้ยงอาหารตอบแทนท่าน หากท่านยังไม่มีที่พัก พักบ้านของข้า ย่อมดีกว่าพักโรงเตี๊ยมนะขอรับ”

เศรษฐีเจี้ยนฟั่นทั้งอธิบายและหว่านล้อม ด้วยหากไม่ใช่ครั้งนี้คนทั้งสองผ่านทางมา ทั้งยังยอมช่วยเหลือ ตนกับอวี่เอ๋อร์ก็ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นเช่นไร คิดแล้วยังรู้สึกใจหายไม่หาย ไม่อาจทราบว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

เจี้ยนอวี่เห็นเขานิ่งไปนานก็เกรงว่าเขาจะปฏิเสธจึงได้กล่าวเสริม

“ได้โปรดนายท่านได้ให้พวกข้าได้ตอบแทนด้วยเถิดเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางก้มศรีษะลง

บุรุษปรายตามองเจี้ยนอวี่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย กล่าวสั้นๆ

“เช่นนั้นก็เอาตามนั้นเถิด”

พ่อลูกเมื่อได้ยินคำตอบก็ยิ้มยินดี รีบขอบคุณผู้มีพระคุณผู้นี้

“ขอบพระคุณนายท่านขอรับ”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

“ตัวข้านาม เมิ่งหลาน ส่วนคนของข้า หลี่ถัง พวกเจ้าเรียกเช่นนี้เถิด”

เจี้ยนฟั่นและบุตรสาวตอบรับ ก่อนรถม้าจะแล่นเข้าไปในจวนสกุลเจี้ยน

*******

ในยามค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ยิ่งทำให้คนบนหลังคาถูกกลืนหายเข้าไปในความมืดจนสังเกตไม่ได้

‘เงาหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนจะเงื้อมือขึ้นสูง ปรากฏมีดสีเงินคมกริบ ไม่ทันได้ผ่อนลมหายใจออกเงาดำนั้นก็เสียบมีดลงกลางอกทันใด

“ไม่!!!!”’

เจี้ยนอวี่สะดุ้งตื่นสุดตัว ดวงตางามเบิกกว้างปรากฏรอยหวาดหวั่นระคนหวาดกลัวอยู่ในที นางหันไปมองนอกหน้าต่าง ฟ้ายังคงมืดสนิท ไม่ทันได้คิด เจี้ยนอวี่สลัดผ้าห่ม วิ่งออกจากห้องโดยไม่สวมรองเท้า นางวิ่งลงบันไดไปข้างล่าง ออกจากเรือน

จิตใจยามนี้พะว้าพะวังถึง เมิ่งหลาน ผู้นั้นที่ได้ช่วยเหลือตนและบิดา

ยามนี้ ขนาดวิ่งสุดตัวยังรู้สึกว่าช้านัก เรือนก็อยู่ไกลนัก จิตใจร้อนรน ได้แต่ภาวนาในใจว่า ‘ขอให้ทัน ขอให้ทัน อย่าเป็นอะไรไปนะ’

เจี้ยนอวี่วิ่งมาหยุดที่ประตูหน้าเรือน ‘ชุน’ ประตูถูกปิดไว้เช่นความฝัน ใจนางไม่คลายกังวลลงเลย

เจี้ยนอวี่ดันประตูออกเบาๆ ดังที่คาดเดา ประตูมิได้ลงกลอน นางก้าวเข้าไปด้านใน สวนกว้างแสนสวยของเรือนชุนปรากฏสู่สายตาแต่ยามนี้นางมิมีอารมณ์ชื่นชม นางเดินช้าๆให้เบาที่สุดไปยังเรือนไม้ชั้นเดียว ด้วยหัวใจที่เต้นแรงราวกับจะวายตายเสียให้ได้ เม็ดเหงื่อบนใบหน้าผุดขึ้นมาเรื่อยๆทั้งที่อากาศเย็นจัด เมื่อเข้ามาถึงตัวเรือนแล้วเจี้ยนอวี่ก็ตรงเข้าไปยังห้องของท่านเมิ่งตามที่เห็นในฝัน ประตูเปิดออกเบาๆ ภายในห้องกว้างตกแต่งด้วยไม้แท้หรูหรา เตียงสี่เสามีคนนอนอยู่

เจี้ยนอวี่ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าท่านเมิ่งยังนอนอยู่บนเตียง นางเดินเข้าไปใกล้ๆเตียง หวังเพียงต้องการตรวจสอบว่าเขามิได้ถูกฆ่าเช่นในฝัน ในตอนนั้นเองเมื่อนางยื่นหน้าเข้าไปสำรวจใกล้ๆ คนที่นอนหลับอยู่ก็ลืมตาโพล่ง นางตกใจร้องเสียงหลง

“อะ” นางหงายหลังล้มลงกับพื้น

เมิ่งหลานลุกขึ้นนั่ง มองเจี้ยนอวี่ด้วยแววตาที่น่ากลัว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นชวนผวา

“คุณหนูเจี้ยน เหตุใดมาที่นี่ยามวิกาล?”

“ปล่อย ปล่อยข้านะเจ้าคะ ปล่อย”

เจี้ยนอวี่ทั้งร้องทั้งดิ้น แต่มือใหญ่ที่กุมรอบข้อมือนางก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุด ร่างที่สูงกว่า ใหญ่โตกว่าลากนางออกจากเรือนชุน มุ่งไปยังเรือนใหญ่ ไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าเขาจะพานางไปหาบิดาและมารดา

“คุณหนูเจี้ยน ข้าแนะนำว่าคุณหนูหยุดโวยวายเถิด หากไม่อยากให้คนทั้งจวนตื่นมาดูท่าน”

หลี่ถังที่ทนรำคาญเสียงแหลมดังของสตรีไม่ได้จำต้องเอ่ยปากเตือน

เจี้ยนอวี่คล้ายนึกขึ้นได้ จึงจำยอมเบาเสียงลงแต่ยังไม่หยุดพูด

“ท่านเมิ่ง ข้ามิได้มีเจตนามิดี ได้โปรดท่านปล่อยข้าไปเถิดเจ้าค่ะ”

“เจ้าไปที่เรือนนั้นทำไม?” เมิ่งหลานถามกลับ

เจี้ยนอวี่พลันพูดไม่ออก ติดค้างอยู่ที่ลำคอ นางทำได้เพียงอ้าปากแล้วก็หุบ อ้าแล้วก็หุบอยู่เช่นนั้น

เมิ่งหลานปรายตามองนาง แสยะยิ้ม กล่าวน้ำเสียงเหี้ยม

“เช่นนั้นก็ไปตอบต่อหน้าประมุขเจี้ยนเถิด”

เจี้ยนอวี่อยากหวีดร้อง

‘นางทำคุณบูชาโทษแท้ๆ’

‘เป็นเช่นนี้น่าจะปล่อยให้เขาตายไปเสีย’

‘มิได้สิ หากเขาตายในเรือนตน เรื่องก็จะใหญ่ ทำอย่างไรดี อวี่ จะทำอย่างไรดี’

เมิ่งหลานเห็นนางนิ่งไปก็คิดว่านางคงต้องคิดหาวิธีแก้ตัวเป็นแน่ ทั้งลากทั้งถูกันมา ในที่สุดก็ถึงเรือนใหญ่ หลี่ถังผลักประตูให้เปิด เดินตรงเข้าไปในเรือน ตะโกนร้องเรียกเจ้าของเรือนเสียงดังไปทั่ว

“ประมุขเจี้ยน ประมุขเจี้ยน!”

ประตูห้องหนึ่งเปิดออก เจี้ยนฟั่นในชุดนอนผ้าไหมเดินออกมา หรี่ตามอง เห็นเป็นผู้มีพระคุณทั้งสองกับบุตรสาวตนก็ประหลาดใจ รีบเดินเข้ามาใกล้ๆ ร้องถาม

“เกิดอันใดขึ้นขอรับ เหตุใดถึงมาในยามวิกาลเช่นนี้?”

เมิ่งหลานปรายตาคมมองเจี้ยนอวี่ด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะผลักร่างของนางไปทางบิดา

เจี้ยนฟั่นรับลูกสาวไว้ได้ คล้ายเพียงเขาผลักเบาๆ แต่นางกลับทรงตัวไม่อยู่ เจี้ยนฟั่นยิ่งไม่เข้าใจหนัก

‘เกิดเหตุอันใดขึ้นกัน’

“เหตุใดทำรุนแรงกันเช่นนี้?”

เจี้ยนฟั่นทั้งสงสัยและไม่พอใจ ถึงจะเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต แต่มาทำกับบุตรสาวเขาเช่นนี้ไม่ได้

เมิ่งหลานแสยะยิ้ม ไม่อ้อมค้อม ตอบคำถามเจี้ยนฟั่น

“บุตรสาวท่านย่องไปหาข้ากลางดึกจะให้ทำดีเพียงใดกัน”

“หา!” เจี้ยนฟั่นร้องอุทานหันไปมองบุตรสาวทันใด ตามมาด้วยเสียงอุทานอีกหนึ่งเสียง

“ว่าอย่างไรนะ!”

เป็นเจี้ยนฮูหยินที่ตามออกมาทีหลังนั่นเอง

เจี้ยนอวี่รู้สึกอับอายทั้งรู้สึกผิด

เจี้ยนฟั่นหันไปร้องถามบุตรสาวอย่างไม่อยากเชื่อ

“จริงหรืออวี่เออร์”

เจี้ยนอวี่ก้มหน้า รับคำเสียงเบา “จริงเจ้าค่ะ”

“โอ้ บรรพบุรุษ ข้าจะเป็นลม”

เจี้ยนฮูหยินเอ่ยออกมา ก่อนจะเซไปชนกับผนังไม้

เจี้ยนฟั่นรีบเข้าไปประคองภรรยา พาไปนั่งยังโต๊ะใกล้ๆ ร้องเรียกสาวใช้

“ใครก็ได้เอายาลมมาให้ฮูหยินที”

เจี้ยนอวี่มองมารดาด้วยแววตารู้สึกผิด ความฝันบ้าๆ ทำให้นางนำความเสื่อมเสียมาให้บิดา มารดาแลวงตระกูล

“อวี่เออร์ ใยเจ้ากระทำการไม่สมเป็นสตรีเยี่ยงนี้”

เจี้ยนฟั่นหันมาถามน้ำเสียงอ่อนล้า หลายเดือนมานี้ อวี่เออร์ทำตัวไม่สมกับเป็นอวี่เออร์เลยแม้แต่น้อย

“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ขอโทษท่านเมิ่งและท่านหลี่ด้วย”

เจี้ยนฟั่นถอนหายใจ ผละออกจากภรรยา เดินมายืนต่อหน้าผู้มีพระคุณทั้งสอง ก่อนจะผสานมือโน้มกายลง

“หลายเดือนมานี้บุตรสาวข้าป่วยหนัก นางมิใคร่ปกตินัก ใต้เท้าทั้งสองอย่าถือสาหาความกับนางเลยขอรับ”

เมิ่งหลานหัวเราะในใจ ชายผู้นี้ รักลูกสาวนักหนา รักขนาดเลี้ยงผิดๆ ตามใจจนลูกสาวเป็นเช่นนี้ เขาอยากจะปล่อยไปอยู่หรอก หากไม่ใช่ว่า ตนทราบมาตลอดทางว่ามีนักฆ่าหมายเอาชีวิต บางที บุตรสาวสกุลเจี้ยนผู้นี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือรวมถึงสกุลเจี้ยนด้วย

‘อยู่ๆพ่อลูกสกุลเจี้ยนก็ปรากฏตัว อยู่ๆเจี้ยนอวี่ก็ไปที่เรือนที่ตนพำนัก มันจะบังเอิญเกินไปหรือไม่’

“เห็นทีจะไม่ได้”

เจี้ยนฟั่นถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืดตัวตรง แววตาและกลิ่นอายนอบน้อมจางหายไป แทนที่ด้วยความยโสโอหังเช่นปกติ

“ข้าขอให้ท่านทั้งสองปิดเป็นความลับ อยากจะได้เงินทองเท่าใดก็ว่ามา”

เมิ่งหลานเลิกคิ้วขึ้นคล้ายประหลาดใจ ตอนแรกตนคิดว่าจะได้เห็นอะไรอย่างที่คาดหวัง เป็นหลี่ถังเองที่ทนไม่ได้ ตวาดใส่เจี้ยนฟั่น

“บังอาจ เจ้าทราบหรือไม่ว่าคนผู้นี้มีฐานะใด พ่อค้าวาณิชต่ำต้อยเช่นเจ้ามิหวั่นกลัวคอจะหลุดออกจากบ่ารึ”

“ข้ามิได้ต้องการจะดูถูกเหยียดหยามพวกท่าน ข้าเพียงมิอยากให้บุตรสาวต้องเสื่อมเสียเพียงเท่านั้น”

หลี่ถังร้องเหอะ เอ่ยขึ้น “สิ่งที่บุตรสาวเจ้ากระทำนั้นมีความผิด ลอบปลงพระชนม์องค์ชายแห่งแคว้น จะให้พวกข้าปล่อยไปได้อย่างไร”

ทั้งเจี้ยนอวี่และเจี้ยนฟั่น พลันตะลึงงัน หันไปมองบุรุษรูปงามที่ช่วยชีวิตพวกเขา

เจี้ยนฟั่นถามเสียงสั่นเทา “วะ ว่า อย่างไรนะ นะขอรับ?”

หลี่ถังยืดตัวตรง เชิดหน้าขึ้น แจ้งฐานะที่แท้จริงของนายตน

“ผู้นี้ นามโจวเมิ่งหลาน องค์ชายแปด ของแคว้นหนานตง”

สิ้นคำ ร่างของพ่อลูกสกุลเจี้ยนก็ทรุดลงกับพื้น ใบหน้าซีดเผือด

หลี่ถังเหยียดยิ้มพอใจ กล่าวต่อ “บุตรสาวเจ้า ยังหมายจะลอบปลงพระชนม์องค์ชาย ความผิดนี้ ยังปล่อยไปได้อีกหรือ!”

ใจของเจี้ยนอวี่หายวาบ เหตุใดเป็นนาง นางทราบว่าเขาจะถูกฆ่า นางเพียงไปเพื่อช่วยเหลือ เหตุใดเป็นนาง

“ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้กระทำ”

เมิ่งหลานที่ยามนี้กลายเป็นองค์ชายแปด ก้มหน้ามองสตรีบนพื้น พระองค์ยังทรงถามคำเดิม

“เจ้าไปที่เรือนที่ข้าพักด้วยเหตุใด หากไม่หมายจะสังหารข้า”

“ข้า…..” เจี้ยนอวี่กลืนน้ำลายลงคอ นางมิอาจกล่าวความจริงได้ ใครจะเชื่อกัน

“ข้า….ข้า ข้าซาบซึ้งที่ท่านได้ช่วยเหลือ และท่านก็รูปงาม ตัวข้าถูกคู่หมายถอนหมั้น ข้า ข้า ข้าอยากตอบแทนท่านด้วยร่างกายของข้าเจ้าค่ะ”

สิ้นประโยค ทั้งห้องก็พลันตกตะลึง เจี้ยนฮูหยินที่รู้สึกตัวตื่นได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้า ก็เป็นลมล้มลงไปอีก

ไม่เพียงคนอื่นที่ตกใจ นางเองก็ตกใจไม่ต่างกัน นาง นางได้พูดอันใดออกไป

สายลมหนาวพัดผ่านด้านนอกเรือน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแล้วเท่าใด

เจี้ยนอวี่หลับตาลง ตัดสินใจแน่วแน่ นางเงยหน้าขึ้น อ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“หากท่านเป็นองค์ชายแปด โปรดรับข้าเป็นอนุด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel