บทที่ 8 ภาพซ้อน 1.1
ญาดานั่งมองโทรศัพท์สลับกับมองไปที่ประตูห้องนอนเป็นระยะ เวลา ขณะนี้เก้าโมงเช้าแล้ว หากแต่เจ้าของห้องยังไม่ออกมาจากห้องนอน ครั้นจะถือ วิสาสะแอบโทรศัพท์ไปหาภมรเพื่อถามข่าวคราวอาการเจ็บป่วยก็ไม่กล้า กลัวว่าเขาจะบ้าดีเดือดทำร้ายน้องชายของเธอตามคำขู่ จะเคาะประตูห้องนอนเรียกเขาเพื่อบอกความต้องการของเธอว่า อยากจะใช้โทรศัพท์ก็ไม่กล้าอีก กลัวว่าจะขัดจังหวะการนิทราของเขา จะเดินออกไปจากห้องนี้เลยยิ่งไม่ได้ใหญ่ ญาดาทำตัวไม่ถูกจริงๆ ระหว่างที่กำลังกลัดกลุ้มกับหนทางของตัวเอง ประตูห้องพักถูกเปิดออก ร่างของสเตฟี่กับคารอสเดินเข้ามาในห้อง เธอจึงลุกขึ้นจากโซฟา เดินตรงไปหาชายหนุ่มทั้งสองคน
“เปิ้ลขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้หรือเปล่าคะ” ญาดาคิดว่ายืมโทรศัพท์ของสเตฟี่น่าจะดีกว่าขอร้องคาลิเอโป เพราะรายนั้นเธอยังไม่แน่ใจว่าหากขอไปเธอจะได้ตามต้องการหรือไม่
“จะโทรศัพท์หาใครครับ” สเตฟี่เอ่ยถาม
“โทรหาน้องค่ะ อยากรู้ว่าตอนนี้น้องชายเป็นยังไงบ้าง” เขารู้ดีว่าญาดาเป็นห่วงน้องชายมากแค่ไหน ภมรเองโดนเจ้านายเล่นงานไปไม่ใช่น้อย เมื่อคืนหลังจากที่ภมรเดินกะเผลกออกไปจากห้อง เขาก็ไม่ได้ตามไปดูด้วยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ถ้าตามไปเขาอาจจะให้คำตอบเธอได้ สเตฟี่พยักหน้าก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือของตนออกจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะส่งให้ญาดา
“ขอบคุณมากค่ะ เปิ้ลขอโทรแค่สองสามนาทีเท่านั้นค่ะ” หญิงสาวยิ้มสวยด้วยความดีใจ เดินเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์ตรงบริเวณเคาน์เตอร์บาร์ ส่วนสองหนุ่มกำลังเดินไปที่ห้องนอนของเจ้านาย ทว่าบานประตูห้องนอนถูกเปิดออกมาเสียก่อน ตามด้วยร่างหนาของคาลิเอโปที่ก้าวเดินออกมาจากห้อง
“ว่าไงเรียบร้อยไหม” เจ้าของห้องเอ่ยถามลูกน้องทั้งสอง
“เรียบร้อยครับ นี่ครับ” สเตฟี่ตอบพร้อมกับล้วงกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินในกระเป๋ากางเกงออกมา ส่งให้เจ้านายหนุ่มที่ยื่นมือมารับของที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต
“ขอบใจมาก สั่งอาหารมาได้แล้ว” คาลิเอโปเปิดกล่องกำมะหยี่ที่อยู่ในมือออกดูของมีค่าที่อยู่ด้านใน เขายิ้มเต็มใบหน้า หยิบแหวนเพชรของรักของหวงที่อยู่ในสายสร้อยเส้นใหม่ขึ้นมาดู ก่อนจะบรรจงสวมสร้อยคล้องลำคอหนาของตนเอง ในที่สุดของที่เขารักได้กลับมาหาเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เมื่อเช้านี้สเตฟี่กับคารอสได้เดินทางไปที่ห้องเช่าของมานะ เพื่อสอบถาม ว่าภมรนำแหวนเพชรของเจ้านายตนไปจำนำไว้ที่ไหน จะไปถามภมรก็ไม่รู้จักบ้านคาดว่ามานะที่เป็นเพื่อนสนิทน่าจะรู้ ซึ่งมานะยอมตอบคำถามแต่โดยดีเพราะ กลัวว่าตนเองจะเจ็บตัวอย่างเมื่อคืนอีก พอทั้งสองได้ชื่อของโรงรับจำนำแล้วก็เดินทางไปที่นั่นทันที พร้อมกับเจรจาขอไถ่ถอนแหวนเพชรที่ถูกคนขโมยมาจำนำคืน คราแรกเจ้าของโรงรับจำนำไม่ยอม เนื่องจากต้องให้คนที่จำนำมาไถ่ถอนเอง ซึ่งสเตฟี่บอกว่าถ้าอย่างนั้นเขาจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจบอกว่า โรงรับจำนำแห่งนี้รับจำนำของโจรที่ขโมยมา ถ้าอยากมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลก็เอา เขาทั้งสองไม่ว่าอะไร เจ้าของโรงรับจำนำจึงจำยอมให้ไถ่ถอนแต่โดยดีเพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากเป็นคดีความเท่าไหร่นัก พอได้ทรัพย์สินของเจ้านายคืนทั้งสองจึงมุ่งตรงมาที่โรงแรมทันที
คาลิเอโปชะงักเท้าที่กำลังเดินไปที่ห้องรับประทานอาหาร เนื่องจากโสตประสาทหูของเขาได้ยินเสียงการสนทนาของใครบางคนอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ เท้าหนาจึงเปลี่ยนทิศทางไปที่บาร์ขนาดกลางนั้นทันที ชะโงกมองสาวร่างเล็กที่นั่งยองๆ อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์กำลังสนทนากับปลายสายเสียงกระซิบกระซาบ ราวกับว่ากลัวเขาจะได้ยิน ชายหนุ่มเท้าแขนมองดูการกระทำของญาดาโดยที่ไม่ขัดจังหวะของเธอ เขาทนรอจนกว่าการสนทนาของหญิงสาวและปลายสายจะยุติ
“อุ้ย!!” ญาดาอุทานด้วยความตกใจ เมื่อตนเองลุกขึ้นยืนหลังจากสนทนากับภมรเสร็จ ไม่คิดว่าคาลิเอโปจะยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ เขาคงรู้แล้ว ว่าเธอแอบมาโทรศัพท์ หญิงสาวอดใจสั่นไม่ได้เพราะกลัวว่าเขาจะไม่พอใจระเบิดอารมณ์ความโกรธใส่เธออีก
“คุยกับใคร” เขาถามเสียงเรียบไม่บ่งบอกถึงความไม่พอใจทั้งสีหน้าและน้ำเสียง ปรายตามองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของญาดานิ่ง เขาจำได้ดีโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของสเตฟี่ลูกน้องคู่ใจ เธอคงขอยืมโทรศัพท์ลูกน้องของเขาแน่ๆ
“โทรหาน้องชายค่ะ” ญาดาตอบแต่โดยดี
“แล้วมันตายหรือยังล่ะ” คราวนี้น้ำเสียงของผู้พูดค่อนข้างเข้มห้วน เมื่อพูดถึงหัวขโมยตัวแสบที่กล้าล้วงคองูเห่า
“......” หญิงสาวเลือกที่จะไม่ตอบเขา กลัวว่าถ้าเขารู้ว่าภมรยังมีชีวิตอยู่ ไม่แน่อารมณ์บ้าเลือดอยากฆ่าคนอาจจะกำเริบขึ้น สั่งให้ลูกน้องไปปลิดชีวิตน้องชายของเธอก็เป็นได้
“ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ เพราะฉันเองก็ไม่อยากรู้เท่าไหร่นักหรอก กลัวว่าจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ตามไปฆ่าน้องชายของเธอ แล้วนี่ไม่คิดจะอาบน้ำเลยหรือไง เหม็นสาบจะแย่อยู่แล้ว” เขาเปลี่ยนเรื่องถาม ทำจมูกฟุดฟิดประกอบคำพูดคล้ายกับว่ากลิ่นตัวของเธอทำให้เขารำคาญใจ ญาดาอึกอักที่จะตอบ เธอจะอาบน้ำที่ไหน ในเมื่อห้องสวีตห้องนี้มีห้องอาบน้ำเพียงห้องเดียว คือห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอน ส่วนห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกไม่สามารถอาบน้ำได้ มีไว้เพื่อทำ ธุระหนักเบา ล้างหน้าล้างมือเท่านั้น อีกทั้งเสื้อผ้าของตนเองก็ไม่มีผลัดเปลี่ยนด้วย
“เปิ้ล เปิ้ลไม่รู้ว่าจะอาบที่ไหนค่ะ อีกอย่างก็ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนด้วย” เธอตอบเขาตรงๆ
“ไปอาบน้ำที่ห้องของฉันโน่นไป เหม็นทั้งปากเหม็นทั้งตัว ยาสีฟันแปรงสีฟันมีสำรองอยู่ในห้องน้ำของฉันแล้วเธอแกะใช้ได้เลย ส่วนเรื่องเสื้อผ้าก็ใส่มันชุดเดิมนี่แหละ ไปสิชักช้าอยู่ได้ เหม็นจนจะอ้วกอยู่แล้ว” ญาดารีบทำตาม ที่เขาสั่งทันที ใจหนึ่งกลัวเขาจะหงุดหงิด ใจหนึ่งก็อยากชำระล้างร่างกายเต็มแก่เหมือนกัน
“ฉันให้เวลาเธอห้านาทีนะ ไม่งั้นฉันจะเข้าไปอาบน้ำให้เธอเอง” เสียงของเขาพูดไล่หลังร่างบางที่เดินแกมวิ่งเข้าไปที่ห้องนอน เขาจึงหมุนกายเดินไปที่ห้องรับประทานอาหาร มองหน้าสเตฟี่ที่ยืนหลบสายตาของผู้เป็นเจ้านายเขม็ง
“ทีหลังถ้าฉันไม่อนุญาตให้ผู้หญิงคนนั้นโทรศัพท์ ห้ามใครหน้าไหนให้ยืมโทรศัพท์เด็ดขาด” คาลิเอโปเลี่ยงที่จะเรียกชื่อเล่นของญาดาตรงๆ เพราะเขาแสลงใจทุกครั้งที่ได้ยินหรือว่าจะพูดออกไป เนื่องจากเป็นชื่อเล่นของวรัญชิญา หญิงสาวที่เขาผูกใจรักมากที่สุด
อีกห้านาทีไม่ขาดไม่เกินร่างของญาดาเดินออกมาจากห้องนอนของมาเฟียหนุ่ม เท้าเล็กๆ เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร เมื่อสเตฟี่บอกเธอว่าเจ้านายรอรับประทานอาหารอยู่ อาการเกร็งแล่นเข้ามาในร่างกายของญาดาทันทีที่รู้ว่าจะต้องรับประทานอาหารกับเขา
“นั่งสิ ที่เรียกให้มากินข้าวด้วยเพราะมีเรื่องจะคุยกับเธอ ไม่ได้พิศวาสอะไรหรอก” เขาพูดเมื่อเห็นเธอลังเลที่จะนั่งรับประทานอาหารพร้อมเขา ญาดา หน้าชาเล็กน้อยกับคำพูดบัวไม่มีใยของเขา ใช่สิ เขาจะมาพิศวาสอะไรตัวเธอนักหนา เพราะถึงอย่างไรตัวเธอเองก็ไม่มีค่าสำหรับเขาอยู่แล้ว ความน้อยใจจึงแล่นเข้ามาในหัวใจดวงน้อยๆ
“ต่อไปนี้เธอต้องอยู่ที่นี่” เขาพูดเป็นประโยคแรกหลังจากที่ทั้งสองกำลังนั่งรับประทานอาหาร
“อยู่ที่นี่ ทำไมต้องอยู่ด้วยคะ” ญาดาถามด้วยความไม่เข้าใจ จะให้เธออยู่ที่นี่ทำไมในเมื่อเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบเธอ แล้วจะให้อยู่ขวางหูขวางตาทำไม
“อยู่ชดใช้ความผิดที่น้องชายเธอทำไว้ไง จะไม่อยู่ก็ได้นะฉันไม่ว่า แต่ฉันไม่รับรองความปลอดภัยชีวิตของน้องชายเธอ” เขาพูดอย่างผู้ถือไพ่ เหนือกว่า คนที่ฟังอยู่ถึงกับหน้าซีด มือที่ถือช้อนตักอาหารเริ่มสั่น แล้ววางมันลงในถ้วยข้าวต้มก่อนที่มันจะหลุดมือ คำพูดของเขาเหมือนสุภาษิตหนึ่งที่ว่า ลูกไก่ในกำมือจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ความเป็นและความตายของภมรขึ้นอยู่กับคาลิเอโป ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของญาดาเอง
“อยู่ในฐานะอะไรคะ” คาลิเอโปตวัดสายตามองคนที่ถาม พร้อมกับรอยยิ้มหยันที่มุมปาก
“ผู้หญิงอย่างเธอมีประโยชน์ตอนที่อยู่บนเตียงเท่านั้นแหละ ฐานะ นี้แหละที่ฉันจะมอบให้เธอ” ดวงหน้างามไร้สีเลือดทันทีที่เขาพูดจบประโยคชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หัวใจสะท้านด้วยความรู้สึกหลากหลาย เสียใจ น้อยใจเจ็บปวดระคนร้าวราน มันเป็นคำพูดที่ตรงตัวไม่ต้องแปลเลย
“คุณคาร์ลไม่กลัวจะทรยศกับความรักที่มีต่อคุณวรัญชิญาเหรอคะ” ความรู้สึกต่างๆ ที่อยู่ในใจ ผลักดันให้เธอถามประโยคนี้ออกมา ดวงตาคมเข้มของคาลิเอโปจ้องมองดวงหน้าซีดเผือดของญาดาด้วยความไม่พอใจ ไม่ใช่สิ มันเหมือนกับเธอสะกิดแผลที่อยู่ในใจของเขามากกว่า
“คำว่าทรยศต่อความรักที่มีให้แอปเปิล มันตีความหมายได้ว่าฉันต้อง มีใจให้กับเธอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฉันไม่มีให้เธอเลยสักนิด ความใคร่ทางร่างกายกับความรักทางหัวใจมันถูกแยกออกจากกันนะ ฉันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยังมีกิเลสตัณหาเหมือนกับผู้ชายทั่วไป จะระบายความใคร่กับผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด อะไร แต่หัวใจของฉันไม่มีวันมอบให้ใครนอกจากแอปเปิลเพียงคนเดียว ฉันพูดอย่างนี้เธอคงจะเข้าใจนะญาดา” หัวใจของญาดาเต้นตุบๆ ด้วยความเจ็บปวดระหว่างที่เขาพูดประโยคทำให้เธอช้ำใจ จริงอย่างที่เขาพูด ความใคร่กับความรักมันอยู่คนละส่วนกันจริงๆ คาลิเอโปมีความรักที่มากล้นต่อวรัญชิญา หญิงคนรักที่ตายจาก หากเลือดเนื้อและความใคร่ยังคงมีในความรู้สึกเหมือนปุถุชนธรรมดาเช่นกัน ญาดาอดที่อิจฉาความรักที่เขามีต่อหญิงสาวที่ตายจากไม่ได้ วรัญชิญาจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว ทว่าความรักที่คาลิเอโปมีให้คนรักนั้นหาได้ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย
“นานแค่ไหนคะที่เปิ้ลต้องอยู่ที่นี่กับคุณ”
“ฉันไม่คิดที่จะเอาเธอเป็นนางบำเรอตลอดชีวิตหรอก ก็แค่ระยะเวลาที่ฉันอยู่ที่นี่เท่านั้น พอฉันกลับอิตาลีเธอก็จะเป็นอิสระพร้อมกับเงินก้อนโตที่ฉันจะจ่ายเป็นค่าตัวของเธอ” ญาดามีความรู้สึกว่าเธอกำลังถูกตบหน้าอย่างแรง ตามด้วยอาการชาที่เคลือบตามผิวหน้า เมื่อความชาลดระดับลงความเจ็บปวดที่ไม่รู้ว่ามาจากทิศทางใดจู่โจมเข้ามาในหัวใจพร้อมๆ กัน มันเจ็บปวดร้าวระบมประดุจมีมีดที่ความทื่อค่อยๆ เฉือนก้อนเนื้อหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ มันจึงเจ็บปวดมากกว่าที่มีมีดคมกริบเฉือนหัวใจ
น้ำตาหยดใสๆ รินไหลออกมาด้วยความชอกช้ำ อีกส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับเข้าไปในอกหล่อเลี้ยงหัวใจที่กำลังจะแหลกสลาย ญาดาถึงกับพูดไม่ออกต่อประโยคไม่ได้ เธอทำได้แต่เพียงนิ่งเงียบ ร้องไห้เงียบๆ ปาดน้ำตาทิ้งราวกับเด็กๆ ท่าทางและน้ำตาของญาดาที่คาลิเอโปมองเห็นนั้น ไม่ได้ทำให้เขาใจอ่อนหรืออยากจะเข้าไปปลอบโยนเลยแม้แต่น้อย ออกจะรำคาญด้วยซ้ำ