4 เด็กที่แม่ทิ้ง
คนขับรถยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา ดนัยก้มลงเอามือตบบ่าใหญ่เพียงเบา ๆ พร้อมกับพ่นลมหายใจออกจากปลายจมูกแรง ๆ รู้ว่าลูกน้องกำลังเจอปัญหาอย่างหนัก เมียที่แสนรักได้หนีไป โดยทิ้งลูกเอาไว้ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีคนเลี้ยง แต่ผู้หญิงคนนั้นยังกล้าทำ จิตใจโหดเหี้ยมเต็มทน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเกลียดผู้หญิงที่มีลักษณะเหมือนแดงที่สุด
แม้รู้ว่าไม่เหมือนกันทุกคน สำหรับเขามีอคติไปแล้ว ยากที่จะลบเลือนความรู้สึกนั้นกลับไปดีดังเดิมได้
“กล้าจริง ๆ ใจร้ายมาก ทำกับลูกตัวเองได้ไง”
“ผมว่ามันไม่ใช่คนแล้วครับ คุณท่าน กรุณาช่วยชุบเลี้ยงเจ้ากรด้วยเถอะ นึกว่าสงสารลูกนก ลูกกาตาดำ ๆ”
“ตอนนี้กรอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ในห้องนอนของผมครับ”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ฉันจะหาแม่บ้านมาเพิ่มอีกคน ให้ช่วยเลี้ยงลูกนาย พอฉันมีลูกก็จะได้มีคนเลี้ยงเหมือนกัน”
สิ้นคำเจ้านายผู้ใจดี หนุ่มใหญ่ยกมือขึ้นไหว้โดยเร็ว ตามด้วยเสียงสะอื้นด้วยความเสียใจ ดนัยได้แต่มองด้วยความเวทนา ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงทุกวันนี้กล้าทิ้งแม้แต่ลูกที่กำเนิดจากร่างกายตัวเอง อยากรู้เหลือเกินว่า ถ้านารีท้องแล้วคลอดลูกออกมา เธอจะกล้าทิ้งลูกไปหรือไม่
“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าจะกล้าทิ้งลูกตัวเองเอาไว้หน้าบ้าน ทั้งที่ฝนตกหนักขนาดนั้น ถ้าเพิ่มไม่ได้ยินเสียงลูกร้อง ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง และเจ้ากรอยู่ตรงนั้นทั้งคืน”
ฤดีนารถส่ายหน้าไปมา หลังจากฟังเรื่องที่นารีเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับลูกชายของคนขับรถถูกทิ้งเอาไว้หน้าบ้าน โดยผู้เป็นแม่ไม่เหลียวแลแม้แต่น้อย นารีผู้นั่งอยู่ตรงกันข้าม ได้แต่ถอนใจออกมา เวทนาต่อเด็กชายตัวน้อย ครั้นจะให้รับมาเป็นบุตรบุญธรรม เธอคงไม่กล้าทำอย่างนั้น เพราะตั้งใจเอาไว้ว่าจะมีลูกเป็นของตัวเอง
“ใช่ ตรงนั้นมดก็เยอะ อย่างว่าแหละนะ คนเราทุกวันนี้จิตใจต่ำลงทุกที เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ว่าแต่เธอน่ะ เริ่มอยากกินของเปรี้ยวหรือยัง ตั้งแต่คุณดนัยกำหนดวันตกไข่ให้เธอกับคุณพูนพิพัฒน์จู๋จี๋กัน นี่ก็เกือบสองเดือนแล้วนะ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เรียนหนังสือ แต่เรื่องแบบนี้ฤดีนารถรู้สึกอายไม่น้อย หน้าเริ่มมีสีระเรื่อ อย่างเห็นได้อย่างชัด เธอยกฝ่ามือฟาดลงไปที่หน้าขานารีจนเกิดเสียงดัง
“บ้า ! เธอเนี่ยพูดอะไรก็ไม่รู้”
“แหม เรื่องจริง อย่าอายเลยน่า เราสองคนเนี่ยมีอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน คือ เรียนจบคณะเดียวกัน มีแฟนอายุเท่ากัน แล้วก็ต้องการมีลูกเหมือนกันอีก ทำไมนะคนที่พร้อมอย่างพวกเรา เด็กไม่ยักมาเกิดเสียที”
“นั่นสิ เรายังงง ๆ อยู่เนี่ย สำหรับเราตอนนี้ก็มีอาการแปลก ๆ นะ คือวิง ๆ ในหัว เหมือนจะเป็นลม รอบเดือนเราก็ขาดไปแล้ว ยังไม่มาตามกำหนด”
ท้ายเสียงลดลงราวกับกระซิบ ทันใดนั้นนารีส่งเสียงร้องออกมาดัง ๆ ด้วยความดีใจ ดนัยและพูนพิพัฒน์กำลังสนทนาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ต่างพากันหันมามองด้วยความประหลาดใจ
“เย้ ! ดีใจจัง ฤดีท้องแล้ว”
“บ้า ตะโกนออกมาได้ อายคนเค้า บางที ฉันอาจจะไม่ท้องก็ได้นะ”
“ไม่จริงหรอก มีอาการขนาดนี้แล้ว ชัวร์เลย เธอท้องร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่คุณพูนพิพัฒน์ขา ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะคะ ฤดีท้องแล้ว”
“หา ฤดีท้องแล้วเหรอ ทำไมไม่บอกผม”
หนุ่มใหญ่วิ่งเข้ามาหาภรรยาคนสวยด้วยความดีใจ ก่อนจะสวมกอดเอาไว้ด้วยความรัก ฤดีนารถยิ้มอาย ๆ อิงศีรษะลงกับอกกว้าง ฝ่ามือลูบลงที่หน้าท้องอันแบนราบไปมา ดนัยเดินจูงมือภรรยาเข้ามาอวยพรด้วยใบหน้าสดชื่น
“ดีใจด้วยจริง ๆ ในที่สุดคุณก็แซงหน้าผมไปจนได้นะ คุณพูนพิพัฒน์”
“ทั้งนี้และทั้งนั้นผมก็ต้องขอบคุณ คุณดนัยด้วยที่กรุณาแนะนำ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีวันนี้ แต่ก็ยังไม่ชัวร์ ผมจะต้องพาคุณฤดีไปตรวจเพื่อความแน่ใจ”
“งั้นก็ไปเลยสิครับ ผมจะไปเป็นเพื่อน จากนั้นก็หาอาหารทานกัน ถือว่าเป็นการฉลองชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น”
ในที่สุดสองครอบครัวได้พากันมาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อลุ้นว่าฤดีนารถท้องจริงหรือไม่ เพียงไม่นาน ผลการตรวจออกมา เธอท้องจริง ๆ ทุกคนต่างพากันดีใจ โดยเฉพาะพูนพิพัฒน์กอดร่างภรรยาเอาไว้แน่น น้ำตาคลอจนเกือบจะไหลออกมา
“ผมดีใจที่เราสองคนมีลูกกันเสียที”
“ค่ะ ฤดีก็ดีใจที่สุด เราจะมีลูกด้วยกันแล้ว”
ภาพสองสามีภรรยาที่ยังคงกอดกันแน่นเป็นเวลานาน สร้างความประทับใจให้แก่นารียิ่งนัก จึงเอนร่างเข้าหาดนัยสามีนักวิทยาศาสตร์ ยกมือลูบหน้าท้องตัวเองไปมา เวลานั้นอยากท้องเหมือนกับเพื่อนบ้าง ชีวิตคงจะเต็มไปด้วยความสุข ดนัยรับรู้ถึงความต้องการของภรรยาเป็นอย่างดี ได้แต่ลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยกลุ่มผมสีดำไปมา
“อีกไม่นาน เราก็จะตามเขาไปติด ๆ”
“คุณพูดราวกับรู้ว่านารีจะท้อง”