บทที่ 3 (เงาดอกงิ้ว)
บทที่3
จื่อรั่วส่งเสียงครางครวญแอ่นร่างเกร็งรับความสุขเมื่อจุดสุดยอดมาถึงประสานกับเสียงคำรามในลำคอของชิงซานที่กำลังเข้าถึงความสุขเดียวกัน หล่อนนอนทอดกายอ่อนล้าปล่อยให้เขารุกถอนในกายพอใจจนหยุดนิ่ง
“เป็นไง ถึงกับหมดแรงเชียวหรือ” จื่อรั่วหัวเราะ เมื่อเขาถอนตัวพลิกร่างหงายนอนหอบหายใจรวยริน
“หมดสิ กว่าจะล้มคุณได้ก็ตั้งหลายชั่วโมง นี่กี่โมงกี่ยามแล้วล่ะ” ชิงซานเอื้อมหยิบมือถือมาเปิดเครื่องดูเวลา เกือบครึ่งวันแล้วที่เขากับจื่อรั่วแฟนสาวขลุกอยู่ในห้องนอนบนอพาร์ตเม้นท์ที่เขาเพิ่งเช่ามาสามสัปดาห์
การย้ายออกจากบ้านมาเช่าอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ของชิงซานมีเหตุมาจากหญิงสาวสวยที่บิดาบอกว่าจะแต่งงานด้วยย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน เขาทนไม่ได้ที่จะต้องพบเจอหล่อนในบ้านทุกวันในสถานะว่าที่ภรรยาของบิดา และหลังจากย้ายมาอยู่อพาร์ตเม้นท์เขาก็พาจื่อรั่วคู่รักสาวคนล่าสุดมาเสพสุขทุกคืนวัน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่สามของวันนี้
ครั้งแรกเห็นชื่อบิดาโทรมาเขาก็กดวางสายไม่ยอมคุยด้วยเพราะยังโกรธเคืองที่บิดาจะแต่งงานกับหญิงสาวคราวลูกคนนั้น...ใช่ หล่อนสวย...ความสวยของหล่อนสะดุดตาทำให้ชายหนุ่มอย่างเขาใจเต้นแรง แต่เขารับไม่ได้กับวัยคราวลูกคราวหลานของบิดาและอ่อนกว่าเขาเกือบห้าปี
ยิ่งได้ยินบิดาพรรณนาถึงคุณสมบัติดีงามของหล่อนมากเท่าไรก็ทำให้เขายิ่งชิงชังหล่อนมากขึ้น เพราะไม่เห็นจริงตามคำบอกเล่า เนื่องจากเข้าใจว่าหลังจากเขาปฏิเสธจะแต่งงานกับหล่อน หล่อนกลับหันไปหาบิดาเขาแทน และการที่ผู้หญิงคราวลูกหลานจะแต่งงานกับผู้ชายวัย 68 ปี ไม่มีอะไรมากไปกว่า...ต้องการความสุขสบายจากทรัพย์สินเงินทองจากบิดาของเขา...เขาไม่ชอบผู้หญิงที่ใช้ความสวยของตัวเองแลกเงินทองหรือความสุขสบายเพื่อไม่ต้องดิ้นรนทำงานหนักหาเงินด้วยตัวเอง
ครั้งที่สองเป็นซิงอีพี่สาวคนโตที่เขาก็ไม่มีอารมณ์ฟังเสียงบ่นว่าเรื่องการย้ายออกจากบ้านโดยไม่บอกกล่าวบิดากับพี่ทั้งสาม และเขาอยู่ในอารมณ์รักที่กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มกับจื่อรั่วจึงปิดเครื่องไม่ให้ใครโทรกวนใจอีก
“จะโทรกันทำไมนักหนา” ชิงซานรับสายแล้วกรอกเสียงตะคอกใส่คนต้นสายด้วยความรำคาญ
“ชิงซาน ทำไมไม่รับสาย แกรู้ไหมตอนนี้ป๊าอยู่โรงพยาบาล” เสียงต้นสายดังแบบตะโกนด้วยอารมณ์โกรธดังตอบมา
“ป๊าเป็นอะไร อึ๊บแม่นั่นจนช็อกหรือไง” ชิงซานโต้กลับ อารมณ์เดือดพล่านและพาลพาโลเอากับอีกคนจากความคิดของตัวเอง เพราะบิดาของเขายังแข็งแรงไม่เคยมีโรคภัยไข้เจ็บถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลมาก่อน
“ไอ้บ้าเอ๊ย ป๊าประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู นายรีบมาด่วนเลย” คนต้นสายบอกชื่อโรงพยาบาลแล้วปิดโทรศัพท์ทันที
ชิงซานเผ่นเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตัวอย่างลวกๆแล้วออกมาใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ จื่อรั่วร้องขอตามไปด้วย แต่เขารีบเกินจะรอหล่อน กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงโรงพยาบาลก็กินเวลากว่าชั่วโมง
“อยู่กับจื่อรั่วละสิ ถึงได้มาช้าอย่างนี้” วั่งซูสัพยอกน้องชายเพราะรู้เรื่องรักใคร่ของทั้งสองมามากพอจะรู้ว่าฝ่ายหญิงหลงใหลในตัวน้องชายชนิดเกาะติดเป็นตังเม
“อาการป๊าเป็นยังไง” ชิงซานถามน้ำเสียงหงุดหงิดไม่อยู่ในอารมณ์จะหยอกล้อด้วย แต่พี่ชายกลับตีหน้าขรึมเพยิดหน้าไปทางพี่สาวใหญ่ให้ตอบแทน
“พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่...” ซิงอีลำคอตีบตันจนพูดไม่ออกกับสิ่งที่รับรู้
“แต่อะไร บอกมาสิเจ้ อมพะนำอยู่ได้”
วั่งซูจำต้องเป็นผู้เฉลยคำวินิจฉัยของแพทย์ถึงอาการคนไข้ว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัวไม่สามารถเดินได้ตลอดชีวิต
ชิงซานที่เพิ่งรู้ว่าบิดาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และอาจจะเดินไม่ได้อีกเซไปนั่งบนเก้าอี้ตัวใกล้ๆในอาการแขนขาอ่อนแรง เพราะคาดไม่ถึงว่าบิดาจะต้องมาตกอยู่ในสถานะบุคคลทุพลภาพ บิดาตกอยู่ในสภาพนี้แล้วว่าที่เมียมิเผ่นหนีหรือ
หัวใจชิงซานพองโตเมื่อคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะต้องปฏิเสธการแต่งงานในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าแล้วหล่อนก็จะกลับไปอเมริกา เขาคิดฝันว่าจะกลับมาอยู่บ้านดูแลบิดาได้อย่างสุขสบายใจ เพราะไม่มีผู้หญิงที่เขาเกลียดขี้หน้ามาอยู่ขวางตา
“นายต้องกลับมาอยู่บ้านแล้วนะ” ยู่จินเชียงบอกน้องชาย เพราะหล่อนกับพี่สาวพี่ชายอยู่บ้านคนละหลังและมีครอบครัวต้องดูแลอยู่แล้ว
แม้พี่น้องทั้งสามของชิงซานจะปลูกบ้านอยู่ในบริเวณเดียวกับคฤหาสน์หลังเก่าของบิดาในที่ดินที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นบิดาของปู่ แต่ก็มีครอบครัวของตนต้องดูแลและทำงานนอกบ้านด้วยธุรกิจหลายอย่างที่สืบสานต่อกันมาจากรุ่นบิดาของปู่และปู่เช่นกัน
ชิงซานเป็นลูกคนสุดท้องและเป็นคนเดียวที่ครอบครัวเห็นว่าเขายังไม่ได้หยิบจับทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสมกับการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาบัญชีและเศรษฐศาสตร์ที่ร่ำเรียนมาจากมหาวิทยาลัยในเมืองปักกิ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ถิ่นกำเนิดบรรพบุรุษของสกุลฟ่าน
นอกจากนี้ชิงซานยังเก่งด้านภาษาอีกด้วย การไปเรียนคลาสพิเศษที่ประเทศอังกฤษกับสวิสเซอร์แลนด์ทำให้ชิงซานพูดเขียนภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยมและยังพูดภาษาฝรั่งเศสกับเยอรมันได้ด้วย แต่ความที่เป็นลูกและน้องคนเด็กทำให้บิดามารดาและพี่ๆเป็นห่วงอยู่เสมอ
“ไปเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ย่านไหนทำไมไม่บอกป๊าหรือพวกเราบ้าง ยังดีที่แกรับสายวั่งซูถึงได้รู้ว่าป๊าเป็นอะไร แต่ก็เอาเถอะ ยังไงแกก็ต้องกลับมาอยู่บ้านมาดูแลป๊าแทนพวกพี่อยู่แล้ว” ซิงอีที่เป็นพี่สาวใหญ่วัยสี่สิบกว่ากล่าวกับน้องชายคนเล็ก
“ใช่ เราตกลงกันแล้วว่าบ้านป๊าจะเป็นของนาย นายก็ต้องกลับมาอยู่มาดูแลป๊า แต่คงไม่หนักแรงหรอก เพราะฮุยยินนคงดูแลป๊าอยู่แล้ว” วั่งซูเบาใจที่ได้คนไว้วางใจอีกคนมาอยู่ดูแลบิดา
“เราต้องจ้างพยาบาลกับผู้ช่วยอย่างละสองคนผลัดเวรกันช่วยฮุยยินดูแลป๊ากลางวันกับกลางคืน” ยู่จินเชียงปรึกษาแพทย์มาแล้วว่าช่วงแรกต้องทำอย่างไรในการดูแลคนไข้ทุพพลภาพหลังจากกลับไปอยู่บ้าน
“เฮ้ย...เจ้ เฮีย ฝันไปหรือเปล่าเรื่องที่ยายนั่นจะอยู่ดูแลป๊า รู้ว่าช่วงล่างป๊าใช้การไม่ได้ก็เผ่นแล้ว เชื่อเถอะ” ชิงซานเบ้ปากดูหมิ่นผู้ที่กล่าวถึง เขาไม่เชื่อว่าจะมีผู้หญิงสาวสวยคนไหนจะยอมทนอยู่กับคนแก่ที่ไร้สมรรถภาพอย่างบิดา ต่อให้มีเงินล้นฟ้าก็ตาม