๑ พบพานเมื่อสวรรค์เป็นใจ (๑)
๑
พบพานเมื่อสวรรค์เป็นใจ
รถบรรทุกจอดหน้าทาวน์เฮ้าส์ใจกลางกรุงก่อนที่ร่างบางจะเดินถือกระเป๋าลงมาจากรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ด้านหลัง ตามมาด้วยหนูน้อยวัยห้าขวบที่กอดตุ๊กตาคิตตี้และขยี้ตาเดินตามแม่ เพิ่งตื่นจากการเดินทางแสนไกลเพราะย้ายจากอุดรธานีมายังเมืองหลวงอันกว้างใหญ่
ดวงตากลมมองร้านที่อยู่ข้างกันเป็นร้านตัดแว่นขนาดใหญ่และถือเป็นแบรนด์ดัง มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ ก่อนตัดสินใจซื้อที่นี่เธอได้เดินทางตามหาสถานที่เปิดร้านหลายรอบ จนได้ทำเลถูกใจและราคาพอจะรับไหว
จึงตัดสินใจเซ็นเอกสารเช่าสถานที่เป็นระยะเวลาหนึ่งปี ไม่น่าเชื่อว่าจะมีร้านเป็นของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเป็นเพียงลูกมือเท่านั้น
“แม่คะ เราจะมาอยู่ที่นี่จริงเหรอ” หนูน้อยเข้ามาจับมือมารดาแล้วถามเสียงงัวเงีย เงยหน้ามองอาคารขนาดสองชั้นที่สีค่อนข้างเก่า สภาพแวดล้อมแปลกตาไม่ได้ทำให้หนูน้อยกลัวสักนิด
ก่อนตัดสินใจจากมาเธอก็พูดคุยกับลูกชัดเจนถึงการตัดสินใจครั้งนี้ วรรณวรินสมัครเป็นครูสอนจัดดอกไม้ที่สถาบันของรัฐในต่างจังหวัด ส่วนเวลาที่เหลือก็เป็นลูกมือของร้านดอกไม้แห่งใหญ่เพื่อช่วยจัดดอกไม้ทั้งในร้านและนอกสถานที่
ลูกค้าต่างถูกใจในฝีมือจนเธอกลายเป็นนักจัดดอกไม้ตัวท็อป สร้างความหมั่นไส้ให้คนที่อยู่ในร้านจนเกิดปัญหาต่างๆ ตอนแรกคิดจะเมินเฉยไม่สนใจ ทว่าพอเวลาผ่านไปมันกลับยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวตัดสินใจลาออกจากงานแล้วเก็บกระเป๋าเพื่อกลับมายังบ้านเกิด
กรุงเทพมหานครคือบ้านของหล่อน...เกิดและเติบโตมีความทรงจำมากมายจึงได้หวนกลับมาอีกครั้ง
“ใช่แล้ว ยิหวาชอบไหม” ถามความคิดเห็นลูกสาว
“อือ...ชอบค่ะ หนูชอบที่นี่” คิดสักครู่แล้วตอบ ความจริงก็ไม่ได้ชอบมากมายแต่เพราะเห็นแม่ดูทุ่มเทมากจึงยอมตอบเพื่อเอาใจ
ศศิมณฑล อินทรวงษ์หรือน้องยิหวาเป็นเด็กที่ค่อนข้างรู้ความ เธอมีกันสองแม่ลูกทำให้วรรณวรินบอกเล่าทุกอย่างให้ลูกฟังหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไปหรือการเงิน อธิบายจนหนูน้อยเข้าใจโลกกว้างมากกว่าเด็กอายุเท่ากัน
หล่อนกระชับมือเล็กของลูกสาวแล้วพากันเดินเข้าไปข้างใน นอกจากจะเปิดร้านขายดอกไม้แล้ว เธอยังพักอาศัยอยู่ชั้นสองของร้าน เพื่อความสะดวกในการทำงาน เพราะบางทีอาจจะต้องอยู่จัดดอกไม้จนถึงดึก ถ้าไปกลับก็คงเสียเวลาจึงเลือกจะอาศัยที่นี่
“ถ้างั้นช่วยแม่ขนของเข้าบ้านดีกว่า ต้องจัดของอีกเยอะเลย” ไม่มีงอแงทำเพียงเดินตามเข้าไปข้างในอย่างว่าง่าย
คงต้องตกแต่งอีกสักหน่อยเพื่อเรียกลูกค้าให้เข้าร้าน ดวงตากลมใสเปี่ยมด้วยความหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง พื้นที่กว้างตรงหน้าหล่อนสามารถร่างภาพในหัวออกมาได้เป็นฉาก และคิดว่าหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้คงมีเรื่องให้ทำอีกเยอะเลย
อย่างแรก...ต้องหาโรงเรียนให้ลูกสาวซะก่อน
หลายวันผ่านไปห้องเช่าที่เคยร้างก็กลับมาสวยงาม เปิดร้านได้หนึ่งวันทุกอย่างดูยุ่งเหยิงไปหมด ถึงลูกค้าจะเข้ามาไม่เยอะแต่เธอต้องติดต่อร้านค้าเพื่อให้นำดอกไม้มาส่งในตอนเช้า ส่วนบางชนิดเธอจะไปเลือกซื้อเองตอนเย็นแล้วแช่ตู้ทำความเย็นเอาไว้ขายวันต่อมา
“ยิหวาเสร็จหรือยัง แม่ว่ามันจะสายแล้วนะ” ดูนาฬิกาใกล้จะเจ็ดโมงครึ่งแล้วด้วย วันนี้เธอไปส่งพวงหรีดที่ลูกค้าสั่งทางออนไลน์ตั้งแต่เมื่อวานเมื่อวาน กว่าจะกลับมาถึงร้านก็ต้องรับดอกไม้ที่ส่งมาจากตลาดอีก ลืมสนิทว่าต้องไปส่งลูกที่โรงเรียน ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้ทำจึงต้องเข้าครัวแล้วทำแซนวิชกับน้ำส้มคั้นให้ศศิมณฑล
“ง่า เสร็จแล้วค่า แม่เปียผมให้หนูหน่อย” สวมชุดนักเรียนแล้วเดินลงมาจากชั้นสอง ชุดเรียบร้อยกระเป๋าก็สะพายแล้ว ถุงเท้าใส่ได้เป็นระเบียบยกเว้นผมที่ยังไม่ถูกหวีด้วยซ้ำ
พูดจบก็ยื่นยางสีสันสดใสให้คนเป็นแม่ เธอรีบหยิบมาแล้วหวีผมให้ลูกเป็นอันดับแรก แต่ถ้าถักเปียคงต้องใช้เวลาสักพัก ซึ่งกลัวหนูน้อยไปไม่ทันเคารพธงชาติน่ะสิ
“ไม่ทันแล้วเด็กดี แซนวิชเอาไปกินที่โรงเรียนนะ แล้วก็ผม...แม่ว่ารวบหางม้าดีกว่า” จัดการมัดรวบหางม้าเพื่อประหยัดเวลา จากนั้นจึงหยิบแซนวิชหย่อนลงกระเป๋านักเรียนของลูกสาว
“ไปกัน” เด็กน้อยหน้าบึ้งที่ไม่ได้เปียผม แต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้แม่เพราะรู้ว่าท่านเหนื่อย ทำเพียงเดินตามมาข้างนอกแล้วหยิบหมวกกันน็อคมาสวม
การเดินทางไปโรงเรียนคือขึ้นรถจักรยานยนต์ของแม่ที่มีตะกร้าสำหรับใส่ดอกไม้อยู่ด้านหลัง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็สตาร์ทรถแล้วรีบบึ่งไปส่งเด็กหญิงที่โรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้าน เธอไม่ได้มีเงินถุงเงินถังจะส่งเรียนเอกชนหรือนานาชาติ
โรงเรียนแห่งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ห่างจากบ้านไม่ไกลเท่าไหร่ ทั้งยังมีระดับชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมตอนต้น ถึงเวลานั้นหล่อนอาจมีเงินจนสามารถส่งลูกเรียนที่ดีกว่านี้ หรือไม่แน่ลูกสาวอาจเรียนเก่งจนสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลชั้นนำของประเทศ
ไม่มีความแน่นอนในชีวิตหรอก...
“ตอนเย็นแม่มารับนะ” ถึงหน้าโรงเรียนก็รับหมวกกันน็อคมาจากลูก เธอขับไม่เร็วและนึกถึงความปลอดภัยของศศิมณฑลก่อนเป็นอย่างแรก
“ค่ะ” พยักหน้าขันแข็ง
“บ๊ายบาย ตั้งใจเรียนนะลูก” โบกมือลาพร้อมรอยยิ้ม ลูกสาวเองก็ยกมือขึ้นโบกลาแม่เช่นเดียวกัน ดวงตากลมมีน้ำใสคลอเบ้าคล้ายจะร้องไห้เพราะยังไม่อยากเข้าโรงเรียน
ถึงพยายามทำตัวโตแค่ไหนแต่เด็กอย่างไรก็คือเด็ก เพิ่งเข้าอนุบาลหนึ่งได้แค่ห้าวันเท่านั้นเอง คนอื่นร้องไห้กอดพ่อแม่ทุกวัน แต่ลูกเธอกลับเข้มแข็งไม่งอแงสักแอะ เริ่มไม่แน่ใจว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือกำลังทำเพื่อให้เธอสบายใจกันแน่
ทุกวันนี้ลูกคือทุกอย่างของหล่อนจริงๆ
“บ๊ายบายค่ะแม่” พรุ่งนี้ก็วันหยุดแล้ว เด็กหญิงจึงพยายามฝืนยิ้มแล้วรีบวิ่งเข้าโรงเรียน กลัวว่าช้ากว่านี้จะร้องไห้งอแงเหมือนเพื่อนคนอื่น
มองตามหลังลูกสาวเข้าไปในโรงเรียนแล้วถอนหายใจ การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ง่ายเลยจริงๆ ทั้งต้องทำงานและเลี้ยงลูกไปด้วย เคยนึกน้อยใจโชคชะตาจนนั่งร้องไห้ในห้องน้ำก็มี ตอนเด็กศศิมณฑลเลี้ยงยากร้องไห้เก่ง เธอเหนื่อยจากงานก็ต้องมาปลอบลูกจนถึงตีสามตีสี่
พอเริ่มโตแล้วคุยรู้เรื่องก็อธิบายเรื่องการใช้ชีวิตของแม่ และการทำงานหาเงินเพื่อจุนเจือครอบครัว รวมไปถึงถามความคิดเห็นลูกแล้วตอบข้อสงสัยต่างๆ ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลพอสมควร
รถซีดานคันหรูแล่นมาจอดหน้าคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ดับเครื่องแล้วลงไปยืนกอดอกพิงประตูรถรอคนที่กำลังเดินลงมาจากอาคาร เขาตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาหญิงที่เพียงแค่มองก็หันไปซุบซิบเป็นเสียงเดียวกันว่าหล่อมาก
ร่างหนาในชุดเสื้อเชิ้ตทับด้วยสูทและกางเกงแสล็ค ผมถูกเซ็ทอย่างดีเผยให้เห็นใบหน้าหล่อคม เสน่ห์ของหนุ่มวัยทำงานที่สาววัยเรียนต่างหมายตา ส่วนสูงของเขาราวนายแบบแค่มองครั้งเดียวก็จำได้ทันที
ยกนาฬิกาเรือนละหลายแสนมาดูเวลาเมื่อเห็นว่าตนเริ่มจะรอนานเกินไป งานที่บริษัทก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อยแถมยังต้องไปกินข้าวกับผู้หญิงคนที่สองในรอบเดือน ช่วงนี้มารดาเขาขยันนัดดูตัวจนชายหนุ่มแทบจะรู้จักผู้หญิงในวงการบันเทิงและวงการไฮโซครบหมดแล้ว
ใครว่าดีแม่ก็หามาให้แต่ไม่ถูกใจเขาสักคน คุยไปสองสามครั้งก็ห่างหายและส่วนมากเป็นชายหนุ่มเองที่ปลีกตัวห่างเพราะไม่อยากสานต่อ
เริ่มไม่แน่ใจว่าความรักครั้งก่อนยังสร้างบาดแผลเอาไว้ หรือเป็นเขาที่ไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับใครกันแน่
“อ้าว ทำไมพี่สองมารับมุกล่ะ แล้วพี่แมนไปไหน” สาวน้อยวัยสิบเก้าปีเดินลงมาจากอาคารเรียน สนิทสนมกันตั้งแต่เด็กจนเหมือนเป็นพี่น้อง
เธอเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท ไปมาหาสู่กันบ่อยจนรู้ไส้รู้พุง บางทีอยากจีบสาวคนไหนก็ให้น้องเดินไปขอเบอร์มาให้ตนเอง