บท
ตั้งค่า

บทที่ ๒ ความพิเศษที่ติดตามมา

บทที่ ๒

ความพิเศษที่ติดตามมา

เจี้ยนอวี่ เจี้ยนอวี่ เจี้ยนอวี่

‘ใคร ใครเรียก เสียงใครกัน’

เจี้ยนอวี่ เจ้าทำแบบนี้ทำไม มันบาป เป็นบาป

‘ใคร เสียงใคร’

นางอยู่ที่ใด เจี้ยนอวี่มองไปรอบๆตัวนางเป็นสีขาว ไม่มีใครเลย นางอยู่ที่ไหน

เจี้ยนอวี่รู้สึกเจ็บที่ลำคอ นางยกมือขึ้นจับ ทำให้นึกอะไรขึ้นมาได้

‘จริงสิ ข้า ผูกคอตายนี่ ที่นี่คงเป็นดินแดนของโลกวิญญาณ ข้าตายแล้วสินะ’

เจี้ยนอวี่ก้มหน้าลง ทั้งรู้สึกผิดและเสียใจ นางทำอะไรขาดสติ ยั้งคิด จะเสียใจตอนนี้แล้วได้อะไรกลับมาเล่า คิดถึงก็แต่บิดา มารดา แม่รอง แม่สาม บรรดาน้องสาวน้องชาย และจินเออร์

“ข้าขอโทษ”

นางพึมพำกับตน ก่อนจะหลับตาลง ต่อให้เสียใจ ก็เอาอะไรกลับคืนมาไม่ได้แล้ว

*******

“กรี๊ดดด!!!” ฮูหยินรองกรี๊ดลั่นเมื่อเห็นเจี้ยนอวี่ ห้อยอยู่ด้านบน นางทรุดลงกับพื้น เสียงกรี๊ดของนางนำพาให้คนที่อยู่ด้านล่างวิ่งขึ้นมาด้านบน

ฮูหยินใหญ่วิ่งขึ้นมาถึงคนแรกก่อนจะกรี๊ดร้องปานจะขาดใจ หมดสติไป โชคดีหัวไม่กระแทกพื้น เพราะ เจี้ยนหลิง เข้ามารับมารดาไว้ได้ทัน

เจี้ยนหลิงเป็นน้องชายของเจี้ยนอวี่ เกิดจากมารดาเดียวกัน ตามมาด้วย เศรษฐีเจี้ยนฟั่น และ ฮูหยินสาม บรรดาสาวใช้และบ่าวไพร่

“ลูกพ่อ”

เจี้ยนฟั่นยกมือทาบหน้าอกทรุดกายลง ฮูหยินสาม เทียนลี่ ช่วยประคองสามีไว้ไม่ให้ล้ม ในบรรดาทุกคนในที่นี้มีเพียงนางที่คงสติอยู่ รีบร้องสั่ง

“รีบไปเอาคุณหนูลงมา!”

บ่าวรับใช้ชายหญิงต่างสะดุ้ง รีบรวบรวมความกล้าเข้าไปในห้อง นำร่างคุณหนูใหญ่ลงมา ประคองลงนอนราบกับพื้น

เจี้ยนหลิงวางมารดาและฝากให้จินเออร์สาวใช้ประจำตัวของพี่หญิงดูแล ส่วนตนเข้ามาในห้อง จับชีพจรพี่สาว สีหน้าซีดเผือดเริ่มดีขึ้นเมื่อรับรู้ถึงแรงเต้นของชีพจร จึงหันไปสั่งบ่าวไพร่

“ตามหมอ ห้ามโหวกเหวก”

“ขอรับ”

เจี้ยนหลิงหันไปหาทุกคนเอ่ยบอก “พี่หญิงยังมีลมหายใจขอรับ”

ได้ยินดังนั้นสีหน้าของทุกคนก็เริ่มดีขึ้น เจี้ยนหลิงช้อนร่างปวกเปียกของพี่สาวขึ้นอุ้มไปวางไว้บนเตียง ใช้มืออังจมูกของพี่หญิงพลางคิดในใจ ‘ดีที่ยังหายใจอยู่’ สีหน้าเขาผ่อนคลายลงกว่าในตอนแรก

“หมอมาแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้ชายแจ้งแก่ทุกคน

เจี้ยนหลิงจึงลุกขึ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ เขานั้นพึ่งเริ่มเรียน มิอาจรักษาได้จริง

“ดีที่อาหลิง ศึกษาตำราแพทย์” เจี้ยนฟั่นกล่าวกับลูกชาย ทั้งชื่นชมและโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

เจี้ยนหลิงส่ายหน้า กล่าวเสียงเศร้า “หากข้าเชี่ยวชาญ เราคงไม่ต้องตามหมอ”

เรื่องในวันนี้ พี่หญิงต้องทุกข์ทรมานอีกเป็นแน่ หากข่าวแพร่สะพัดออกไป…ไม่อยากคิดเลย

*******

ภายในไม่กี่วัน สกุลเจี้ยนที่ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย ก็มีเรื่องเสื่อมเสียมากถึงสองเรื่อง คุณหนูใหญ่เป็นม่ายขันหมาก แถมยังฆ่าตัวตาย ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองกวานลี่ ที่ใดต่างก็คุยกันเรื่องนี้ ราวเป็นเรื่องที่ผู้ใดไม่พูดถึง คนนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองกวานลี่อย่างไรอย่างนั้น

จวนสกุลเจี้ยน ไม่รู้ว่าเคราะห์ซ้ำกำซัด หรือโดนสาปแช่งหรืออย่างไร เพียงไม่กี่วัน ก็ต้องประสบพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เจี้ยนฟั่นรู้สึกชราไปมากโข จิตใจที่เคยแข็งแกร่งบัดนี้เหมือนจะแหลกสลายเอาง่ายๆ คนเป็นพ่อ ค่อยๆคว้ามือลูกสาวคนแรกที่เป็นดุจแก้วตาดวงใจขึ้นมากำ ไล่จับทีละนิ้วพาให้นึกถึงอดีตยาม อวี่เออร์ยังเล็ก หนามเล็กๆตำเข้าที่นิ้วชี้เขารึเป็นเดือดเป็นร้อน ให้คนไปตัดต้นกุหลาบเสียให้หมด อวี่เออร์ก็ร้องไห้ เขาจึงต้องให้คนไปปลูกใหม่

“ลูกเอ๋ย ยามนั้นเจ้าเพียง หกขวบปี เจ้าเข้มแข็ง เหลือเกิน หนามตำก็ไม่ร้องสักนิด เหตุใดยามนี้ เจ้าถึงคิดสั้น เจ้ายังมีพ่อ มีแม่ มีคนที่รักเจ้ามากมาย ใยเจ้าไม่เห็น”

พูดไปก็ร่ำไห้ไป มันผิดที่เขามองคนผิดใช่หรือไม่ หากปีนั้นไม่ไปค้าขายที่เมืองหลวง คงไม่ต้องรู้จักเสนาบดีถังซ่ง แลไม่ตกลงหมั้นหมายบุตรสาวที่รักให้ถังชิน เพียงเห็นว่าเขาเป็นคนดี

“ความผิดพ่อเอง ฆ่าพ่อเถิด พ่อผิดเอง”

เจี้ยนอวี่รู้สึกตัวตื่น ค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นบิดาก้มหน้าจับมือตนร่ำไห้ ทั้งเอาแต่โทษตนเองก็เสียใจ ร้องไห้ตามบิดา นึกถึงว่าตนได้ทำอันใดลงไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกโกรธตัวเอง เหตุใดนางถึงได้ให้ค่าตนกับคนที่รู้จักเพียงปีเดียว เหตุใดจึงเสียใจให้คนที่พบหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง นางเป็นคนเข้มแข็งเพียงใด ใยจึงกลายเป็นคนอ่อนแอได้เพียงนี้น้อ

“ลูก…ขอ..โทษ”

เจี้ยนอวี่เปล่งเสียงออกมาได้เพียงเท่านี้ ทั้งยังไม่ปะติดปะต่อ

เจี้ยนฟั่นเงยหน้าขึ้น เห็นอวี่เออร์ลืมตามองตนอยู่ก็ตกใจ ร้องเรียก

“อวี่ อวี่เออร์ เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าฟื้นแล้ว”

เจี้ยนอวี่พยักหน้าทั้งน้ำตา บิดากอบกุมใบหน้านางไว้ทั้งร้องไห้

“อวี่เอ๋อร์ขอโทษ ขอโทษ”

“ไม่ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อวี่เอ๋อร์ไม่ผิด พ่อเอง พ่อผิดเอง ไม่ๆ ไม่มีใครผิด ดีแล้ว ดีแล้วที่ลูกยังอยู่ ดีแล้ว”

“อวี่เออร์ฟื้นแล้วหรือ!”

ด้านหน้าประตูปรากฏเสียงสตรีทั้งสาม นั่นคือฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง และฮูหยินสาม เมื่อเห็นว่า อวี่เออร์ฟื้นจริงๆก็กู่กันเข้ามาในห้อง สวมกอดบุตรสาว ร่ำไห้ทั้งกล่าวโทษตนเอง

“แม่รองผิด ผิดที่ทิ้งเจ้าไว้คนเดียว” เจียเหอ

“แม่ก็ผิด ผิดที่ไม่ดูแลเจ้าดีๆ” เสียนฮวา

“ข้าก็ผิด ฮือๆ” เทียนลี่

ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ แต่เป็นการร้องไห้ที่แสดงถึงความโล่งอกและดีใจกว่าวันไหนๆ

*******

หนึ่งเดือนต่อมา

วันนี้แดดแรงกว่าทุกวัน จินเออร์สาวรับใช้คนสนิทของคุณหนูใหญ่ เจี้ยนอวี่ และบ่าวรับใช้สองสามคนนำผ้ามาตาก เจี้ยนอวี่เดินออกมาเห็นพวกนางตากผ้าก็ร้องเตือน

“ใยพวกเจ้านำผ้ามาตาก ฝนกำลังจะตกนะ”

สาวใช้ได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้า พลางกล่าวแย้งคุณหนู

“ไม่นี่เจ้าคะ แดดแรงออกเพียงนี้ ฝนไม่ตกหรอก”

เจี้ยนอวี่กำลังจะแย้ง แต่ความรู้สึกหนึ่งแวบเข้ามาในหัวคล้ายว่าตนเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้ ยังไม่ทันได้นึกออกว่าเคยเกิดขึ้นยามใด อยู่ๆฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาไม่ลืมหูลืมตา สาวใช้ต่างร้องโวยวายรีบหอบผ้าเข้าด้านใน ไม่เพียงสาวใช้ต่างงุนงงว่าฝนตกลงมาได้อย่างไร นางเองก็งุนงงว่าเหตุใดตนถึงทราบว่าฝนจะตก

นั่นถือว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ

*******

วันรุ่งขึ้นเจี้ยนอวี่ ตัดแต่งกิ่งพรรณไม้อยู่ จินเออร์เดินเข้ามาพร้อมกระถางต้นไม้ นางรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหตุการณ์นี้ หากจินเออร์เดินเข้ามาแล้วเอากระถางไปวางตรงนั้น จะมีงูฉกกัดที่มือนาง

“จินเออร์ เอามาวางตรงนี้สิ”

เจี้ยนอวี่หันไปร้องบอก แต่ไม่ทัน จินเออร์วางกระถางต้นไม้ลงบริเวณนั้นเสียแล้ว พลันสายตาของนางเหลือบเห็นงู รีบร้องตะโกนบอก

“จินเออร์ ระวังงู”

“เจ้าคะ กรี๊ด!” จินเออร์กรีดลั่นสวน

เจี้ยนอวี่ตกใจ วางกรรไกรในมือวิ่งเข้าไปหา คว้ามือจินเออร์มาดูรีบรีดพิษออก

“ข้า ข้า ข้าถูกงูกัด” จินเออร์ร้องบอกทั้งน้ำตา

“ใครก็ได้ตามหมอที!”

วันนั้น จินเออร์ถูกงูกัด โชคดีที่รีดพิษออกทัน แต่นางก็จับไข้ ไม่ได้มาทำงานหลายวัน เจี้ยนอวี่คิดว่านี่มันแปลกเกินไปแล้ว เหตุใดนางทราบว่า จินเออร์จะวางกระถางตรงนั้นแล้วจะถูกงูกัด

ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ…

*******

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย โอ๊ย!”

สตรีผู้หนึ่งถูกบุรุษสองคนรุมทำร้าย ทั้งตบทั้งตี ก่อนจะกระชากถุงผ้าไหมในมือของนาง แล้วพากันวิ่งหายไป สตรีผู้นั้นนอนขดตัวงออยู่บนพื้น ทั้งเนื้อทั้งตัวบอบซ้ำ นางอยากเข้าไปช่วย แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับ นางพยายามเพ่งมองดูว่าสตรีผู้นั้นเป็นใคร เหมือนจะได้ยินความต้องการของนาง ภาพขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น จนเห็นใบหน้าของคนที่ถูกทำร้าย คนผู้นั้นคือ

“แม่สาม!!”

เจี้ยนอวี่สะดุ้งจากที่นอนใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ลมหายใจหอบถี่ราวกับคนวิ่งมาจากที่ไกลๆ นางมองไปรอบๆ ลักษณะห้องที่คุ้นเคยทำให้ลมหายใจเป็นจังหวะมากขึ้น

“นี่เราฝันไปหรือ” พึมพำกับตนเองเบาๆ

ในฝันนั้นเหมือนจริงมาก มากจนน่ากลัว

นางส่ายหน้าพลางคิดว่า

‘เมื่อคืนคงคิดเรื่องที่จินเออร์ถูกงูกัดจนเก็บไปฝัน’

เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็ลืมไปสิ้นว่าได้ฝันอะไรน่ากลัวเช่นนี้

*******

เย็นวันนั้น

“คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินสามถูกโจรวิ่งราว ทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส รีบไปเรือนฮูหยินสามเร็วเจ้าค่ะ”

สาวใช้เรือนแม่สามมาแจ้งแก่นาง เจี้ยนอวี่ตกใจอย่างมาก หวนนึกถึงความฝันเมื่อรุ่งเช้า

‘ไม่มีทาง ไม่ใช่หรอก’

นางปลอบตนเองเช่นนี้ไปตลอดทาง จนไปถึงเรือนแม่สาม จุดที่โดนซก โดนต่อย ตำแหน่งที่ถูกทำร้ายร่างกาย เหมือนในฝันของตนอย่างไม่น่าเชื่อ

‘นี่มัน เรื่องอะไรกัน เหตุใด เหตุใด’

เจี้ยนอวี่ทั้งสับสน กังวล และหวาดกลัว

ทั้งเรื่องฝนตกในวันที่แดดแรงจัด ทั้งเรื่องจินเออร์ถูกงูกัด และเรื่องของแม่สาม ทำไม เหตุใดจึงเป็นจริง?

เจี้ยนอวี่ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับผู้ใด แม้แต่ตัวนางเองยังไม่อาจเชื่อ นางจึงคอยบันทึกความฝันลงสมุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เอามาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ยามเกิดขึ้น และส่วนมาก มันตรงกับสิ่งที่นางฝัน

ความหวาดกลัวและวิตกจริตทำให้เจี้ยนอวี่ไม่ออกไปไหน คอยแต่อยู่ในห้อง นางกลายเป็นคนเงียบขรึมซึมเศร้าและหวาดระแวง

เจี้ยนฟั่น เสียนฮวา ทั้งพี่ทั้งน้องและฮูหยินทั้งสองต่างเป็นทุกข์ ไม่รู้ว่าเหตุใดเจี้ยนอวี่ถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ข่าวลือก็แพร่ออกไปว่านางวิปลาส เพราะเคยฆ่าตัวตาย

วันเวลาผ่านพ้นไปอีกเดือน ในคืนนั้นเอง ความฝันที่เลวร้ายที่สุดก็มาเยือน

เศรษฐีเจี้ยนฟั่นเข้าร่วมประมูลสัมปทานเกลือ และเขาเป็นผู้ชนะ เศรษฐีเจี้ยนมุ่งหน้ากลับจวนของตน ระหว่างทางปรากฏกลุ่มคนชุดดำเข้ามาล้อมรถม้า ปิดกั้นทางไปต่อ บ่าวรับใช้ถูกฆ่า ชายชุดดำเลิกผ้าคลุมรถม้าขึ้น เจี้ยนฟั่นตกใจ ยังไม่ทันได้ถามเอาความก็ถูกแทงทะลุเข้าสู่หัวใจ คนชุดดำดึงดาบออก เลือดสีแดงเข้มสาดทั่วรถม้า

เฮือก! เจี้ยนอวี่สะดุ้งตื่นจากที่นอน เหงื่อโซมกาย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้างามซีดขาวราวกระดาษ น้ำใสๆไหลออกจากดวงตา พร้อมเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจ นางร้องไห้ไปสักพัก ก่อนจะนึกขึ้นได้ รีบลงจากเตียงวิ่งออกจากห้องเท้าเปล่าเสื้อคลุมก็ไม่สวมใส่ นางวิ่งออกจากเรือนตนไปยังเรือนของบิดา

อากาศยามเช้าค่อนข้างหนาว แต่ใจคนกลับร้อนเป็นไฟ

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ”

เจี้ยนอวี่ร้องเรียกบิดาอยู่หน้าห้องนอน เจี้ยนฟั่นงัวเงียลุกขึ้น ไม่เพียงเขาที่ตื่น เสียนฮวาก็ตื่นด้วยเช่นกัน ทั้งสองหันมามองหน้ากัน ก่อนเสียนฮวาจะเป็นคนลุกไปเปิดประตู เมื่อประตูเปิดออก เจี้ยนอวี่ก็พุ่งเข้ามา ท่าทางของบุตรสาวไม่ดีเลย ทั้งใบหน้าที่เปื้อนคาบน้ำตา เสื้อผ้าบางๆ และเท้าเปล่าเปลือย

“อวี่เอ๋อร์ มีเรื่องใดหรือลูก?”

“ท่านพ่อ หากท่านไปประมูลเกลือ ท่านต้องนำคนไปมากๆ อย่ากลับทางเปลี่ยว ไม่ใช่สิ ท่านห้ามไปประมูลเกลือ”

จบประโยคนางก็ร้องไห้ทรุดลงกับพื้นราวกับคนบ้า บิดามารดามองบุตรสาวของตนด้วยความตกใจ ไม่รู้เวรกรรมอันใดทำกับลูกสาวที่พวกเขารักได้เพียงนี้ ไม่เพียงถูกถอนหมั้น อุตส่าห์ฟื้นจากความตาย แต่กลับกลายเป็นคนบ้า นี่พวกเขาทำเวรกรรมอันใดจึงไปตกที่ลูกกันหนอ

“อวี่เออร์ เจ้ากล่าวอันใด พ่อไม่เข้าใจ ใจเย็นๆทำใจให้สบาย”

สองสามีภรรยาทั้งกอดทั้งปลอบลูกสาว เป็นนานกว่านางจะยอมสงบ ทั้งสองพาอวี่เอ๋อร์มานอนบนเตียงกับตน

เจี้ยนฮูหยินสบตากับสามี บางทีพวกเขาควรหาวิธีรักษาลูกอย่างจริงจัง จะอับอายจะเสื่อมเสียก็ช่างมันเถิด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel