บทที่ 4
“คาร่า” เสียงเรียกดังไล่หลังของคาร่า เมื่อเธอกำลังยืนรอลิฟต์จะกลับห้อง “ไปเที่ยวไหนมาเหรอ..กลับดึกเชียว”
“ไปเดินเล่นมา ติดลมนิดหน่อย วิเวียนพึ่งเลิกซ้อมเหรอ” คาร่าเดินเข้ามาในลิฟต์พร้อมกับวิเวียน ก่อนที่จะมีผู้ชายอีกสองคนเดินเข้ามาในลิฟต์ด้วย หัวใจของคาร่าเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งเมื่อเจอเข้ากับ นาธานเขาส่งยิ้มมาให้กับเธอแล้วหันไปคุยกับเพื่อนผู้ชายที่มาด้วยกัน
“ฉันพึ่งซ้อมเสร็จ พรุ่งนี้ว่างไหม ไปเดินเล่นกัน เดี๋ยวฉันพาคาร่าเที่ยว” วิเวียนพูดขึ้น “นี่นาธาน..พรุ่งนี้ไปเดินซื้อของกันไหม ชวนเพื่อนในวงไปด้วย” วิเวียนหันไปชวนนาธานที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เอาสิ..เดี๋ยวฉันชวนเพื่อนไปด้วย” สายตาของเขามองเลยมาที่คาร่า เหมือนกำลังถามวิเวียนว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเธอคือใคร
“นี่คาร่า พึ่งมาอยู่ที่ค่ายเรา เป็นนางแบบ นี่นาธานและธอน” วิเวียนแนะนำคาร่าให้กับเพื่อนในวงทั้งสองคนได้รู้จัก ผู้ชายทั้งสองคนหันมาทักทายคาร่าเพียงเท่านั้น เธอได้แต่โค้งศีรษะเล็กน้อย เพราะสวมใส่หน้ากากผ้าสีขาวปิดบังใบหน้าเอาไว้
วงเพลงร็อกที่ดังที่สุดในตอนนี้ คงหลีกหนีไม่พ้น วง “นาธาน” ซึ่งชื่อวงตั้งเป็นชื่อของนักร้องนำ สมาชิกในวงมีกันอยู่ห้าคน นาธาน วิเวียน โพสต์ กันเนอร์ และฮัฟ ทุกคนต่างเป็นหนุ่มหล่อและสาวสวย ถึงวงนาธานจะพึ่งตั้งขึ้นแค่หนึ่งปี กลับมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก หากมีคอนเสิร์ตเกิดขึ้นแทบจะขายตั๋วหมดภายในสิบนาที
คาร่าทิ้งตัวลงนอน วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานสำหรับเธอ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วเหมือนกับความฝัน แต่ก็ดีแล้วที่ผ่านมันมาได้ ดวงตาสีเทายังคงฉายชัดอยู่ในความคิดของคาร่า ถ้าหากเป็นไปได้เธอไม่อยากพบเจอกับเขาอีกเป็นครั้งที่สอง
โทรศัพท์ของคาร่าดังขึ้น เป็นเสียงแจ้งเตือนของข้อความจากอีฟ แจ้งเรื่องงานด่วนในพรุ่งนี้ของช่วงเย็น งานเปิดตัวสินค้าเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่ใครหลายคนรู้จัก คาร่าดีใจเป็นอย่างมากที่จะได้เริ่มทำงานที่ตัวเองชื่นชอบ และยังเป็นงานใหญ่กว่างานไหนๆ ที่เคยทำมา
เมื่อถึงเวลานัดหมายในเวลาที่กำหนด คาร่าเดินทางมาพร้อมกับอีฟ ผู้จัดการเริ่มทำหน้าที่ของตนเองตั้งแต่ดูแลเสื้อผ้าหน้าผมให้กับเธอ นางแบบชื่อดังหลายคนก็มาร่วมเดินแบบในงานนี้ ซึ่งทำให้คาร่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“หายใจเข้าลึกๆ วันนี้เป็นงานเปิดตัวสินค้าที่อยู่ในเครือของบริษัทฯ เราเอง ไม่ต้องตื่นเต้นมาก” อีฟจับมือที่เย็นเฉียบของคาร่าเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้แก่เธอ “วันนี้เธอสวยมาก มั่นใจตัวเองเข้าไว้”
คาร่าพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่อีฟจะเดินออกไปรอที่หน้างาน หลังจากที่นางแบบแต่งตัวเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ทีมงานเริ่มจัดแถวและตรวจความพร้อมอีกครั้ง คาร่าเดินในลำดับชุดที่สิบ นางแบบมีทั้งหมดสิบห้าคน หนึ่งในนั้นได้มีการสวมใส่ชุดฟินนาเล่ซึ่งเธอยอมรับว่าชุดและนางแบบคนนั้นสวยงามมาก
แบรนด์ชุดนี้ส่วนมากจะออกคอลเลคชั่นมาเป็นสีขาวดำเสียมากกว่าสีอื่น บางทีคาร่ายังคิดว่างานนี้เป็นงานศพหรือเปล่า หรือเจ้าของแบรนด์กำลังไว้ทุกข์ให้กับใครหรือไม่ เพราะพักหลังๆ มาเธอไม่พบเห็นเสื้อผ้าสีอื่นจากแบรนด์นี้เลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขายดิบขายดีจนต้องสั่งจองกันเอาไว้ก่อนล่วงหน้า
แสงไฟสปอตไลต์ส่องมายังร่างของนางแบบที่เดินเฉิดฉายอยู่บนรันเวย์เสียงเพลงที่ดูเข้ากับจังหวะท่าเดิน ยิ่งชวนให้หน้ามอง คาร่าเดินขึ้นมาบนเวที เรียบขาเรียวสวยทั้งสองข้างกำลังสับหว่างเป็นจังหวะอย่างสวยงาม ตอนนี้เธอดูร่างเล็กเพรียวมากกว่านางแบบคนอื่นๆ เพราะเป็นคนเอเชียจึงทำให้เธอดูสะดุดตา
“ระวัง!!” เสียงเรียกของใครบางคนดังอยู่ข้างใบหู คาร่ามองกลับไปที่เสียงนั้นในทันทีดวงตาสีแดงราวกับกำลังจะแผดเผาร่างของเธอให้กลายเป็นฝุ่นผง ให้ความรู้สึกหวาดกลัว แต่พอเธอมองมันอีกครั้งกลับพบเพียงดวงตาสีน้ำตาล หรือว่าเธอจะตาฝาดมองพลาดไปเอง
ภายในห้องส่งเสียงดังขึ้นราวกับนกกำลังบินเข้ารัง คาร่าหันมองไปด้านหลังก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่ที่ข้างเวทีตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้ชายที่ช่วยเธอเอาไว้หายไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงกลิ่นน้ำหอมที่ติดอยู่ที่ปลายจมูก และดวงตาสีแดงเพลิงของเขา
“คาร่า เป็นอะไรหรือเปล่า” อีฟที่วิ่งตรงมายังนางแบบในความรับผิดชอบของตนเอง ถอนหายใจออกมาด้วยความคลายกังวล “พี่ตกใจหมดเลย..คิดว่า..” อีฟหันมองไปยังเวที ไฟสปอตไลน์ขนาดใหญ่ตกลงมาจากด้านบน ท่าหากมีคนยืนอยู่ตรงจุดนั้นคงไม่มีทางได้รอดชีวิตแน่นอน
“ฉันไม่เป็นอะไร ตกใจเหมือนกันนะคะ” คาร่ามองขาทั้งสองข้างที่อยู่ก็สั่นขึ้นมาก่อนจะทรุดลงไปนั่งที่พื้นเพราะไม่มีแรงยืนต่อ พอคัดสรรกว่าที่ตรงนั้นมันคือที่เธอยืนโพสต์ท่าเมื่อครู่ก็หายใจได้ลำบากมากแล้ว ถ้าหากเขาคนนั้นไม่เข้ามาช่วย ชีวิตของเธอคงได้จบลง ณ วันนี้แล้ว
"นายท่านเชิญครับ" คาลิกโค้งศีรษะลงเล็กน้อย เมื่อเปิดประตูรถยนต์ให้กับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความอ่อนน้อม
“จัดการกับกล้องทุกตัวในห้องนั้น” เสียงอันทรงอำนาจของคาลวิน ประธานหนุ่มหล่อ ของบริษัท วี.พี. ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นมานั่งบนรถ
“ครับ”
“คาลวิน ซาโลว์” ผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของประเทศนี้ มหาเศรษฐีลำดับต้นๆ ของโลก ผู้ชายที่ไร้ซึ่งข้อเสียถ้าหากมองภายนอกเขาคือผู้ที่เพียบพร้อม ความหล่อเหลาและความร่ำรวย ไม่เคยเป็นรองใคร ผิวสีขาวเกือบซีดทำให้เขาดูมีเสน่ห์ ผมสีดำสนิทหยักศกถูกหวีให้เข้าทรง ทุกอย่างบนเรื่องร่างนี้ลงตัวจนหาสิ่งใดเปรียบ
รถยนต์สีดำที่คาลวินนั่งมาเกือบหนึ่งชั่วโมง วิ่งห่างออกมาจากตัวเมือง เขาลูกใหญ่ตรงหน้าที่มองเห็นอย่างชัดเจน บนที่สูงสุดนั้นมีคฤหาสน์ขนาดใหญ่พื้นที่ของภูเขาทั้งลูกล้วนเป็นพื้นที่ของตระกูล “ซาโลว์”
ประตูเหล็กบานใหญ่ถูกเปิดออกเพียงแค่คาลวินดีดนิ้ว และปิดลงเมื่อเขาดีดนิ้วอีกเพียงครั้งเช่นเดียวกัน เส้นทางด้านหน้าเต็มไปด้วยแสงสว่างของไฟดวงเล็กที่ถูกติดเอาไว้ตลอดถนนดำลาดยาว
บรรยากาศที่เงียบสงบแต่เป็นความคุ้นชินของชายที่นั่งอยู่บนรถ คาลวินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนรถยนต์ที่นั่งมาจอดสนิทที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ คาลิกที่เดินทางมาด้วยรีบลงมาเปิดประตูรถยนต์ให้อีกครั้ง ก่อนเดินตามหลังของคาลวินเข้ามาด้านในคฤหาสน์
“ยินดีต้อนรับนายท่านกลับบ้านค่ะ” เลล่าทำความเคารพด้วยการเอามือข้างขวาขึ้นแนบกับหน้าอกด้านซ้ายพร้อมกับศีรษะที่ก้มลงอย่างนอบน้อม หญิงสาวเพียงคนเดียวในคฤหาสน์หลังนี้ถอดเสื้อโค้ตตัวใหญ่จากร่างของคาลวินมาถือเอาไว้ สายตาของเธอมองไปที่ปลายเท้าของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากถูกสอนมารยาทเอาไว้เช่นนั้น
“เธอไปพักเถอะเลล่า ฝากเรียกบรู๊คมาที่ห้องทำงานของนายท่านทีนะ” คาลิกส่งยิ้มให้เลล่าแล้วออกเดินตามคาลวินมายังห้องทำงาน
ในช่วงเวลาของการใช้ชีวิตของคาลวิน หนึ่งเดือนเขาจะมาที่คฤหาสน์หลังนี้เพียงไม่กี่ครั้ง และในวันที่พระจันทร์เต็มดวงของทุกเดือน จะปรากฏร่างของชายหนุ่ม ณ ที่แห่งนี้ ที่ซึ่งเป็นความลับที่ไม่มีใครเคยได้ล่วงรู้
น้ำอุ่นถูกเตรียมเอาไว้ด้วยฝีมือของคาลิก อ่างน้ำขนาดใหญ่ถูกตั้งอยู่ในที่โล่งให้มองเห็นบรรยากาศภายนอก และกำลังมีร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่ง ร่างกายเปล่าเปลือยที่มองเห็นแผงอกกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่สวยงาม ผิวสีขาวที่มีหยาดน้ำเกาะติดกำลังกระทบกับแสงจันทร์สีเหลืองนวลให้เกิดประกายระยิบ
คาลวินที่ไม่เหมือนคาลวินในเวลาปกติ ผมสีดำหยักศกเปลี่ยนเป็นสีขาวพร้อมกับดวงตาสีแดงเลือดที่เคยเป็นสีน้ำตาล ในคืนพระจันทร์เต็มดวงคาลวินจะไม่สามารถปกปิดร่างที่แท้จริงของตนเองได้ เขาจึงจำเป็นต้องกลับมาพักที่คฤหาสน์ ในทุกๆ วันที่พระจันทร์เต็มดวง
“ซาโลว์” คือตระกูลของแวมไพร์ที่เก่าแก่และเป็นสายเลือดบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ “ซาโลว์” ที่หมายถึงผู้อาศัยใต้ต้นหลิวในสมัยก่อนที่บ้านหลังเก่าจะเต็มไปด้วยต้นหลิวขนาดใหญ่ บ่งบอกไว้ว่านั้นคือต้นไม้ประจำตระกูลของซาโลว์ เหมือนที่ภูเขาลูกนี้ก็เต็มไปด้วยต้นหลิวเช่นเดียวกัน
คาลวินเคาะนิ้วลงบนขอบอ่าง พร้อมกับยกแก้วในมือขึ้นจิบน้ำสีแดงในแก้ว ไม่ใช่ไวน์แดงหรือน้ำผลไม้เกรดดีอะไร แต่มันคือเลือดมนุษย์ที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี วิวัฒนาการของแวมไพร์ในยุคสมัยนี้ เปลี่ยนแปลงไปมากแวมไพร์ไม่ต้องออกล่า เพราะมีตลาดเลือดที่ค้าขายเป็นตลาดมืดที่รู้กันเพียงแค่วงใน
ผู้ที่ต้องการเงินจะขายเลือดของตัวเอง ในบางคนอาจคิดว่า..ดีกว่าเอาเลือดไปบริจาคฟรีสู้มาขายเอาเงินใช้จะเกิดประโยชน์มากกว่า รสเลือดของแต่ละคนไม่ได้หอมหวานต่างคนต่างมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป
ระดับเลือดของบุคคลขึ้นอยู่กับรสชาติ บางคนขายเลือดแค่ไม่กี่ออนก็มีเงินใช้ไปทั้งเดือน แต่รสชาติดีก็จะมีคนสนใจมากขึ้น และเขาก็จะทำให้เลือดของตนเองเป็นสินค้าชั้นยอด เหมือนกับตอนนี้ เลือดที่คาลวินดื่มเป็นเลือดชั้นยอดที่มีการผ่านกระบวนการที่ยอดเยี่ยมเพียงหนึ่งเดียวของเขา นั้นก็คือ “บรู๊ค” พ่อบ้านประจำคฤหาสน์เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเลล่า ทั้งสองคอยดูแลคฤหาสน์เป็นอย่างดี
“โทษทีที่มาช้า” เสียงน้ำแตกกระจายเมื่อร่างของชายผู้มาใหม่กระโดดลงมาในอ่างเหมือนเด็กเล็ก คาลวินรู้สึกไม่ชอบใจแต่กลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา “โอ๊ย..กว่าจะได้มีเวลาพัก ผมให้พี่รอผมก่อนทำไมไม่รอกันบ้าง ขี้เกียจขับรถมาเองนะเนี่ย”
“ปกติไม่ขับรถ” คาลวินมองน้องชายสายเลือดเดียวกัน
“ก็วันนี้ไม่ปกติ” นาธาน ซาโลว์ น้องชายเพียงคนเดียวของ “คาลวิน ซาโลว์” ที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขาเป็นน้องชายของประธานบริษัทที่นักร้องหนุ่มทำงานอยู่แม้แต่สื่อก็ยังไม่รู้เรื่องนี้
“เรื่องทัวร์คอนเสิร์ต อนุมัติไปแล้ว อีกหนึ่งปีแกจะได้เดินทางรอบโลกอย่างที่แกต้องการ มันอาจลำบากหน่อยเดี๋ยวจะส่งเดม่อนไปดูแลแกแล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอก พี่ก็รู้ว่าผมดูแลตัวเองได้”
“อย่างน้อยมีเดม่อน แกก็ไม่ต้องฟังเสียงบ่นของโรฮาน รวมถึงฉันด้วย”
“เฮ้ย โรฮาน ทำไมท่านถึงไม่ยอมปลีกวิเวกสักทีนะ…” นาธานพูดทั้งถอนหายใจแล้วยิ้มขำ เขาจ้องมองไปยังพระจันทร์สีเหลือง ร่างกายของนาธานเปลี่ยนแปลงไม่ต่างจากพี่ชาย แต่รูปร่างนี้เขากลับชอบเสียกว่ารูปร่างที่ปรุงแต่งขึ้น