[3/1]
##### [3/1]
“บัวลงมากินข้าวได้แล้วลูก” บัวแก้วเรียกลูกสาวที่อยู่บนห้อง เพื่อลงมาทานอาหารร่วมกันในช่วงเย็น หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล ใยบัวก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องของตัวเอง
ผู้เป็นแม่และพี่สะใภ้จะถามถึงอาการป่วยที่ไปหาหมอมาก็ยังไม่ทราบ เพราะหญิงสาวรีบเดินขึ้นห้องไปเลย โดยที่ไม่บอกกล่าวให้คนเป็นห่วงได้รับรู้
สักพักใยบัวก็เดินลงมาตามเสียงที่บัวแก้วเรียกให้ลงมาทานอาหาร ใจจริงเธอยังไม่มีอารมณ์อยากทานอะไรด้วยซ้ำ ทว่าพอนึกถึงคำที่หมอบอกว่าเด็กในท้องควรได้รับสารอาหารที่ดีและเพียงพอ มันทำให้เธอต้องนึกเห็นแก่ลูกขึ้นมา
“เออนี่บัว ตกลงไปหาหมอแล้วเป็นยังไงบ้าง ห้ะ?” บัวแก้วถามลูกสาวขณะที่มือก็ยังตักข้าวใส่จานให้คนมาใหม่ไปด้วย
“แค่นอนดึก และก็เพลียสะสมน่ะแม่” จะให้เธอตอบว่าตัวเองท้องมันก็คงจะพูดไม่ได้
“แม่บอกแล้ว ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องแวะไปช่วยที่ร้านก็ได้”
“จริงบัว พี่ว่าช่วงนี้บัวดูเครียดๆ นะ ที่ทำงานมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
ยี่หวารู้สึกได้ว่าน้องสามีดูแปลกไปจากเดิม ช่วงนี้มีถ้าเลิกจากงานหรือวันหยุด ก็จะเห็นขลุกตัวอยู่แต่ในห้องนอน ไม่ยอมลงมาหยอกล้อเล่นกับหลานตัวน้อยเหมือนอย่างเคย
ระหว่างนั่งทานอาหารบนโต๊ะกันอยู่ 3 คน กับอีกหนึ่งชีวิตตัวน้อยที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ในเปล ความเงียบก็เริ่มเกิดขึ้นเมื่อบนโต๊ะใยบัวเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวในจานเล่น ส่วนผู้ใหญ่อีก 2 คน ได้มองกระทำของร่างบางอย่างสงสัย
“แม่ ....พี่ยี่หวา”
“ว่าไง มีอะไรบัว?” ยี่หวาวางช้อนลงมองหน้าน้องสาวอย่างต้องการคำตอบ
อยากจะรู้ว่าคนตรงหน้านี้คิดอะไรอยู่ ทำไมช่วงนี้ถึงได้ดูเปลี่ยนไป เหมือนคนคิดมากอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
“ฉันคิดว่าอยากลาออกจากงานที่นี่จ้ะ”
“ห๊ะ!? // ทำไมหรอบัว?” บัวแก้วและยี่หวาต่างก็ต้องตกใจกับประโยคที่ใยบัวบอก จู่ๆ บอกจะลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่เคยบ่นเรื่องทำที่งานให้ฟังสักครั้งเดียว
“แกมีปัญหาอะไรรึเปล่าบัว?” แม่ของเธอถามเพราะคิดว่าช่วงนี้ลูกสาวดูซึมๆ ไป อาจจะเป็นเรื่องงาน
“คือเพื่อนสมัยเรียนที่มหาลัย เค้าชวนฉันลงไปทำงานที่ภูเก็ตจ้ะแม่ ฉันก็เห็นว่ารายได้มันดีกว่า และอีกอย่างมันก็ตรงสายกับที่ฉันเรียนมา แม่คิดว่ายังไงจ๊ะ ถ้าเกิดฉันอยากจะไปทำงานที่นั่น”
ความจริงไม่มีหรอกเพื่อนสมัยที่เรียนด้วยกันจะชวนไปทำงานที่นั่น นอกจากมาร์วินและปิ่นหยกแล้ว ใยบัวก็แทบจะไม่รู้จักเพื่อนคนไหนอีกเลย เพราะด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยเข้าสังคมของเธอ
สมัยเรียนตอนนั้นพอเรียนเสร็จก็ทำงานพาร์ทไทม์ เธอเป็นติวเตอร์สอนพิเศษเด็กนักเรียน แทบจะไม่มีเวลาไปสังสรรค์ที่ไหนกับใคร พอจบมาก็กลับมาทำงานใกล้บ้านอีก
ชีวิตที่ผ่านมาของเธอมีหลายคนที่บอกว่า เธอใช้ชีวิตการเป็นวัยรุ่นไม่คุ้มด้วยซ้ำไป ทว่าใยบัวก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้น เพราะเธอก็มีความสุขดีอยู่แล้วกับการเป็นตัวเองแบบนี้
“แล้วจะไปอยู่ยังไง กับใคร บัวไม่เคยไปไกลขนาดนั้นเลยนะ จะอยู่ได้หรอ?” ยี่หวาถามน้องสาว
ถึงแม้ยี่หวาจะเป็นแค่พี่สะใภ้ แต่เธอเองก็อยู่บ้านนี้มานานนับ 7 ปี ตั้งแต่แต่งงานกับพี่ชายของเธอ ยี่หวาเองก็เป็นห่วงน้องสาวคนนี้ไม่ต่างจากบัวแก้วเลย
“พี่กับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ ฉันสัญญาระหว่างอยู่ที่นั่นฉันจะโทรหาตลอด ถ้าว่างฉันจะมาหาแน่ๆ ให้ฉันไปเถอะนะ”
ใครจะอยากจากบ้านไปไกลขนาดนั้น โดยเฉพาะคนอย่างใยบัว แต่ด้วยสถานการณ์มันบังคับให้เธอต้องทำแบบนั้น
เพราะถ้าไม่ทำแล้วยังฝืนอยู่ที่นี่ต่อไป คนที่จะเดือดร้อนคนแรกเลยก็คือแม่ของเธอ จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านขนาดไหน หากลูกสาวดันท้องไม่มีพ่อเด็กมารับผิดชอบ
และถ้าฝืนอยู่ต่อไปก็ยิ่งจะมีคนซักไซ้ถามอีกว่าใครคือพ่อของเด็กในท้อง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องมันก็ยิ่งจะวุ่นวายไปกันใหญ่
จะให้เธออยู่ที่นี่ต่อ แล้วบอกว่าคนที่ทำเธอท้องก็คือสามีของเพื่อนเธออย่างนั้นหรือ เธอขอเป็นฝ่ายไปเองคงจะง่ายกว่า
“แม่คงห้ามแกไม่ได้หรอก แกโตแล้วคิดจะทำอะไรตัดสินใจให้ดี ถ้าแกบอกว่างานที่นั่นมันดีกว่า แม่ก็ไม่ขัด แต่แกจะอยู่ได้แน่หรอ? เมืองท่องเที่ยวแบบนั้นมันจะไม่อันตรายเกินไปรึไง ห๊ะ?”
บัวแก้วเลี้ยงลูกมา 2 คน คนโตก็ทำงานห่างไกลกว่าจะมีเวลากลับมาบ้าน ทิ้งไว้แค่ลูกและภรรยาอยู่กับเธอ ส่วนลูกสาวอีกคนกำลังจะไปทำงานอยู่ห่างไกลกันอีก ถึงผู้เป็นแม่จะไม่ขัดขวางแต่ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะให้ลูกไปไหนไกลจากเธอ
“นั่นน่ะสิ ถ้าเกิดบัวอยากหางานที่มันตรงสาย พี่ถามเพื่อนพี่ให้ได้นะ อยู่แถวบ้านเราเลย น่าจะดีกว่าอีก” ยี่หวาพี่สะใภ้ก็ช่วยพูดหาทางออกให้ เผื่อใยบัวอยากจะลองคิดใหม่
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่ยี่ ฉันตอบตกลงเพื่อนไปแล้วด้วย บริษัทของเขากำลังโตไปได้ดี เขาต้องการพนักงานด่วนมากเลยจ้ะ”
“แล้วบริษัทอะไรล่ะ ที่แกจะไปทำเนี่ย”
“เป็นบริษัทเกี่ยวกับสตาร์ทอัพน่ะแม่”
ใยบัวไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะต้องมานั่งคุยสร้างเรื่องโกหกคนเป็นแม่แบบนี้
ถ้าพระท่านจะลงโทษก็ขอให้ลงโทษเธออย่างหนัก จะยอมรับและไม่ขัดขืน เพราะบาปที่ก่อไว้ในวันนี้คงจะหนักหนามาก ถึงขนาดที่ทำให้บัวแก้วต้องเป็นห่วงลูกสาวอย่างเธอ
“อืมๆ ก็แล้วแต่แกเห็นว่าดีก็แล้วกัน แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะ แม่กับพี่จะได้หาวันว่างไปส่ง”
“เอ่อ... ไม่ต้องจ้ะแม่ ฉันไปเองได้ อีกอย่างมันก็ไกลขับรถไปกลับคงเหนื่อย คอปเตอร์ก็ยังเด็กอยู่เลยถ้าพี่ยี่ขับไปส่งฉัน หลานก็คงจะเหนื่อยไปด้วย”
หลังจากวันนั้นที่ได้บอกกับครอบครัวแล้ว วันถัดมาใยบัวก็ไปยื่นใบลาออกจากที่ทำงานเลย แม้ว่าทุกคนจะตกใจและมึนงงว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจกะทันหันแบบนี้ ทว่าหญิงสาวก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากเพียงแค่บอกว่าได้งานทำใหม่ที่ถูกใจมากกว่า
ส่วนแม่ของเธอและพี่สะใภ้ ก็ได้รับปากกับหญิงสาวไว้ว่าจะไม่บอกใครว่าเธอจะไปอยู่ไหน ตอนแรกทั้งสองคนก็งงว่าทำไมต้องไม่ให้บอกใคร ทว่าใยบัวก็ไม่ได้ให้เหตุผลหรืออธิบายให้พวกเธอเข้าใจแต่อย่างใด
ร่างบางขนของขึ้นรถยนต์ของเธอเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว โดยมีแม่และพี่สะใภ้ช่วยจัดการ บัวแก้วแอบขัดใจเล็กน้อยที่ปล่อยให้ลูกสาวขับรถลงใต้คนเดียว ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะขับรถไปส่งเองด้วยซ้ำ แต่ติดที่ว่าเธอขับรถไม่เป็น จึงทำอะไรไม่ได้เลย
ใยบัวขับรถมาเรื่อยๆ มีจอดแวะพักบ้างตามปั๊มถ้าหากเกิดอาการเวียนหัวหรืออยากอาเจียน อาการแพ้ท้องของเธอยังคงมีอยู่ ทว่าพอทานยาที่หมอคนสวยจัดให้มาก็พอจะบรรเทาได้บ้าง
เธอไม่รู้ว่าจุดหมายของเธอจะไปที่ตรงจุดไหนของภูเก็ต ที่บอกแม่กับพี่สะใภ้ไปแบบนั้นก็แค่พูดไปส่งๆ งานที่บอกว่าจะมาทำก็ไม่มีอยู่จริง แค่อุปโลกน์ขึ้นมาให้คนที่บ้านสบายใจก็เพียงแค่นั้น
เพียงแค่อยากจะหนีมาจากความจริงที่เจ็บปวด มันทำเธอให้ต้องดิ้นรนหอบลูกมาไกลถึงต่างจังหวัด ซึ่งความลำบากของการขับรถมาคนเดียวก็คืออุปสรรคของการแพ้ท้องนี่แหละ
ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องขับรถมาด้วย ก็เพราะว่าเธอจำเป็นต้องใช้มันต่อ หากเดินทางไปโรงพยาบาลฝากท้องก็จะได้สะดวกมากขึ้น ยิ่งถ้าได้งานทำที่นั่นจริงๆ เธอก็ยังมียานพาหนะขับขี่ให้สะดวกขึ้นไปอีก
เงินเดือนที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตเป็นมูลค่า 6 หลักในบัญชี ซึ่งสำหรับเธอก็ถือว่ามากแล้ว ด้วยความที่เป็นคนมัธยัสถ์เป็นทุนเดิม บวกกับที่ไม่มีภาระส่งเสียแม่ของเธอ
เพราะบัวแก้วไม่คิดอยากจะแบมือของเงินลูกเลยแม้แต่บาทเดียว เธอยังพอมีรายได้จากการขายของทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นเงินเก็บของใยบัวจึงพอมีมาตั้งหลักอยู่บ้าง