บทที่ 5 รับผิดชอบ(รัก)
บทที่ 5 รับผิดชอบ(รัก)
ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะดังขึ้นที่ห้องของดาริน เธอรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูเพราะคิดว่าเป็นป้าของเธออีกแน่นอน ตลอดทั้งอาทิตย์นี้ป้าวุ่นวายจัดการเรื่องของเธอทุกอย่าง หน้าที่ของเธอคือแค่ปิดปากเงียบ ทำตามสั่งเท่านั้น ดาริน อยากหนีไปจากตรงนี้ แต่ไม่มีที่ให้เด็กสาวอย่างเธอไปเลย พี่ภาคไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบเธอ ถ้าใครสักคนจะต้องผิดก็คงเป็นเธอที่เข้าไปหาเขาเองถึงในห้อง ยิ่งตอนนี้ทุกๆคนกำลังบังคับให้ภากรรับผิดชอบ ชายที่เธอแอบรักมาตลอดคงเกลียดเธอไปแล้ว
“มาแล้วค่ะ….. เอ่อพี่ภาคเหรอคะ” ดารินหลบตาต่ำลงเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเคาะนั่นเป็นเขา
“พี่จะมาขอโทษเรากับเรื่องที่เกิดขึ้น เรายังไม่มีโอกาสได้คุยกันเลยตั้งแต่วันนั้น” ภากรพูดขึ้นด้วยแววตาขมขื่น จนดารินรู้สึกได้ว่าชายตรงหน้ารู้สึกผิด และกำลังกล่าวโทษตัวเองอยู่
“พี่ภาค ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ค่ะ ดาว่าคืนนั้นคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราหรอกค่ะ ฉะนั้นพี่ไม่ต้องแต่งกับดาก็ได้ค่ะ” ดารินหันหลังตอบเขาออกไป
“จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ พี่ก็อยากแต่งกับดา แต่อย่างที่คุณพ่อบอกเราคงทำได้แค่จดทะเบียนสมรสก่อน รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนแล้วพี่จะจัดงานให้ดานะ ส่วนเรื่องเรียนดายังเรียนต่อได้เหมือนเดิม ระหว่างนี้รอให้เราสนิทกันมากขึ้นค่อยมาตกลงกันว่าเราจะอยู่กันยังไง”
ดารินเงียบฟัง โดยไม่พูดอะไรออกมา ภากรคงแค่อยากรับผิดชอบเธอด้วยนิสัยสุภาพบุรุษของเขา เขาเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องก่อนทำตามความรู้สึกของตัวเองก่อนเสมอ
ส่วนภากรก็คิดว่าสาวน้อยตรงหน้าคงไม่ได้รักและอยากให้เขารับผิดชอบ แต่ไม่เป็นไรสักวันเขาจะทำให้เธอรักเขาให้ได้ เขามั่นใจ
“พรุ่งนี้เสร็จจากธุระที่บริษัท เราไปเจอกันที่สำนักงานเขตพี่จะให้ ไอ้ยศมารับดา เราเจอกันที่นั่นเลย” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังเงียบภากรจึงเดินไปลูบหัวเธอเบาๆ สักพักน้ำตาของเธอก็ไหลรินอาบทั้งสองแก้มแดง เขาทำได้เพียงดึงเธอมากอดปลอบ
“พี่ขอโทษนะดา…ยกโทษให้พี่นะ พี่สัญญาพี่จะดูแลดาตลอดชั่วชีวิตพี่ ถ้าวันนึงดาคิดว่าชีวิตของดามีอะไรที่ดีกว่ารออยู่ ดาก็เลือกเส้นทางนั้นได้เลย แต่วันนี้ขอโอกาสให้พี่ได้ชดเชยดาก่อนนะ” จบคำพูดนั้นดารินยิ่งสะอื้นหนักแรงขึ้น สองแขนตอนนี้ก็กอดตอบเขาไปแล้ว
ที่ห้องประชุมของบริษัท
วันนี้มีแต่ผู้ถือหุ้นและฝ่ายบริหารกับบุคคลสำคัญเข้าร่วมประชุม
“อย่างที่ทุกคนทราบดีว่า ผมได้แต่งตั้งภากร ลูกชายของผมเป็นรองประธานฝ่ายบริหารนั้น ขอให้มีผลบังคับตั้งแต่วันนี้ ผมจะโอนหุ้นของผมให้ภากร 25 % และให้นางสาวดาริน ไกรคำแหง 5% ในฐานะลูกสะไภ้”
เสียงซุบซิบอื้ออึงไปทั่วห้องประชุมหลังพาสกรพูดถึงหุ้น 5% ของดาริน
“ผมทราบดีว่าทุกคนสงสัย ดารินคือหลานสาวของคุณโฉมลดา และจะมาเป็นภรรยาของภากร ฉะนั้นตอนนี้
ผมจะยังคงถือหุ้นอยู่ 30%
ของภากร 25%
ของเจ้าทศ 20%
และของดาริน 5%
ถ้าไม่มีใครคัดค้านก็ขอให้เป็นไปตามนี้ทุกประการ ส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ จะไม่มีผลกระทบอะไรทั้งนั้นรวมทั้งตำแหน่งบริหารตำแหน่งอื่นๆจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นเจ้าทศ ผมจะให้เขาเข้ามาดูแลโครงการของภาคเหนือทั้งหมด”
“เอ่อคุณลุงครับ” ทศไม่คิดว่าลุงจะไว้วางใจเขาขนาดนี้ แม้หุ้นในส่วนของเขาจะมีแค่ 20% แต่ลุงไม่เคยลดความสำคัญของเขาเลย
“แกทำได้ ลุงมั่นใจ”
“ขอบคุณครับ ผมจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดครับ” ทศยกมือไหว้
ที่จริงแล้วพาสกร ต้องการให้ทศลดอคติลงจากการเปลี่ยนแปลงวันนี้ และการให้เขาไปทำงานไกลๆน่าจะช่วยให้เขาห่างกับดารินได้ง่ายขึ้น
นี่คือความคิดของชายแก่ที่ไม่อยากให้ลูกหลานมาทะเลาะกันเองเพราะเรื่องเงินและเรื่องผู้หญิง
บ่ายวันเดียวกันหลังจากเสร็จการประชุม ภากรและพาสก็นั่งรถมุ่งตรงไปสำนักงานเขตเพื่อไปเจอดารินที่นั่น โดยมีชัชวาลขับรถให้ พ่อลูกที่นั่งอยู่เบาะหลังพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดีประสาพ่อลูก
“พ่อครับ ถ้าแม่กับน้องยังไม่ตายก็คงดีนะครับ วันนี้ผมมีความสุขมากเลยครับ ขอบคุณพ่อที่เลี้ยงผมมาอย่างดีนะครับ” พาสกรอึ้งกับคำพูดของลูกชาย เพราะภากรแทบจะไม่รู้เรื่องแม่กับน้องเลยและเขาแทบไม่เคยเอ่ยถึงพวกเค้าอีกเลยตั้งแต่ภากรโตมา
“แม่ต้องภูมิใจในตัวแก เหมือนพ่อแน่นอน” พาสจับหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู เขาเป็นลูกชายที่น่าภาคภูมิใจมาก
“ถ้าน้องยังอยู่ พ่อก็จะภูมิใจในตัวเขามากๆเหมือนกันครับ แต่ถึงตอนนั้นพ่อจะยังจำเจ้าภะ…
เอี๊ยดดดด โครมมมมมม รถหรูคันงามที่แล่นมาด้วยความเร็วเกิดเสียหลักเบรคแตกพลิกคว่ำกระทันหัน เสียงกระจกแตกกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทาง ภากรพยายามลืมตามองคนข้างๆ
“พ่อ..ครับ โอ้ยยย” พาสกรแน่นิ่งไปแล้ว เมื่อหันไปมองด้านหน้าก็พบว่าลุงชัชเองก็ไม่มีการตอบสนองเช่นกัน เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ก่อนที่จะมีหยดน้ำเหนียวๆสีแดงสดไหลลงปิดตาของเขา ภาพตรงหน้าค่อยๆเบลอจนเลือน เสียงหวอดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆก่อนที่สติสัมปชัญญะสุดท้ายของเขาจะดับลงเขารับรู้เพียงว่ามีใครสักคนพยายามเรียกเขา
“คุณครับ คุณครับ”
กริ๊งงง กริ๊งงง กริ๊งง เสียงโทรศัพท์ของดารินดังขึ้น
“ฮัลโหล ค่ะ พี่ภาคอยู่ไหนแล้วคะ เอ่อ.. นั่นใครพูดสายคะ อะไรนะคะ” ดารินตกใจกับคำพูดของปลายสาย จนร้องออกมา ทำให้ทั้งเมลดาและโฉมลดาตกใจกับท่าทางของเธอ
“เกิดอะไรขึ้น ยัยดา ตาภาคทำไม”
“คุณป้าทำใจดีๆนะคะ เราทุกคนต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ค่ะ คุณลุงกับพี่ภาครถคว่ำค่ะ” ดารินกุมมือป้าแน่นก่อนตอบออกไป
ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงโรงพยาบาล ตอนนี้คนที่มีสติที่สุด นอกจาก ยศ คนขับรถของภากร ก็คงเป็นเมลดา เพราะทั้งแม่และน้องเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด
หน้าห้องฉุกเฉินมีตำรวจ2-3 นายรอสอบปากคำและให้ข้อมูลญาติอยู่ ทั้งสามคนเดินปรี่เข้าไปที่ตำรวจนายหนึ่ง ดูจากยศบนบ่าแล้ว หนุ่มหล่อภูมิฐานคนนี้น่าจะเป็นผู้กอง และยศใหญ่สุดตรงนี้
“สวัสดีค่ะ พ่อกับพี่ชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ” สาวสวยเอ่ยถามขึ้นอย่างร้อนรน
“พี่เหรอครับ?
“ค่ะ… ข้างในนั้น ใช่พ่อลูกที่รถคว่ำเมื่อชั่วโมงที่แล้วหรือเปล่าคะ” เมลดาจ้องหน้านายตำรวจหนุ่มเพื่อรอคำตอบ ได้แต่ลุ้นว่าคำตอบจะไม่ใช่พ่อกับพี่บุญธรรมของเธอ
“คุณเป็นน้องสาวของ ภา..” ไม่ทันพูดจบหญิงสาวก็รีบสวนตอบอย่างใจร้อน
“ ถ้าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือ นายพาสกร กับ นายภากร วงศ์เสวต ล่ะก็ ใช่พวกเขาคือพ่อกับพี่ชายฉัน นี่คุณจะรีบตอบไม่ได้เหรอ ชักช้าเสียเวลาอยู่นั่น” เมลดาเริ่มโมโหเพราะความร้อนใจ
“ยัยเม ขอโทษแทนลูกสาวดิฉันด้วยค่ะ ที่เสียมารยาท ว่าแต่ข้างในใช่สามีฉันกับลูก..ลูก..หลานเขย ของฉันหรือเปล่าคะ” โฉมลดาโพร่งถามไปอีกคน
“ครับ ทั้งสองท่านอยู่ด้านในครับ คุณหมอกำลังช่วยอยู่ คุณพาสกร อาการไม่น่าห่วงมากครับ แต่ คุณภา เอ่อ ภากรบาดเจ็บสาหัสครับ ศีรษะกระแทกกับกระจกรถตอนนี้ย้ายไปผ่าตัดด่วนแล้วครับ”
หลังฟังตำรวจชี้แจง ทั้งสามถึงกับเข่าทรุดร้องไห้ออกมา
“พี่ภาค จะต้องไม่เป็นอะไรนะคะ ดามาหาพี่แล้ว” ดารินฟุบกอดเข่าร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย
“ถ้ามีอะไรคืบหน้า ผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง นี่นามบัตรผมครับ”
ผู้กองหนุ่มหล่อยื่นนามบัตรให้เมลดา ซึ่งเธอรับโดยไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ก่อนจะยื่นนามบัตรของตัวเองให้เขากลับไปเช่นกัน
“ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมเรื่องคดี รบกวนติดต่อเราด้วยนะคะ” เมลดาตอบออกไป โดยที่สายตายังจ้องอยู่แต่ที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นตลอด
สภาพของเมลดาตอนนี้ ถ้าสังเกตดีๆหลายคนก็ต้องจำเธอได้อย่างแน่นอน เพราะเธอเป็นคนดังออกสื่อสังคมแทบจะวันเว้นวัน แต่สภาพตอนนี้หัวกระเซอะกระเซิง ใส่เสื้อยืดบางๆ กางเกงผ้ายืดขายาวธรรมดา หน้าไม่ได้แต่ง กับรองเท้าแตะใส่สลับข้างมา แม้สภาพตรงหน้าไม่เหลือเค้านางแบบดังเลย แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นคนค่อนข้างสวยจัด และเซ็กซี่มาก ถ้านี่อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ เขาคงต้องขอเซลฟี่ไปให้แม่ของเขาแน่ๆ เพราะรายนั้นเป็นติ่งของเมลดา
ผู้กองหนุ่มเดินแยกตัวออกมา และรีบกดสายไปหาใครบางคน
“แกอยู่ไหนวะ ที่ไร่? รีบเข้ากรุงเทพวันนี้เลย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ทีแรกฉันก็คิดว่า… เจอกันแล้วค่อยคุยละกัน เดี๋ยวฉันส่งรูปไปให้ ตอนนี้ต้องวางแล้วว่ะ งานเร่งเลย เพราะเดี๋ยวแมร่งสื่อต้องมาแน่นอน”
หลังวางสายผู้กองหนุ่มก็รีบออกไป
…………………………………