ตอนที่ : 2 วิกฤตหรือโอกาส 2
“มาสำนึกตอนนี้มันสายไปแล้วล่ะพ่อ แม่ล่ะกลุ้มใจจริงๆ คาปู เจ้าทุกข์เขาไม่ยอมความจะเอาพ่อเขาเข้าคุกอย่างเดียว”
คำพูดของมารดาทำให้ชามาวีร์ต้องติดต่อไปทางเจ้าทุกข์เพื่อขอร้องเขา แต่เพียงแค่เห็นชื่อของเจ้าทุกข์ เกื้อรัฐ บุษนนท์ หนทางอันแสนจะมืดมนของหญิงสาวก็เริ่มจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง แม้จะต้องแลกด้วยอะไร เธอก็ต้องไปอ้อนวอนขอเขาให้ได้ เพราะว่าเกื้อรัฐก็คือเพื่อนสนิทของเวคินเจ้านายของเธอ นอกเหนือไปจากนั้นเขายังเป็นชายในฝันที่เธอทำได้เพียงเฝ้าหมายมอง อยู่ไกลแสนไกลเกินที่ชามาวีร์จะเอื้อมมือไปไขว่คว้า
หญิงสาวรีบนั่งแท็กซี่กลับไปยังที่ทำงาน เพื่อรื้อดูเอกสารที่เกื้อรัฐเคยเข้ามาใช้บริการเรื่องการขนย้ายกับทางบริษัท ชามาวีร์กวาดสายตาดูรายละเอียดที่อยู่ของเขาจนได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปหาเขาที่คอนโดมิเนียมในทันที
คอนโดฯ สูงสามสิบแปดชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าทำให้หญิงสาวจำต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สามครั้ง ก่อนจะก้าวผ่านประตูเข้าไป เนื่องจากว่าเป็นสถานที่แสนจะหรูหราช่างเป็นที่ไม่คุ้นเคยสำหรับชามาวีร์ หญิงสาวออกอาการประหม่าเล็กน้อย รีบตรงดิ่งไปยังลิฟต์โดยสารแล้วกดชั้นสามสิบสามในทันที ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวขึ้นสู่ที่สูง คนที่ยืนอยู่ภายในก็รู้สึกหัวใจเต้นระทึกด้วยความรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา กระทั่งลิฟต์มาหยุดนิ่งอยู่ ณ ชั้นที่เธอต้องการ บานประตูลิฟต์เปิดออกหญิงสาวก็เดินตรงไปยังห้องของเขา ชามาวีร์หยุดนิ่งมองดูป้ายเลขหน้าห้องอยู่พักใหญ่ นอกจากจะเพื่อความแน่ใจว่าใช่ห้องของเขาแล้ว หญิงสาวยังต้องการเวลาทำใจอีกด้วย ก่อนจะตัดสินใจยื่นปลายนิ้วไปกดปุ่มที่อยู่หน้าห้อง
กริ๊ง...กริ๊ง...
เสียงออดดังขึ้นสองครั้งทำให้คนที่กำลังคลายปมเนกไทของตัวเองออกจากเสื้อเชิ้ตต้องหยุดมือเอาไว้ แล้วเดินไปเปิดประตูให้
“สวัสดีค่ะคุณเกื้อ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้แล้วย่อตัวลงอย่างน่ารักราวกับเด็กนักเรียนอนุบาลก็ไม่ปาน
“ยัยคาปู...มาทำไม” เกื้อรัฐเหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองว่าจะเป็นชามาวีร์ที่ยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง เลขาฯ ท่าทางเฉิ่มเชยของเวคินมาปรากฏกายอยู่ที่นี่ ช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาดดีแท้
“ขอคาปูเข้าห้องก่อนนะคะ” หญิงสาวรีบแทรกตัวผ่านร่างสูงของชายหนุ่มเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเกรงว่าอาจจะไม่ได้เข้าห้องของเขาเป็นแน่แท้หากมัวชักช้าอยู่
“เฮ้ย! ใครอนุญาตเธอ” ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าคอเสื้อเชิ้ตนั่นเอาไว้ก่อน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อหญิงสาวตรงไปนั่งบนโซฟาเป็นที่เรียบร้อย
“คาปูมาคุยกับคุณเกื้อเรื่องสำคัญค่ะ” ชามาวีร์นั่งในท่าทางที่สุภาพเรียบร้อย วางฝ่ามือประกบกันไว้บนหน้าตัก สงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างที่สุด
“เรื่องอะไร” เขาเอ่ยถามอย่างเนือยๆ วันนี้เหนื่อยเรื่องงานมาแล้วทั้งวัน ยังจะมาเจอยัยคาปูชิโนหน้าตายนี่อีก มันวันซวยอะไรของเขากันนะ ก่อนจะหย่อนสะโพกลงฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว ชามาวีร์ออกอาการอึกอักจากสีหน้าของเขา เกื้อรัฐจ้องมองกลับมาอย่างต้องการคำตอบเร็วที่สุดว่าหญิงสาวมาหาเขาเรื่องอะไร
“ว่ายังไง ฉันถามว่าเรื่องอะไร” เขาถามอย่างรำคาญใจในท่าทีของอีกฝ่าย ชามาวีร์จึงทำใจกล้าเข้าประเด็นหลักของเรื่อง
“ความจริงแล้วคนที่ขโมยแหวนเพชรของคุณไป...”
“เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” เขาสวนกลับทั้งที่ชามาวีร์เอ่ยยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ
“เอ่อ...เขาคนนั้นก็คือ...พ่อของคาปูเองค่ะ”
“นี่เธอเป็นลูกของเจ้าหัวขโมยนั่นเหรอคาปู” เขาชี้นิ้วใส่หน้าหญิงสาวราวกับจะประณามหยามเหยียดชามาวีร์ สีหน้าทึ่งจนไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือความจริง คนที่ถูกชี้นิ้วใส่ถึงกับอ้าปากค้างตกใจในท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขา
“ค่ะ” ชามาวีร์ยอมรับแต่โดยดี
“ถ้าอย่างนั้น พ่อของเธอก็ต้องอยู่ในคุกตามความผิด” เขาหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อยากมองหน้าของชามาวีร์ที่กำลังจะเบะอยากร้องไห้ในตอนนี้ หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงรีบถลาลงไปนั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นห้อง
“คุณเกื้อขา อย่าส่งพ่อของคาปูเข้าคุกเลยนะคะ” วอนขอเขาด้วยสายตาประดุจดั่งหมาน้อยตัวหนึ่งอ้อนขออาหารจากเจ้านายของมัน
“ไม่! พ่อของเธอเป็นขโมยก็ต้องสมควรอยู่ในคุก”
น้ำเสียงที่เด็ดขาดของเขาทำเอาชามาวีร์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความผิดหวัง ก่อนจะยื่นฝ่ามือน้อยๆ ออกไปกอดรัดท่อนขาของเขาเอาไว้แน่น
“คุณเกื้อ คาปูขอร้องนะคะ อย่าส่งพ่อเข้าคุกเลยนะคะ จะให้คาปูทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น คาปูยอมทำทุกอย่าง”
คำพูดอ้อนวอนของชามาวีร์ทำให้ชายหนุ่มถึงกับยืนนิ่ง ก้มหน้าลงไปมองคนที่กอดขาของตัวเองเอาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“น้ำหน้าอย่างเธอนี่นะคาปู จะมีอะไรที่ฉันอยากให้ทำให้ หรือว่าเธอมีอะไรที่ฉันอยากได้” เกื้อรัฐหยันน้ำเสียงใส่จากนั้นก็จิ้มนิ้วชี้ลงไปบนหน้าผากของหญิงสาวอย่างดูแคลน ก่อนจะหันไปแกะมือกาวหนึบตรงบริเวณขาของตัวเองออก
“นะคะคุณเกื้อ” หญิงสาวหันมาเขย่ามือของเขาอย่างถือวิสาสะ เป็นไงเป็นกันงานนี้ เก็บคำว่าศักดิ์ศรีพับเก็บเข้าตู้ไปก่อน มีแค่เรื่องเดียวที่ต้องทำให้ได้นั่นก็คือช่วยพ่อ! เกื้อรัฐก้มลงไปมองคนที่จับข้อมือของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะปฏิเสธเสียงดังลั่นใส่ชามาวีร์
“ไม่!”
“นะ...คุณเกื้อ”
“ฉันบอกว่าไม่ก็ไม่!”
“คาปูยอมเป็นของเล่นยามว่างของคุณก็ได้” เมื่อหมดหนทางแล้วจริงๆ เธอจึงต้องยอมเอ่ยคำนี้ออกมา
“ฮ้า! ของเล่น”
“ใช่ค่ะ ก็เป็นเมียเก็บ เมียบำเรอ กิ๊ก หรืออะไรทั้งหลายแหล่ที่บรรดาเศรษฐีเขาชอบมีกันไงคะ”
คำขยายความของชามาวีร์ทำเอาเขาถึงกับกุมขมับ จ้องมองยัยเด็กหุ่นมัธยมนมมหาวิทยาลัยแต่หน้าตาอนุบาลชัดๆ
“นี่เธอกล้ามายื่นข้อเสนอที่ห่วยที่สุดในโลก! แบบนี้ให้ฉันได้ยังไงยัยคาปู” เขาตวาดกลับด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง ชามาวีร์ถึงกับลดมือที่กุมฝ่ามือของเขาออก
“ก็คาปูไม่อยากให้พ่อติดคุก และไม่อยากให้บ้านถูกยึดนี่คะ” หญิงสาวเบะปากออกคล้ายคนกำลังอยากจะร้องไห้
“พ่อของเธอฉันพอจะเข้าใจ แต่เรื่องบ้านถูกยึดนี่ มันเกี่ยวอะไรกับฉัน” เกื้อรัฐทิ้งศีรษะพิงพนักโซฟา รู้สึกมืดแปดด้านยิ่งกว่าการต่อสู้กับคู่แข่งทางการค้าเสียอีก ทั้งที่แค่คุยกับยัยคาปูชิโนแก้วประหลาดนี้เท่านั้นเอง ชามาวีร์เห็นเขาทำท่าลำบากใจแบบนั้นจึงรีบพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ข้างใน ด้วยเกรงว่าเขาอาจจะไม่รับฟังหากเยื้อเวลาต่อไป