บทที่ 3 ข่าวร้าย
“อะไรนะ?”
นางเฉาร่างกายอ่อนยวบ เป็นลมล้มทรุดลงบนพื้น
นางคว้ามือของกู้เหวินจูนไว้ “เกิดอะไรขึ้นกับพ่อเจ้า? พ่อเจ้าล่ะ พ่อเจ้าอยู่ไหน?”
“ท่านพ่อได้ยินเรื่องที่น้องซวงถูกตระกูลสวีตบตี จึงไปที่ตระกูลสวีเพื่อเจรจา กลับกลายเป็นว่าถูกคนตระกูลสวีลากไปรุมกระทืบที่ทุ่งนา ตอนข้าไปเห็น ร่างกายของท่านพ่อเต็มไปด้วยเลือด เถ่หนิวกับข้าเลยช่วยกันหามกลับมา ตอนนี้นอนหมดสติอยู่หน้าบ้าน”
ใบหน้าของนางเฉาพลันซีดขาวในชั่ววินาที จากนั้นก็ก้าวเร็วๆดั่งคันศรณ์พุ่งตรงไปที่หน้าบ้าน ต่อมาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนปานจะขาดใจของนางดังขึ้นมา
“ท่านพี่ ท่านพี่!ตื่นขึ้นมาสิท่านพี่!”
กู้เหวินจูนรีบวิ่งออกไปเช่นเดียวกัน
เหลือเพียงกู้หมิงซวงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมคนเดียว
ในหัวของนางพลันฉายภาพใบหน้าแสนใจดีของใครบางคนอย่างเลือนราง
ในภาพจำ บิดาของเจ้าของร่างเดิมผู้มีนามว่ากู้หย่วนเต้าเป็นคนซื่อสัตย์ซื่อตรง เขากับนางเฉารักและเคารพซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก ยิ่งความรักที่มีให้บุตรทั้งสามคนก็ยิ่งล้นเหลือ
ไม่เคยปล่อยปละละเลยเจ้าของร่างเดิมผู้บกพร่องทางสติปัญญา มีแต่ห่วงหาอาทรด้วยซ้ำ
แต่ในตอนนี้ เจ้าของร่างเดิมกลับทำให้บิดาที่รักตนเองเสียยิ่งกว่าอะไรต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพียงเพราะบุรุษไร้หัวใจคนหนึ่ง
ชั่วขณะนั้นหัวใจของกู้หมิงซวงพลันอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด
แม้นว่านางจะไม่ได้มีส่วนผิดในเรื่องนี้ แต่ในเมื่อนางสลับมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลดี ก็จำต้องกล้ำกลืนมันลงไป
แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้น กู้เหวินจูนกับนางเฉาก็แบกร่างกายที่อาบไปด้วยเลือดของกู้หย่วนเต้าเข้ามา
กู้หมิงซวงเตรียมจะเข้าไปช่วย แต่ติดตรงร่างกายอ้วนท้วมที่ออกแรงเคลื่อนไหวเมื่อใดก็ต้องเหนื่อยครานั้น อย่าหวังเลยว่าจะช่วยแบกหามใครได้
นางจึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างประตู อาศัยแสงสว่างจากดวงไฟในเรือนมองสำรวจกู้หย่วนเต้าที่นอนอยู่บนเตียงไม้
ตอนยังไม่เห็นก็ยังนึกภาพไม่ออก แต่พอได้เห็นก็สะดุ้งวูบ
ร่างกายของกู้หย่วนเต้าเปื้อนไปด้วยเลือดและโคลนตม
บนแขนเป็นรอยเหวอะขนาดใหญ่ หน้าอกมีไม้ไผ่ปลายแหลมเสียบคาเอาไว้ เลือดสดยังคงไหลทะลักออกมาไม่หยุด
ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ กู้หย่วนเต้าจึงแทบจะหมดสติไป ทว่ายามที่ถูกหามผ่านกู้หมิงซวง กู้หมิงซวงกลับได้ยินเขาพึมพำบางอย่างว่า
“เอ้อยา เอ้อยาคือสิ่งล้ำค่าของตระกูลกู้ ผู้ใด….ก็อย่าคิดที่จะมารังแก”
ชาติก่อน นางไม่เคยถูกพ่อแม่ปกป้องเช่นนี้มาก่อน
หัวใจเหมือนถูกบีบ น้ำตาอุ่นๆหลั่งไหลออกมาตามหางตา
บาดแผลของกู้หย่วนเต้า บาดตานางเป็นอย่างยิ่ง
ตระกูลสวีทำร้ายเจ้าของร่างเดิมยังไม่พอหรืออย่างไร ไยต้องมาทำร้ายกู้หย่วนเต้าด้วยอีกคนจนมีสภาพเยี่ยงนี้!
หลายปีที่ผ่านมา กู้หย่วนเต้าอุตส่าห์ช่วยเหลือตระกูลสวีไว้ตั้งมากมาย!
กู้หมิงซวงกำหมัดทั้งสองข้างแน่น อยากจะเฉือนตระกูลสวีออกเป็นชิ้นมันเสียเดี๋ยวนี้!
เพียงแต่ในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของกู้หย่วนเต้า ดูจากบาดแผลสาหัสของบิดาแล้ว หากไม่รีบทำการรักษา เกรงว่าคงเสี่ยงถึงชีวิต
เมื่อเห็นนางเฉาและกู้เหวินวางกู้หย่วนเต้าไว้บนเตียง กู้หมิงซวงก็เตรียมจะเข้าไปดูอาการ
ทันใดนั้นก็มีเสียงของใครบางคนดังมาจากประตูข้างนอก “เหวินจูน เหวินจูน ข้าพาจ้าวหลิงยีมาแล้ว!”
บุรุษวัยหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่่งสวมใส่เพียงเสื้อตัวในวิ่งเข้ามาในบ้าน ด้านหลังมีท่านลุงอายุราวหกสิบปีเดินตามมา
ท่านลุงหัวหงอก มือหนึ่งถือหีบยาอีกมือถือไม้เท้าที่มีกระดิ่งห้อยอยู่
เมื่อใดที่จ้าวหลิงยีก้าวเดิน กระดิ่งก็จะส่งเสียงดังกังวานเมื่อนั้น
กู้เหวินจูนเห็นท่านลุง ก็รีบเดินเข้ามารับ พร้อมเอ่ยอย่างร้อนใจ “จ้าวหลิงยี พ่อข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝากท่านดูอาการให้ด้วย”
“ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าดูให้”
กู้เหวินจูนเดินตามหลังจ้าวหลิงยีเข้าไปข้างใน กู้หมิงซวงก็ยืนมองอยู่ตรงประตู
กู้หย่วนเต้าเสียเลือดมากเกินไป จนเลือดที่เปื้อนอาภรณ์พลอยไหลอาบเตียงไม้ไปด้วย
เมื่อจ้าวหลิงยีเดินเข้ามาเห็นสภาพของกู้หย่วนเต้า ก็อดที่จะคิ้วกระตุกไม่ได้
ด้านนางเฉาร้องไห้จนเกือบจะเป็นลมหมดสติ เมื่อเห็นจ้าวหลิงยี ก็รีบทิ้งตัวคุกเข่าบนพื้น กล่าวเสียงสะอื้นว่า “จ้าวหลิงยี ได้โปรดช่วยชีวิตสามีของข้าด้วย”
จ้าวหลิงยีเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “แม่เฉา เจ้าไปเอากะละมังใส่น้ำร้อนกับผ้าสะอาดมา เร็วเข้า! ส่วนเหวินจูนเข้าไปพยุงพ่อเจ้าขึ้นมา”
ถ้อยคำของจ้าวหลิงยี ฟังดูเด็ดขาดเป็นอย่างมาก
นางเฉาได้ยินเช่นนั้น ก็รีบพุ่งร่างกายซูบผอมตรงไปทางห้องครัว
ไม่นานหลังจากนั้น นางเฉาก็ยกกะละมังน้ำร้อนกับผ้าเข้ามา
เริ่มมีผู้คนมารวมตัวที่บริเวณลานบ้านของตระกูลกู้ แต่ละคนต่างยืดคอชะโงกหน้ามองเข้ามาข้างใน
หมู่บ้านต้าเฉียวมีเพียงแค่สิบกว่าครัวเรือน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็แพร่กระจายกันอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะเมื่อยามเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้
ในบรรดากลุ่มคนที่มารวมตัวกันอยู่นอกประตูเรือน มีทั้งคนที่เป็นห่วงตระกูลกู้จริงๆ และมีทั้งคนที่อยากรู้อยากเห็น
“พวกเจ้าว่า กู้เจ้าสามเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ จะรอดหรือไม่……”
“จิ๊ๆๆ…...มาพูดจามั่วซั่วอยู่หน้าบ้านคนอื่นได้เยี่ยงไร? เจ้าไม่กลัวคนบ้านนี้หยิบไม้กวาดออกมาไล่ตีเจ้ารึ!”
“ข้าไม่ได้พูดมั่วซั่ว ข้าแอบไปสังเกตการณ์ที่ทุ่งนาตรงนั้นมา ในบ่อน้ำขังมีแต่เลือดของกู้เจ้าสามเต็มไปหมด ข้าเห็นข้ายังผวาเลย ขนาดนายพรานถูกสัตว์ป่ากัด ยังไม่บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้”
“กู้เหวินจูนบุตรชายของกู้เจ้าสามเพิ่งสิบสี่ปีเอง บุตรสาวคนกลางก็สติไม่สมประกอบ คนสุดท้องก็เพิ่งจะตัดรกออก นางเฉาผู้เป็นภรรยาก็ป่วยออดๆแอดๆ….หากสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไปล่ะก็ ตระกูลนี้คงได้จบเห่เป็นแน่”
“ใช่ที่ไหนเล่า ยังมีครอบครัวกู้เจ้าใหญ่อยู่มิใช่หรือ?”
“เจ้าก็เห็นขนาดกู้เจ้าสามเกิดเรื่องถึงเพียงนี้ ยังมิมีผู้ใดจากครอบครัวนั้นมาสักคน”
“จะว่าไปแล้ว ทุกอย่างเป็นเพราะบุตรสาวปัญญาอ่อนของเขาเห็นๆ กู้เจ้าสามนี่ช่างเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเสียจริง ถึงได้มาเจอบุตรสาวเช่นนี้ ถ้าสาเหตุไม่ได้มาจากนาง เรื่องมันจะเป็นเช่นนี้หรือ?”
“นั่นสิ……”
“..........”
ผู้คนต่างพากันเห็นด้วย ถึงขั้นสาปส่งกู้หมิงซวงเสียไม่เหลือชิ้นดี
กู้หมิงซวงยืนอยู่ตรงประตู จึงได้ยินบทสนทนาของคนเหล่านั้นอย่างแจ่มแจ้ง นางทำได้เพียงขมวดคิ้วมุ่น ไม่ได้ส่งเสียงกล่าวอันใดออกมา
ภายในเรือน จ้าวหลิงยีหยิบผ้าขึ้นมา พร้อมกับจุดไฟฆ่าเชื้อตรงปลายเข็มไม้ไผ่ จากนั้นก็ปักลงบนปากแผลของกู้หย่วนเต้า แล้วนำผ้าที่ถืออยู่ปิดแผลเอาไว้ ฝ่ามือเหี่ยวย้นกำรอบเข็มไม้ไผ่ หลับตาลงแล้วดึงเข็มไม้ไผ่ที่ปักอยู่บนตัวของกู้หย่วนเต้าออก
เมื่อดึงเข็มออกจนไปสะกิดแผล เลือดสดๆพลันพุ่งกระฉูดออกมา
นางเฉาปิดปากมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้าปานจะขาดใจ ทำได้เพียงกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นเอาไว้ เพราะไม่กล้าไปรบกวนการรักษาของหลิงยี
จ้าวหลิงยีรีบหยิบยาห้ามเลือดและผ้าปิดแผลแปะลงบนตัวของกู้หย่วนเต้า
ใครเล่าจะรู้ ปากแผลรูใหญ่ กลับมีเลือดไหลออกมาเรือยๆ ชั่วขณะนั้น จ้าวหลิงยีพลันลนลานขึ้นมา
แม้เข็มไม้ไผ่จะไม่ได้แทงถูกจุดสำคัญ แต่ดูท่าแล้วคงแทงถูกหลอดเลือดใหญ่เข้าเป็นแน่
จ้าวหลิงยีพึมพำออกมาว่า
“แย่แล้ว…….”