บทที่ 9 ภาพซ้อน 1.2
“มีอีกข้อที่เธอต้องปฏิบัติระหว่างที่อยู่ที่นี่ เวลาอยู่ต่อหน้าฉันห้ามเธอเรียกตัวเองว่าเปิ้ล จะเรียกอะไรก็ได้ยกเว้นชื่อนั้น ฉันจะเรียกเธอว่าญาดา ถ้าฉันได้ยินเธอเรียกชื่อที่ฉันสั่งห้าม คนที่จะเจ็บตัวก็คือน้องชายของเธอจำไว้” คาลิเอโปยอมรับว่าญาดามีความคล้ายคลึงกับวรัญชิญามาก ทั้งน้ำเสียง ท่าทางความหวาดกลัวตอนที่เขาหักหาญน้ำใจ โดยเฉพาะแววตาหวานปนเศร้ายิ่งเหมือนกันมากราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาให้ญาดาอยู่ที่นี่ อยู่เป็นเงาของคนที่เขารัก แค่เงาเท่านั้น
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ รู้ถึงความจำเป็นที่เขาสั่งไม่ให้เธอเรียกชื่อแทนตัวเองว่าเปิ้ล เขาคงเจ็บที่ได้ยินชื่อนี้ แต่เขาจะคิดหรือไม่ว่าตัวเธอนั้นเจ็บยิ่งกว่า เจ็บที่ต้องอยู่ที่นี่ในฐานะ ในสภาพที่ตัวเองไม่เคยแม้แต่จะคิดมาก่อน เจ็บที่ต้องเป็นเงาของใครบางคน ญาดาเจ็บปวดกับคำคำนี้มากที่สุด
“ส่วนเรื่องเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวของเธอ ฉันจะให้สเตฟี่พาเธอไปเอาที่บ้านเอง แค่นี้แหละที่ฉันจะพูดด้วย ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมแล้วจะบอกทีหลัง” เขาลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องรับประทานอาหารทันทีที่พูดจบ ไม่สนใจสาวร่างเล็กที่นั่งก้มหน้าร้องไห้เลยแม้แต่นิดเดียว
ภมรเดินกะเผลกมานั่งที่โต๊ะไม้ตัวยาวของบ้านอย่างยากลำบาก เมื่อคืนหลังจากที่ออกมาจากห้องพักของคาลิเอโป จุดมุ่งหมายที่เขาเดินทางไปหาใช่โรงพยาบาลไม่ แต่กลับเป็นคลินิกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก คลินิกแห่งนี้รู้กันในหมู่นักเลงหัวไม้ว่ารับรักษาทุกรูปแบบไม่ว่าแผลที่เกิดจากปืนผาหน้าไม้ คมมีดคมดาบ กระสุนปืน เพราะหากไปโรงพยาบาลจะต้องถูกซักประวัติเกี่ยวกับที่มาที่ไปของบาดแผล และเรื่องอาจเกี่ยวโยงถึงตำรวจ ซึ่งอาจ จะเป็นคดีความในที่สุด ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการไปรักษาตัวที่คลินิกแห่งนี้
“แม่งเอ๊ย!! ทำไมซวยอย่างนี้วะ รวยซะเปล่าแค่แหวนวงเดียวทำเป็นหวง กะอีแค่แหวนของคนตายจะอะไรกันนักกันหนาวะ” ภมรทรุดกายนั่งบนโต๊ะไม้ตัวยาว บ่นอย่างหัวเสียเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาไม่เข้าใจเลยว่าคาลิเอโปมาเฟียชื่อดังของอิตาลีจะจมอยู่กับความรักครั้งเก่าก่อนได้มากขนาดนี้ หากรู้มาก่อนล่วงหน้าเขาจะไม่คิดหยิบแหวนวงนั้นเลย แต่ก็ช่างเถอะมันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสนใจอีกต่อไป เพราะตอนนี้เขารอดปลอดภัยจากมือของอสูรตนนั้นแล้ว ปล่อยให้พี่สาวรับกรรมไปคนเดียวก็แล้วกัน ระหว่างที่ภมรกำลังนั่งนึกถึงเรื่องขวัญผวาที่เกิดขึ้น ชายคนหนึ่งซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาได้เดินเข้ามาในบ้าน
“อ้าว ต้อมไปโดนอะไรมาน่ะ” วีรเทพเอ่ยถามชายร่างเล็กที่มีผ้าพันแผลพันรอบต้นขาที่โผล่ออกมาจากชายกางเกงบ็อกเซอร์ตัวสั้นของภมร
“หมากัด หมาพันธุ์อิตาเลียนด้วย ทั้งดุ ทั้งน่ากลัวดูสิ มันกัดผมซะสูงเลย” ผู้พูดทำท่าสยองประกอบคำพูด พร้อมกับดึงชายกางเกงขึ้นสูงเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นบาดแผล
“สงสัยหมาจะตัวใหญ่นะกัดซะสูงเลย ดีนะกล่องดวงใจไม่ถูกหมาพันธุ์ดุมันกัดขาดไปด้วย” ใบหน้าของผู้พูดยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยเลือดจางๆ ที่ซึมออกมาจากผ้าพันแผล แต่ก็น่าแปลกรอยสุนัขกัดทำไมถึงมีเลือดซึมออกมาด้วย ไม่น่าจะมีเลือดไหลเยอะขนาดนี้
“พี่ว่านหายหน้าหายตาไปตั้งนาน มาที่นี่วันนี้มีธุระอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ตั้งแต่วีรเทพเลิกรากับญาดาพี่สาวเมื่อเจ็ดเดือนก่อน วีรเทพก็ห่างหายจากบ้านหลังนี้รวมทั้งไร้ซึ่งการติดต่ออีกด้วย การมาของวีรเทพในวันนี้ภมรเองก็อดแปลกใจไม่ได้ วีรเทพยิ้มเมื่อนึกถึงสาเหตุที่เขามาที่บ้านหลังนี้
“พี่มาหาเปิ้ลน่ะ อยู่หรือเปล่า”
“ไม่อยู่หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่รอที่นี่ก็แล้วกัน” วีรเทพหมายมั่นว่าวันนี้เขาต้องบอกความในใจให้ญาดาได้รับฟัง เขากลับมาเพื่อบอกเธอว่าตลอดเจ็ดเดือนที่ผ่านมา เขาไม่มีความสุขเลยที่ห่างกายเธอ และมั่นใจว่าหัวใจของเขามอบให้ญาดาทั้งดวง เธอไม่ใช่เงาของสดศรีพี่สาวที่จากไปของญาดาและภมรไม่
“ไม่ต้องรอหรอก คงไม่กลับมาง่ายๆ” ภมรพูดแทรกขึ้น ทำให้คนที่กำลังหย่อนกายนั่งที่ม้านั่งตัวยาวชะงักไปนิด ก่อนจะนั่งลงตามที่ตนเองต้องการ
“ทำไมต้อมพูดอย่างนั้นล่ะ” วีรเทพถามอย่างสงสัย อีกฝ่ายยักไหล่ แบะปากนิดๆ เป็นกิริยาที่ไม่แยแสกับเรื่องที่ตัวเองทำลงไป
“ก็อย่างที่ผมพูดนั่นแหละ นี่ป่านนี้คงถูกไอ้หมาบ้ามันฟัดตัวช้ำไปแล้วมั้ง ดุขนาดนั้นนะคงไม่รอด” ยิ่งฟังภมรพูดเขายิ่งไม่เข้าใจ ภมรกำลังสื่ออะไรให้เขารับรู้ หมาบ้า คำนี้หมายถึงอะไร
“หมาบ้า หมายความว่ายังไงต้อม ตกลงเปิ้ลไปไหนเนี่ย” น้ำเสียงที่ถามคล้ายกับว่าอยากรู้เต็มที่
“หมาบ้าก็คือหมาบ้านั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก อยากรอก็รอไป ผม ไปนอนก่อนนะ ปวดขา” ภมรตัดความรำคาญและไม่อยากตอบคำถามของวีรเทพด้วย ก็เลยตัดบทเอาดื้อๆ กำลังจะลุกขึ้นยืนหากแต่มือใหญ่ของวีรเทพกดที่บ่าของเจ้าของภมรเอาไว้ คล้ายกับว่าหากเขาไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ภมรไม่มีสิทธิ์ลุกไปไหนทั้งนั้น
“ตอบพี่มาเปิ้ลไปไหน ต้อมไปก่อเรื่องอะไรไว้หรือเปล่า” วีรเทพถามเสียงเครียด จ้องมองภมรนิ่งคาดคั้นคำตอบทางสายตา
“เปล่า ไม่ได้ทำอะไรนี่” ภมรยังคงเป็นผู้ร้ายปากแข็งเหมือนเดิม
“ตอบพี่มา พี่รู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านี้ ถ้าต้อมไม่ตอบเจอดีแน่” นิ้วชี้ของวีรเทพชี้ไปที่ใบหน้าของภมร ถลึงตาใส่ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักโต หากเขาไม่ได้รับ คำตอบที่เป็นความจริง ภมรเจอดีอย่างที่เขาบอกแน่ ชายหนุ่มรุ่นน้องหน้าเสียทันทีเมื่อถูกผู้มาเยือนข่มขู่ มีหรือคนอย่างเขาจะไม่ยอมบอก
“เมื่อวานผมขโมยแหวนของลูกค้าในโรงแรมเพื่อจะเอาไปขายนำเงินมาใช้หนี้เสี่ยเหลิม แต่ว่าเจ้าของแหวนมาทวงคืนก่อนจะจับผมไปที่โรงแรม พี่เปิ้ลตามไปช่วย มันบอกว่าจะมีคนออกจากห้องของมันเพียงคนเดียว พี่เปิ้ลเสียสละให้ผมออกมา ส่วนพี่เปิ้ลก็อยู่ที่นั่น แผลที่ต้นขาไม่ใช่แผลที่ถูกหมากัดหรอกครับ เป็นแผลที่ถูกเจ้าของแหวนยิง มันน่ะหมาบ้าชัดๆ เลยพี่ว่าน ผมเลยตั้งฉายามันว่าหมาบ้าพันธุ์อิตาเลียน เพราะมันเป็นมาเฟียอิตาลี แต่คิดไปคิดมามันก็ดีเหมือนกันนะ บางทีถ้าพี่เปิ้ลกลับมาอาจจะได้เงินติดตัวมาบ้างก็ได้ คิดไปคิดมา มีแต่ได้กับได้”
สีหน้าของคนฟังเต็มไปด้วยความตกใจ แต่คนที่เล่ากลับทำหน้าตาเฉยไม่มีความสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป ตัวเองทำเรื่องร้ายแรงขนาดนี้กลับไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่มีทีท่าว่าจะกระตือรือร้นหาทางช่วยพี่สาวเลย แถมยัง เห็นดีเห็นงามที่ญาดาอยู่กับมาเฟียคนนั้น ทำไมนิสัยของพี่น้องคู่นี้ช่างแตกต่างกันมากนัก วีรเทพรู้สึกสงสารญาดาจับใจ
“ทำไมต้อมถึงทำแบบนี้คิดแบบนี้ เปิ้ลเป็นพี่สาวของต้อมนะ เปิ้ลเขาไม่ได้เป็นคนผิดแล้วทำไมต้องมารับกรรมแทนต้อมด้วย คนผิดก็ต้องยอมรับผิดสิ แถมยังมาพูดจาเห็นดีเห็นงามที่เปิ้ลต้องอยู่กับมาเฟียคนนั้นอีก ไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับการกระทำของตัวเองเลยนะ อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าลูกผู้ชายหรอก เขาเรียกว่าหน้าตัวเมีย” วีรเทพไม่รู้จะสรรหาคำด่าอะไรเทียบเท่าประโยคนี้ ภมรเลวไร้ที่ติ จริงๆ แทนที่คนที่โดนด่าจะสำนึกผิดหรือมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง สิ่งที่วีรเทพเห็นก็คือภมรนั่งผิวปากลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา วีรเทพเห็นแล้วอยากกระทืบให้จมดิน
“โธ่ พี่ว่านทำเป็นตื่นตูมไปได้ ที่ผมไม่เป็นห่วงเพราะว่าพี่เปิ้ลกับไอ้หมาบ้านั่นเคยเป็นกิ๊กกันมาก่อน ถึงขนาดได้เสียกันเลยนะ รับรองพี่เปิ้ลไม่มีรอยขีดข่วนกลับมาแน่นอน เชื่อผมสิ” คำพูดของภมรสร้างความตกใจให้กับวีรเทพอีกครั้ง หัวใจของเขาตอบสนองกับคำบอกเล่าที่ได้ยินทันที มันเต้นเร็วแรง ใจของเขาสั่นอย่างบอกไม่ถูก เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดที่ได้ยินมา ภมรเป็นคนโกหกเก่งเอาตัวรอดเป็นที่หนึ่ง พร้อมที่จะโยนสิ่งปฏิกูลให้คนอื่นเสมอ เพื่อไม่ให้ตัวเองมีกลิ่นเหม็นติดตัว ประโยคที่ภมรพูดก็เช่นเดียวกัน วีรเทพมั่นใจว่าเป็นการพูดเพื่อให้ตัวเองมีความผิดน้อยลง
“พี่ไม่เชื่อ เปิ้ลไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ไม่มีทาง” วีรเทพไม่เชื่อคำพูดของภมรเลย เขาไม่อยากจะเชื่อเลย
“จริงทุกเม็ดทุกคำเลยพี่ว่าน ผมได้ยินกับหูเลยนะ พี่เปิ้ลพูดออกมาจริงๆ ว่าเคยมีอะไรกับมาเฟียหมาบ้านั่น ไม่เพียงแต่ผมนะที่ตกใจ ขนาดลูกน้องของไอ้หมาบ้านั่นฟังแล้วยังตกใจเหมือนผมเลย” ภมรพูดย้ำเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อ ประโยคนี้ที่วีรเทพได้ยินทำให้เขามีความเชื่อขึ้นมาระดับหนึ่งแต่ไม่ปักใจเชื่อ เต็มร้อย
“พี่ไม่เชื่อจนกว่าจะได้ยินจากปากของเปิ้ลเอง”
“ถ้าพี่ว่านอยากได้ยินจากปากของพี่เปิ้ล โน่นเลยโรงแรมสกายบีช ห้องวีไอพีสวีต อยากรู้มากนักว่าคำพูดของผมจริงหรือไม่จริงก็ไปหาคำตอบเอาเองก็แล้วกัน แต่ระวังหน่อยนะถ้าจะไปใส่เสื้อเกราะกันกระสุนไปด้วย แถวนั้น หมามันดุ” ภมรพูดออกไปอย่างรำคาญ เขาเลยยุให้อีกฝ่ายไปหาคำตอบเอาเองที่โรงแรมสกายบีช จะได้รู้ความจริงเสียที
“ได้ พี่จะไปหาคำตอบด้วยตัวของพี่เอง” ใช่ เขาต้องหาคำตอบที่อยากรู้ด้วยตัวเอง วีรเทพรีบรุดออกไปจากบ้านของญาดาทันที จุดมุ่งหมายของเขาคือโรงแรมสกายบีช
“ไปเลย ไปให้มันกระทืบเล่นเลย กูบอกก็ไม่เชื่อ อยากโง่ให้ไอ้หมาบ้านั่นมันยิงเล่นก็ตามใจ กูไม่สนหรอกทั้งมึงทั้งพี่เปิ้ล กูสนแต่ตัวกูเอง ไปนอนดีกว่า” ภมรพูดหลังจากที่วีรเทพเดินออกไปจากรั้วบ้าน ก่อนที่ภมรจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง