บท
ตั้งค่า

บทที่ ๓ เพราะเขา

บทที่ ๓

เพราะเขา

อีกวันต่อมา เศรษฐีเจี้ยนฟั่นและฮูหยินใหญ่เสียนฮวา ปรึกษากันว่าจะรักษาเจี้ยนอวี่ ทั้งสองจึงเดินทางไปหานักพรตเลื่องชื่อประจำเมือง นาม เหลียนเต๋า นักพรตเหลียนเต๋า พำนักอยู่ที่ศาลเจ้าพระแม่กวนอิม ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวเมืองกวานลี่ให้ความเคารพนับถือ

สองสามีภรรยานั่งอยู่ด้านหน้าท่านนักพรตชุดขาว บอกกล่าวถึงความทุกข์ใจของตนให้ท่านนักพรตฟัง

“บุตรีของข้า หลังจากประสบเคราะห์ใหญ่ รอดชีวิต ก็ไม่รู้ผีสางตนใดเข้าสิงนาง นางเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ซึมเศร้าหวาดระแวง ทั้งพูดจาฟังไม่เข้าใจ ท่านนักพรต ข้าและสามีทุกข์ใจเหลือเกิน อยากให้ท่านเดินทางไปที่จวนของข้าเพื่อดูอาการของนางได้หรือไม่เจ้าคะ?”

ท่านนักพรตเหลียนเต๋า ฟังจบก็ลืมตาขึ้น กล่าวกับเจี้ยนฮูหยินและเศรษฐีเจี้ยนด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า

“บุตรีของท่าน ทำกรรมหนักปลิดชีวิตตนเอง แต่ยังไม่ถึงเวลาของนาง นางยังคงต้องชดใช้กรรมอีกมาก แต่ท่านทั้งสองไม่ต้องทุกข์ใจไป เมื่อมีข้าอยู่ ข้าจักช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา”

“ขอบพระคุณท่านนักพรต”

สองสามีภรรยาสีหน้าดีขึ้น นัดแนะท่านนักพรตในวันรุ่งขึ้น เสร็จจึงขอตัวกลับจวน

วันรุ่งขึ้นท้องฟ้าแจ่มใส แต่เจี้ยนอวี่ยังคงหมองหม่น ด้วยหาวิธีที่จะช่วยบิดาไม่ได้ อยู่ๆก็มีสาวใช้หลายคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง แจ้งนางว่า บิดาเรียกให้นางไปหาที่เรือนใหญ่

เจี้ยนอวี่เดินตามสาวใช้อย่างว่าง่าย ภายในเรือนใหญ่เต็มไปด้วยสาวใช้ บรรดาแม่ทั้งสามของนาง อีกทั้งบิดาและเจี้ยนหลิง แต่ที่น่าประหลาดใจคือบุรุษในชุดขาวดูสงบนิ่งราวกับเทพเซียน

เขาคือผู้ใด?

เจี้ยนอวี่เกิดความสงสัย หันไปหามารดา มารดาจึงเอ่ยแนะนำ

“นี่ท่านนักพรตเหลียนเต๋าจากศาลเจ้าพระแม่กวนอิม ทำความเคารพท่านสิอวี่เออร์”

เจี้ยนอวี่ผสานมือโน้มกายลงทำความเคารพ กล่าวทักทายท่านนักพรต

“เจี้ยนอวี่คาราวะท่านนักพรต”

นักพรตเหลียนเต๋ากวาดมองทั่วกายคุณหนูใหญ่สกุลเจี้ยน พลางเอ่ยขึ้น

“บิดาและมารดาของแม่นาง ได้มาปรึกษาข้าว่าแม่นางนั้นล้มป่วย รักษาไม่หาย อาการเป็นเช่นไรหรือ?”

เจี้ยนอวี่หันไปหาบิดาและมารดา แล้วคิดในใจด้วยความรู้สึกเสียใจ

‘ท่านพ่อท่านแม่ คิดว่าข้าถูกผีสิง หรือเป็นบ้า หรือ’

“อวี่เออร์ เจ้ามีความทุกข์ใจอันใดก็บอกกล่าวแก่ท่านนักพรต ท่านจะช่วยเจ้า”

เศรษฐีเจี้ยนฟั่นเอ่ยกับบุตรสาว

‘ไม่เพียงบิดามารดาจะไม่เชื่อแล้ว ยังหาว่าตนถูกผีสางนางไม้สิง ถึงขั้นไปเชิญนักพรตมา’

นางเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจนี้ไว้ภายใน หันกลับมาหาท่านนักพรต เอ่ยถาม

“ท่านนักพรต ท่านเคยฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าหรือไม่?”

นักพรตเหลียนเต๋าไม่คาดว่าจะถูกถามเช่นนี้ ทั้งนางยังจ้องตนนิ่งๆ ไร้ซึ่งอาการของคนถูกผีสางนางมารเข้าสิง จึงได้แต่เงียบ พยายามทำความเข้าใจคำถามของนาง แต่เจี้ยนอวี่ไม่รอให้นักพรตได้เอ่ยอันใด นางก็ผสานมือทำความเคารพและจากไป

เจี้ยนฟั่น เสียนฮวาร้องเรียกแต่อวี่เออร์ไม่หันกลับมา จึงหันมากล่าวขออภัยแก่ท่านนักพรต

“ท่านนักพรตโปรดอย่าถือสา ปกติเจี้ยนอวี่นั้นไม่เคยแสดงกิริยาเช่นนี้ คงเป็นเพราะนางป่วย”

นักพรตเหลียนเต๋าส่ายหน้าน้อยๆ ยิ้มบางๆกล่าวกับเศรษฐีเจี้ยนฟั่นและเจี้ยนฮูหยิน

“ข้าไม่ถือสาอันใด อีกอย่าง บุตรสาวท่านไม่เหมือนคนป่วย บางทีนางอาจมีเรื่องอันใดในใจ ท่านทั้งสองก็ลองเปิดใจรับฟังนาง ข้าขอตัวลา”

นักพรตเหลียนเต๋าโค้งกายเล็กน้อย เศรษฐีเจี้ยนและฮูหยินโค้งกายรับ ปล่อยให้ท่านนักพรตเดินออกไปจากเรือน

ด้านเจี้ยนอวี่ นางวิ่งกลับเรือนของตน เมื่อถึงเรือนก็เข้าห้องปิดประตูร้องไห้ นางทราบว่าบิดามารดาหวังดี แต่นางมิได้ถูกผีสางมารร้ายเข้าสิง นางทราบว่ามันยากจะเชื่อ แต่ก็อดน้อยใจมิได้

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดเรื่องเช่นนี้ต้องเกิดกับข้า”

เจี้ยนอวี่ตัดพ้อต่อโชคชะตาก่อนจะก้มหน้าลงกอดเข่าร้องไห้

*******

ค่ำคืนนั้นนางฝันเห็นเหตุการณ์อีกครั้ง พอถึงรุ่งเช้าอวี่รีบแต่งตัวไปที่เรือนของบิดา

วันนี้เศรษฐีเจี้ยนฟั่นมีประมูลสัมปทานเกลือจึงรีบออกจากจวนแต่เช้าเห็นบุตรสาวคนโตยืนรอตนอยู่ก็ประหลาดใจ ร้องเรียก

“อวี่เออร์”

เจี้ยนอวี่เห็นบิดาก็ตรงดิ่งเข้ามาหา ร้องถาม “ท่านพ่อจะไปงานประมูลสัมปทานเกลือใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

“ใช่ ทำไมหรือ?”

เจี้ยนอวี่คลื่ยิ้มบาง เอ่ยขึ้น “ลูกอยากไปด้วย หลายเดือนมานี้ ลูกอยู่แต่ในบ้าน ลูกอยากออกไปสูดอากาศข้างนอก ลูกขอไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”

เศรษฐีเจี้ยนฟั่นนิ่งคิดเล็กน้อย ‘นักพรตเหลียนเต๋าบอกว่า บุตรสาวตนไม่ได้ถูกผีสางมารร้ายเข้าสิง ก็คงจะเป็นเช่นนั้น บางที พานางออกไปนอกเรือน นางอาจจะกลับมาเป็นลูกสาวที่แสนดีของเขาเช่นเดิม’

เมื่อตัดสินใจได้ เจี้ยนฟั่นจึงตอบรับ “เอาสิ”

เจี้ยนอวี่ฉีกยิ้มกว้างยินดีเดินไปพร้อมกับบิดา กล่าวปลอบตนในใจว่า ‘หวังว่าจะช่วยอะไรได้บ้างนะ’

เป็นไปตามความฝันของเจี้ยนอวี่ เศรษฐีเจี้ยนฟั่นชนะการประมูลสัมปทานเกลือจึงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ความกังวลที่มีต่อบุตรสาวจึงมลายหายไปสิ้น ต่างจากเจี้ยนอวี่ ที่จิตใจพะว้าพะวังไม่เป็นสุขเลยสักนิด ยิ่งฟ้าเริ่มมืด ความกลัวก็มากขึ้นตาม

ภายในรถม้าของเศรษฐีเจี้ยนฟั่น อวี่ที่ใบหน้าชื้นเหงื่อ กำมือเข้าหากันแน่น คิ้วงามขมวดเข้าหากันคอยแต่จะเลิกผ้าม่านขึ้มองฟ้า

เจี้ยนฟั่นเห็นก็เอ่ยถาม “อวี่เออร์ เจ้าเป็นอะไร?”

“ข้า..”

นางหันมาตอบแต่พอนึกขึ้นได้ว่าบิดาคงไม่เชื่อจึงชะงักไปก่อนจะเอ่ยขึ้นใหม่ “ข้ารู้สึกไม่ใคร่สบายอยากให้ถึงบ้านเร็วๆเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นหรือ อย่างนั้น พ่อให้บ่าวมันไปทางลัดดีหรือไม่?”

เจี้ยนฟั่นเสนอด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว

เจี้ยนอวี่ฟังจบก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เจ้าค่ะ”

ในฝันของนาง บิดาต้องการจะถึงบ้านเร็วเพราะอยากบอกข่าวดีนี้กับครอบครัวจึงให้บ่าวบังคับรถม้าพาไปทางลัดที่เปลี่ยว หากบิดาไปทางเปลี่ยวเช่นในฝัน บิดาก็จะถูกลอบสังหาร เช่นนี้ไม่ได้

“ลูก ลูกดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ เราไปทางนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ”

กล่าวจบก็หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เจี้ยนฟั่นสับสนงุนงงแต่ไม่อยากหาความจึงเงียบไป

รถม้าวิ่งไปตามทาง วันนี้ไร้แสงจันทร์ฟ้าจึงมืดกว่าปกติแต่แสงไฟจากคบเพลิงข้างทางช่วยทำให้หนทางไม่มืดจนเกินไป ทั้งยังมีรถม้าสวนไปมา

เจี้ยนอวี่ผ่อนลมหายใจเบาๆรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก นางไม่ได้ไปทางที่อยู่ในฝัน เรื่องร้ายๆพวกนั้นคงไม่เกิดขึ้---ยังไม่ทันได้โล่งใจดี อยู่ๆรถม้าที่วิ่งก็หยุดชะงัก นางใจหายวาบ คิ้วขมวดเข้าหากัน คว้ามือบิดามาจับไว้ หันมาหากล่าวกับบิดาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“ท่านพ่อ หากเกิดอันใดขึ้น ลูกอยากให้ท่านพ่อรอดชีวิตนะเจ้าคะ”

“เจ้ากล่าวอันใด อวี่…”

“อ๊าก!!!”

เจี้ยนฟั่นยังไม่ทันได้ถามจบก็มีเสียงร้องดังมาจากด้านนอก

เจี้ยนอวี่ล้วงเข้าไปภายในอกเสื้อ นำมีดสั้นสองเล่มออกมา เล่มหนึ่งยัดใส่มือบิดา อีกเล่มนางชักออกมาหมายป้องกันบิดา

“ลูกรักท่านพ่อเจ้าค่ะ”

จบประโยคผ้าม่านก็ถูกเลิกขึ้น ภาพตรงหน้าคือคนสวมชุดดำถือกระบี่ที่เปื้อนเลือด เจี้ยนฟั่นตกใจตัวแข็งถือ เจี้ยนอวี่รอเวลานี้มาตลอด นางฝันถึงเหตุการณ์นี้ซ้ำๆ นางฝึกใช้มีดเพื่อเหตุการณ์นี้ นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆแทงมีดเข้าที่ท้องของคนชุดดำ

“อะ!”

นักฆ่าร้องเสียงหลง คุกเข่าลงกับพื้นด้วยคาดไม่ถึงว่าจะถูกโจมตีจากเด็กสาวธรรมดาผู้หนึ่ง

เจี้ยนอวี่ใช้จังหวะที่นักฆ่าตกใจคว้ามือบิดาวิ่งลงจากรถม้า นางวิ่งไม่คิดชีวิต ไม่ต่างจากเจี้ยนฟั่น สองพ่อลูกมิได้กล่าวอันใด ทั้งสองต่างรู้ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย

ในตอนนั้นเอง นางได้ยินเสียงรถม้าดังมาใกล้ๆ นางไม่รู้ว่ารถม้านั้นเป็นของผู้ใด หากไม่ใช่คนร้ายคงจะดี

เจี้ยนอวี่หันซ้ายหันขวาหาที่หลบ แต่ก็ไม่มีเลย เจี้ยนฟั่นได้ยินเสียงรถม้าเช่นกันจึงบอกบุตรสาว

“เราไปขอให้เขาช่วยกันเถอะลูก”

“เราจะทราบได้อย่างไรเจ้าคะว่าไม่ใช่คนที่จะสังหารเรา”

เจี้ยนฟั่นฟังบุตรสาวกล่าวก็คิดขึ้นมาได้ แต่พวกเขาไม่มีที่จะหลบ จะหันหลังวิ่งกลับไปก็กลัวพบกับนักฆ่า จะเดินไปทางใดก็เต็มไปด้วยอันตราย ในตอนนั้นเอง รถม้าเจ้าปัญหาก็มาหยุดลงตรงหน้าพวกเขา ห่างออกไปเล็กน้อย

“พวกเจ้า มายืนทำอะไรมืดๆตรงนี้!” มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหน้า

พ่อลูกหันไปมองพร้อมกัน เห็นรถม้าคันใหญ่หรูหรา คนที่ตะโกนถามคือคนที่บังคับรถม้า มองไม่เห็นใบหน้า เพราะมืดเกินไป

เจี้ยนฟั่นจึงตัดสินใจลองเสี่ยงดู ตะโกนออกไป

“ข้าคือเศรษฐีเจี้ยนฟั่น”

เจี้ยนฟั่นบอกนามของตน หากเป็นคนที่ตามฆ่าเขาต้องลงมาฆ่าตนแน่ แต่หากไม่ใช่ เขาก็จะ….

“แล้วอย่างไร ข้าถามว่าพวกเจ้ามายืนอะไรมืดๆตรงนี้ ไม่ได้ถามนามของเจ้า”

บุรุษผู้นั้นตะโกนตอบกลับมา แถมยังเป็นคำพูดที่ฟังแล้วคนฟังต้องอ้าปากค้างในความขวานผ่าซากนี้เป็นแน่ แต่ในยามนี้ พวกเขาไม่ได้สนใจคำพูดของบุรุษผู้นั้น

เจี้ยนฟั่นหันมายิ้มกับลูกสาวก่อนเขาจะจูงมืออวี่เออร์วิ่งไปทางรถม้า เมื่อมาอยู่ท่ามกลางแสงไฟ คนทั้งสองได้เห็นกันชัดเจนมากขึ้น

บุรุษที่ตะโกนคุยกันเมื่อครู่ ทั้งรูปลักษณ์ ชุดที่สวมใส่ ไม่คล้ายบ่าวไพร่ กลับมีราศีต่างจากพวกเขา ด้วยความที่เจี้ยนฟั่นค้าขายกับเจ้าขุนมูลนายอยู่เป็นประจำ จึงคาดว่าคนผู้นี้คงเป็นขุนนางเป็นแน่

“ใต้เท้า โปรดช่วยข้าและบุตรสาวด้วย ข้าถูกคนลอบทำร้าย หรืออย่างไร ก็ช่วยบุตรสาวข้าเถิด”

เจี้ยนฟั่นกล่าวจบก็คุกเข่าลงโขกศรีษะ เจี้ยนอวี่ตกใจร้องเรียกบิดา

“ท่านพ่อ”

“ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ” บุรุษผู้นั้นเอ่ยถาม

เจี้ยนฟั่นรีบตอบ ทั้งอ้อนวอน “จริงขอรับ ใต้เท้าโปรดช่วยพวกเราด้วย”

“ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ ข้าขอเข้าไปถามนายของข้าเสียก่อน” กล่าวแล้วก็หมุนตัวมุดเข้าไปด้านใน

เจี้ยนอวี่ลอบสังเกตตอนที่ผ้าม่านเลิกขึ้นเพียงชั่วครู่ นางเห็นเรือนร่างของบุรุษแต่ไม่เห็นหน้า เพราะม่านปิดลงอย่างรวดเร็ว

“ท่านพ่อ ลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ”

นางเอ่ยบอกบิดาพลางช่วยพยุงท่านลุกขึ้น เมื่อเจี้ยนฟั่นลุกขึ้นยืนแล้ว บุรุษคนเดิมก็ออกมา

“บ้านพวกเจ้าอยู่ที่ใด ข้าจะไปส่ง”

จบประโยคทั้งเจี้ยนฟั่นและเจี้ยนอวี่ก็รีบโค้งกายกล่าวขอบคุณผู้มีพระคุณผู้นี้

“ขอบคุณใต้เท้าขอรับ”

“ขอบคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ”

“มิต้องขอบคุณข้า ขอบคุณนายข้าเถิด พวกเจ้ารีบขึ้นมาแล้วเข้าไปในรถม้า”

“ขอบพระคุณขอรับ ไปเถิดอวี่เออร์”

“เจ้าค่ะ”

เจี้ยนอวี่รู้สึกโล่งใจและปลอดภัยอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว นางและบิดาก้าวขึ้นรถม้า เมื่อเลิกผ้าม่านขึ้น พวกเขาก็พบเข้ากับบุรุษรูปงามในอาภรณ์สีเงิน ท่วงท่ากิริยาล้วนทรงสง่า งดงาม ให้ความรู้สึกต่างจากปุถุชนทั่วไป

“ขอบพระคุณนายท่านขอรับ ข้าและบุตรจะไม่ลืมพระคุณเลย”

เจี้ยนอวี่ละสายตาที่จ้องมองเขารีบกล่าวขอบคุณตามบิดา

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

“นั่งเถิด” เขาพยักหน้ากล่าวสั้นๆ เสียงของเขาทุ้มนุ่มทรงพลังให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม

เจี้ยนอวี่และบิดานั่งลงเงียบๆ เมื่อพวกเขานั่งลงแล้วรถม้าจึงเคลื่อนตัว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel