บทที่ 5 สวรรค์สร้างฤาสวรรค์แกล้ง 1.2
คนที่กำลังจะชะตาขาดบัดนี้กำลังตั้งวงสุราดื่มฉลองความสำเร็จของ ตัวเองอยู่ที่ห้องพักของมานะ แหล่งมั่วสุมที่เขาและเพื่อนๆ จะต้องมาใช้บริการทุกวัน
“เอ้า...ฉลองกันหน่อยโว้ย ฉลองความสำเร็จที่กูสามารถหาเงินมาใช้เสี่ยเหลิมได้ แถมยังมีเหลือให้เราถลุงอีกเป็นแสน ไม่คิดเลยว่าแหวนวงเล็กๆ วงนั้น กูเอาไปจำนำจะได้เงินสามสี่แสนขนาดนี้ วันนี้เต็มที่โว้ย ไม่เมาไม่เลิก” ภมรพูดออกมากลางวงสุราด้วยความปลาบปลื้มใจกับการทำเลวในครั้งนี้ของตนเอง เพื่อนๆ ทั้งหลายต่างเฮลั่น ยกแก้วสุราขึ้นสูงชนกับแก้วสุราของเพื่อนๆ จนเกิดเสียงของแก้วกระทบกัน ทุกคนกำลังมีความสุขโดยไม่รู้ว่าอีกไม่ถึงหนึ่งนาทีความทุกข์กำลังจะมาเยือน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้ง หากแต่คนที่อยู่ด้านในที่กำลังมัวเมากับสุราและยานรกจนไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูที่เริ่มดังถี่รัวมากขึ้น คนที่เคาะประตูเริ่มหงุดหงิดและทนรอต่อไปไม่ไหว ถอยห่างประตูมาสองก้าวก่อนจะใช้ฝ่าเท้าถีบไปที่ประตูไม้สามครั้งซ้อน ได้ผลประตูไม้กลางเก่ากลางใหม่เปิดออกกว้าง คนที่อยู่ในห้องหันมามองบานประตูที่เปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในห้องอีกเจ็ดคน หนึ่งในจำนวนนั้นคือวิกรมเพื่อนของภมรเอง
“อะไรกันวะไอ้อั้ม มึงพาใครมาด้วยเนี่ย” ภมรเป็นคนเอ่ยถาม ท่าทางของชายหนุ่มทั้งห้าคนที่มาพร้อมวิกรมน่ากลัวทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่ยืนหน้าสุดใบหน้าของเขานั้นดุกร้าว แววตาเหมือนมีไฟอยู่ในนั้น
“กูพาคุณคาร์ลมาหามึง คุณคาร์ลอยากจะถามอะไรมึงนิดหน่อย เกี่ยวกับแหวนของเขาที่หายไป”
วิกรมตอบคำถามเพื่อน ภมรหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้คือคาลิเอโปเจ้าของห้องพักที่เขาขโมยแหวน มา แต่พยายามเก็บอาการเอาไว้ไม่ให้ใครผิดสังเกต ตอนนี้ในตัวของเขาไม่มีหลักฐานว่าเขาเป็นคนขโมยแหวนมา เพราะเขาได้เปลี่ยนมันเป็นเงินเรียบร้อยแล้ว ส่วนใบที่โรงรับจำนำให้มานั้นเขาได้ฉีกทำลายหลักฐานเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่หลงเหลือหลักฐานใดๆ เลยแม้แต่ชิ้นเดียว นอกจากเงินที่อยู่ในกระเป๋า
“นายเห็นแหวนที่วางอยู่ในห้องน้ำ ตรงอ่างล้างหน้าหรือเปล่า” คาลิเอโปถามภมรเป็นภาษาไทยค่อนข้างชัดเจน ดวงตาคมกล้าจ้องเขม็งที่ใบหน้าของคนที่ถูกถามนิ่ง ภมรทำใจดีสู้เสือยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“ผมไม่รู้ครับ ตอนที่ผมเข้าไปทำความสะอาดในห้องน้ำ ผมเห็นแค่สร้อยที่ขาดวางอยู่ตรงขอบอ่างล้างหน้าเท่านั้นครับ ส่วนแหวนเพชรผมไม่เห็นครับ” ภมรเอ่ยตอบเสียงค่อนข้างสั่น จะไม่ให้สั่นได้ยังไงในเมื่อคาลิเอโปมองหน้าเขาอย่างจับผิดชนิดที่เรียกว่าตาไม่กะพริบ เพื่อนๆ ของภมรที่นั่งตั้งวงสุราอยู่นั้นเงียบกริบไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเพื่อนแต่อย่างใด
“ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าแหวนวงนั้นเป็นแหวนอะไร อาจจะเป็นแหวนทอง แหวนเงินก็ได้ แต่ทำไมนายรู้ว่ามันคือแหวนเพชร” ภมรถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกอีกฝ่ายดักคออย่างรู้เท่าทัน เหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามใบหน้าและแผ่นหลังของภมร ใจเต้นเร็ว ความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนกำลังเกิดขึ้นในความรู้สึกของเขา
“ผะ...ผมเดาเอาน่ะครับ คิดว่าฐานะอย่างคุณไม่น่าจะมีแหวนทองแหวนเงินอย่างที่คุณพูดเมื่อสักครู่ น่าจะมีแหวนเพชรมากกว่าครับ” ในที่สุดเขาก็หาข้อแก้ตัวได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อเลยแม้แต่นิดเดียว ออกจะมั่นใจด้วยซ้ำว่าภมรเป็นคนขโมยแหวนของเขาไป คาลิเอโปหลุบตามองขวดสุรายี่ห้อดังที่มีราคาขวดละไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันบาทที่มีถึงสามขวด กับแกล้มแต่ละอย่างนั้นล้วนแล้วแต่มีราคาแพงทั้งสิ้น เขาไม่ได้ดูถูกหรือว่าดูแคลนคนเหล่านี้ เพียงแต่ว่าทั้งฐานะและวัยวุฒิคนพวกนี้ไม่น่าจะมีเงินซื้อสุราแพงๆ ได้ ยิ่งคำบอกเล่าของวิกรมที่บอกอุปนิสัยของภมรด้วยแล้ว เขายิ่งมั่นใจมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป
“ฉันจะถามอีกครั้งเดียวว่า นายเห็นแหวนเพชรของฉันที่วางอยู่ที่อ่างล้างหน้าหรือเปล่า” คาลิเอโปถามด้วยน้ำเสียงเน้นหนักทุกคำพูด ภมรตอนนี้ถึงกับพูดไม่ออก ไม่รู้จะตอบออกไปยังไงดี หากแต่ภมรก็ยังคงเป็นภมร เป็นผู้ร้ายปากแข็งเช่นเดิม
“ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ” สิ้นคำตอบของภมร ปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวของคาลิเอโปถูกเจ้าของดึงออกมา พร้อมกับเล็งไปที่ร่างของภมรที่บัดนี้ดีดตัวลุกขึ้นยืน หน้าซีดราวกับไก่ต้ม ตัวสั่นอย่างกับลูกหมาเปียกน้ำ ไม่ต่างอะไรกับมานะ อนันต์และเพื่อนอีกสี่ห้าคนของภมรที่บัดนี้ยืนกระจุกรวมตัวกันอยู่ที่เดียว
“กูจะให้โอกาสมึงอีกครั้ง มึงเอาแหวนของกูมาใช่ไหม”
คาลิเอโปตะโกนถามเสียงดังราวกับฟ้าผ่า สีหน้าไม่บ่งบอกถึงความเมตตาเลยสักนิดเดียว เขาพร้อมที่จะเหนี่ยวไกปืนได้ทุกเมื่อทุกเวลา ภมรและเพื่อนๆ ถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความหวาดกลัว อนันต์ที่ขี้ขลาดตาขาวมากที่สุดในกลุ่ม รีบพูดบางอย่างขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองรอดจากความตายที่กำลังเผชิญ
“ไอ้ต้อมครับ ไอ้ต้อมมันเป็นคนขโมยแหวนของคุณมาจริงๆ มันเอาไปจำนำที่โรงรับจำนำ ได้เงินมาก็เอามาซื้อเหล้าให้พวกผมกินอย่างที่คุณเห็น พวกผมไม่เกี่ยวไม่รู้เรื่องด้วยเลย ปล่อยผมไปเถอะครับ ผมไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ” อนันต์พูดออกมาเพราะความกลัว ทั้งๆ ที่แผนนี้เขาเป็นคนชี้ทางให้ภมรทำ ภมรมองหน้าเพื่อนสนิทที่โยนความผิดมาให้เขาเต็มๆ อย่างไม่พอใจ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ แทนที่จะช่วยเหลือเขา กลับพูดในทำนองเดียวกันอีก
“จริงครับ ไอ้ต้อมมันทำคนเดียว ผมกับเพื่อนๆ ไม่รู้เรื่องด้วยเลยครับ”
มานะและเพื่อนที่เหลือต่างร้องขอชีวิตกันอย่างถ้วนหน้า มีเพียงภมรเท่านั้นที่ปากหนักอึ้งไม่สามารถขยับเขยื้อนปากพูดอะไรได้เลย ความกลัวยิ่งเพิ่มพูนมากเป็นร้อยเท่า เมื่อคาลิเอโปเดินเข้ามาใกล้ แล้วปลายกระบอกปืนก็มาจ่ออยู่กลางหน้าผากของหัวขโมย
“ผมขอโทษครับ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขโมยแหวนของคุณเลยครับ ผมมีความจำเป็นจริงๆ ครับ” ในที่สุดภมรก็รับสารภาพว่าเขาเป็นคนขโมยของรัก ของหวงของคาลิเอโปมาจริงๆ ภมรทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าพร้อมกับยกมือไหว้ร้อง ขอความเมตตาที่ตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า อีกฝ่ายจะมีให้หรือไม่ คาลิเอโปกระตุกยิ้มกับคำสารภาพของอีกฝ่าย
“สเตฟี่เอาตัวผู้ชายคนนี้ไปที่โรงแรม ฉันจะจัดการมันที่นั่น” สเตฟี่กับคารอสเดินมาที่ร่างของภมร ก่อนจะช่วยกับจับร่างของหัวขโมยหนุ่มไปที่รถยนต์คันหรูที่จอดอยู่ที่หน้าห้องเช่า
“อย่าทำอะไรผมเลยครับ อย่าทำอะไรผมเลย พรุ่งนี้ผมจะไปไถ่แหวนออกมาจากโรงรับจำนำให้ครับ” ภมรร้องขอชีวิตอีกครั้งระหว่างที่ตนเองถูกลากจูง ไปที่รถยนต์ ท่ามกลางสายตาของไทยมุงที่ยืนออดูเหตุการณ์ที่หน้าห้อง หากแต่เสียงอ้อนวอนของเขาหาได้เป็นผลไม่ ในที่สุดร่างของภมรก็ถูกผลักเข้าไปนั่งในรถยนต์ โดยมีร่างของสเตฟี่กับคารอสประกบซ้ายขวากันหนี
“เพื่อนมึงขโมยแหวนของกูไปจำนำ แล้วมันเอาเงินซื้อเหล้า แต่พวกมึงก็เต็มใจกินกันนี่ เพราะฉะนั้นพวกมึงก็ต้องได้รับบทลงโทษเช่นกัน จัดการ”
ลูกน้องของคาลิเอโปทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ระดมทั้งหมัดทั้งเท้าไปที่ร่างของเพื่อนขี้ยาของภมรแทบจะนับจำนวนไม่ได้ ไม่นานร่างของพวกเขาเหล่านั้นก็ลงไปนอนกองที่พื้น กินเลือดของตัวเองที่ไหลซึมออกมาจากมุมปาก ใบหน้าและลำตัวมีรอยฟกช้ำ คาลิเอโปจัดการกับบุคคลที่สมรู้ร่วมคิดไปแล้ว ต่อไปคือหัวขโมยใจกล้าที่จะต้องถูกลงโทษหนักหนาสาหัสกว่าพวกเพื่อนๆ หลายเท่านัก
ญาดาเดินแกมวิ่งมาที่โรงแรมสกายบีชทันทีที่ทราบข่าว ขาทั้งสองข้างที่ก้าวเดินนั้นอ่อนล้าและอ่อนแรงเป็นที่สุด วินาทีแรกที่ได้ยินคำพูดของสุวิมล เธอยอมรับว่าตัวเองนั้นช็อกไปหลายวินาที จนต้นสายเรียกชื่อของเธอหลายครั้งเมื่อเธอเงียบเสียงไป จะไม่ให้เธอเกิดอาการช็อกได้อย่างไร เพราะสถานที่ที่น้องชายไปลักทรัพย์นั้นคือโรงแรมสกายบีช สถานที่ที่เต็มไปด้วยความหลัง ความเจ็บปวดและความทรงจำอันเลวร้ายมากที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิง ญาดาลาออกจากโรงแรมแห่งนี้ทันทีในวันรุ่งขึ้น ไม่มีใครรู้สาเหตุที่เธอลาออกนอกจากน้ำจันทร์เพียงคนเดียวเท่านั้น และที่สำคัญโรงแรมแห่งนี้เป็นสถานที่ทำงานของภมร น้องชาย
“ทำไมมาช้าจังเปิ้ล” สุวิมลที่มายืนดักรอญาดาที่หน้าโรงแรมเอ่ยถามอย่างร้อนใจ ภมรถูกพาขึ้นไปที่ห้องพักของคาลิเอโปยี่สิบนาที แล้วไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง
“รีบสุดชีวิตแล้วนะ ว่าแต่ต้อมตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ” เธอรีบถามถึงน้องชายตัวดีทันที
“อยู่ที่ห้องวีไอพีสวีต ห้องพักของคุณคาร์ลน่ะ” ร่างทั้งร่างของญาดา แทบจะไม่ไหวติง มีเพียงทรวงอกเท่านั้นที่กระเพื่อมตามจังหวะอัตราการเต้น ของหัวใจที่เร็วถี่ ‘ห้องของคุณคาร์ล’ หมายความว่าเขาเดินทางมาที่นี่อย่างนั้นหรือ เธอรู้มาว่าห้องนี้เป็นห้องพักส่วนตัวของเขา คาลิเอโปจะผูกขาดพักได้แต่เพียงผู้เดียว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าแขกที่ถูกน้องชายลักทรัพย์ไปคือเขา ผู้ชายที่พรากความสาวและเห็นเธอเป็นเพียงเงาของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมเจ้าของทรัพย์สินนั้นต้องเป็นคาลิเอโปด้วย หมายความว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับเขาหรือนี่ เขาจะจำหญิงสาวที่ถูกเขากระชากความสาวได้หรือไม่ แล้วเธอจะทำตัวอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับเขาในเวลาและสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวคิดไปต่างๆ นานา ฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว
“เปิ้ล เปิ้ล เปิ้ลเป็นอะไร” สุวิมลเรียกเพื่อนสาวหลายครั้ง เพราะเห็นญาดาเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาราวกับว่ากำลังช็อกกับคำพูดของเธอ มันก็น่าช็อกอยู่หรอก เพราะหากเป็นเธอคงเป็นลมไปแล้ว
“ปะ เปล่าไม่มีอะไร” ญาดารีบพูดแก้ตัว
“รีบขึ้นไปดูต้อมเถอะ ป่านนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง” สุวิมลเร่งเพื่อนสาว อีกฝ่ายสูดลมหายใจเข้าปอด ก้าวเดินเข้าไปในโรงแรม ให้กำลังใจตัวเองว่าหากเธอท้อและสิ้นหวัง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับคาลิเอโป คนที่ตกที่นั่งลำบากมากที่สุดก็คือภมร หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจให้เขาจำเธอไม่ได้
ญาดายืนรวบรวมกำลังใจโดยการสูดลมหายใจเข้าปอดและผ่อนออกมาอย่างช้าๆ หน้าห้องสวีตของทางโรงแรม ก่อนจะเคาะประตูให้สัญญาณบอกให้คนที่อยู่ในห้องรู้ว่ามีแขกมาเยือน แต่ทว่าเวลาผ่านไปนานหลายนาทีก็ยังไม่มีคนมาเปิด หญิงสาวยืนรออย่างใจเย็นแล้วเคาะประตูเรียกอีกครั้ง ประตูก็หาได้เปิดออกไม่ นอกจากเสียงร้องของชายคนหนึ่งที่ดังออกมานอกห้อง แม้ว่าจะไม่ดังมากแต่เธอก็จำเสียงนั้นได้ดี เสียงของภมร
“เปิดประตู เปิดประตูหน่อยค่ะ อย่าทำอะไรน้องชายฉัน เปิดประตูให้ฉันด้วยค่ะ”
มือบางทุบประตูอย่างแรงไม่กลัวว่ามือจะเจ็บ เพราะว่าตอนนี้หัวใจของคนที่เป็นพี่นั้นเจ็บยิ่งกว่า เมื่อได้ยินเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดของน้องชาย ไม่นานบานประตูห้องพักก็ถูกเปิดออก ร่างของญาดารีบแทรกเข้าไปในห้องทันที จุดมุ่งหมายที่เธอวิ่งไปคือร่างของภมรที่บัดนี้กำลังถูกฝ่าเท้าของคาลิเอโปกระแทกที่หน้าท้อง
“อย่าค่ะ อย่าทำอะไรน้องฉันเลยนะคะ” หญิงสาววิ่งมาหาร่างของน้องชายที่ใบหน้าบวมช้ำ มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากและศีรษะ นอนตัวงออยู่ที่พื้น คาลิเอโปก้มมองหญิงสาวที่เอาร่างเข้ามาขวางฝ่าเท้าของเขาเขม็ง ดวงหน้าของเธอคนนี้คุ้นตาเหลือเกิน เหมือนกับว่าเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ญาดารีบหันใบหน้าไปสนใจร่างของน้องชายแทน เพื่อหนีดวงตาคมเข้มที่จ้องมองตน
“เป็นไงบ้างต้อม ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย” ญาดาเอ่ยถามทั้งน้ำตา ไม่เข้าใจว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้น้องชายทำแบบนี้ ทั้งๆ ที่เธอสั่งสอนเสมอว่าให้เลิกทำตัวลักเล็กขโมยน้อยเสียที และห้ามเด็ดขาดที่จะขโมยของของแขกในโรงแรใ เพราะทางโรงแรมจะไม่ยอมความเด็ดขาด เนื่องจากทำให้โรงแรมเสื่อมเสียชื่อเสียง
“พี่เปิ้ล พี่เปิ้ลช่วยผมด้วย ผมเจ็บไปหมดทั้งตัวแล้ว พี่เปิ้ลต้องช่วยผมนะ”
ภมรร้องไห้ราวกับเด็กๆ ตอนนี้เขายอมเป็นเด็กขี้อ้อนเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากเงื้อมมือของคาลิเอโป มีคนเดียวที่จะช่วยเขาได้คือญาดาพี่สาวที่แสนดีเท่านั้น คาลิเอโปได้ยินชื่อเล่นของหญิงสาวตรงหน้า ความสงสัยที่มีในใจถูกเฉลยออกมาทันที ความทรงจำที่มาควบคู่กับความรู้สึกผิดที่มีต่อวรัญชิญากระแทกเข้ามาในสมอง หญิงสาวคนนี้คือญาดา ผู้หญิงที่เขาคิดว่าเป็นเงาของคนที่เขารักสุดหัวใจ
“อย่าทำอะไรน้องชายฉันเลยนะคะ ฉันขอโทษแทนต้อมด้วย เรื่องค่าเสียหายฉันจะชดใช้ให้เองค่ะ”
ญาดาพูดโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย เธอยอมรับว่าตอนนี้หัวใจทั้งดวงกำลังเต้นแรงและเร็วจนจับจังหวะไม่ได้
“รู้ไหมว่าน้องชายของเธอขโมยของอะไรของฉัน มันขโมยแหวนเพชรของแอปเปิลผู้หญิงที่ฉันรักไป มันขโมยของที่ฉันรักและหวงมากที่สุดในชีวิต เธอคิดว่าคำว่าขอโทษมันจะทำให้ฉันหายเจ็บใจเหรอ เธอคิดว่าเงินที่จะชดใช้ให้ฉันมันมีค่ามากพอสำหรับความรู้สึกทางใจที่มันสูญหายไปได้อย่างนั้นเหรอ ไม่มีอะไร มาเทียบได้หรอก นอกจากความตาย”