เขาร้ายแต่เธอรัก

102.0K · จบแล้ว
มาชาวีร์
58
บท
40.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“ยัยคาปู! นี่เธอเห็นฉันเป็นอะไร พ่อของเธอขโมยแหวนเพชรของฉัน แล้วเธอยังมีหน้ามาขอให้ปล่อยแถมมายืมเงินต่ออีก ถ้าฉันให้ ฉันก็ควายดีๆ นี่เอง” ร่างสูงลุกพรวดขึ้นยืน แทบอยากจะจับชามาวีร์โยนออกนอกห้องไป “โอ๋...อย่าเพิ่งโกรธคาปูนะคะ คาปูรู้ว่ามันมากไปก็เลยมีข้อเสนอให้ยังไงคะ” “ข้อเสนอ ให้ตัวเองเป็นเมียบำเรอของฉันนี่นะ” เขาย้ำคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ใช่ค่ะ” “ไม่!” “คาปูเก่งนะคะ!”

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันตลกรักหวานๆโรแมนติก

ตอนที่ : 1 วิกฤตหรือโอกาส

1

วิกฤตหรือโอกาส

เงิน เงิน เงิน ช่างมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของทุกคน ไม่เว้นกระทั่งคาปู หรือมีชื่อเล่นเต็มๆ ว่าคาปูชิโน ส่วนชื่อแท้จริงนั่นก็คือ นางสาวชามาวีร์ โสภากุล เพราะว่าเป็นกาแฟรสชาติโปรดปรานของบิดาและมารดาของเธอ จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเล่นของบุตรสาวเพียงคนเดียวของคนทั้งคู่ และด้วยความบังเอิญจากการทำกาแฟคาปูชิโนหกใส่กันในร้านกาแฟแห่งหนึ่งเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว จึงได้กลายเป็นรักแรกพบจนกระทั่งออกดอกผลิผลมาเป็นชามาวีร์ในทุกวันนี้ และเพราะคำว่าเงินจึงทำให้ชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป

“ถึงจะชอบคาปูชิโนขนาดไหนก็ไม่เห็นต้องตั้งเป็นชื่อลูกเลยนี่นา” ชามาวีร์ในวัยยี่สิบสี่ปีทำหน้างอใส่มารดาของตัวเองขณะที่นั่งกินข้าวเช้าภายในบ้านหลังเล็กของครอบครัว

“อะไรกันคาปู ชื่อนี้แม่ตั้งมาตั้งนานแล้วนะ มาไม่ชอบอะไรกันตอนนี้” นางอโณทัยกระเซ้าบุตรสาวอย่างคนอารมณ์ดี

“นั่นสิลูก เกิดอะไรขึ้น ไหนลองเล่าให้พ่อฟังหน่อยซิ” นายพิทักษ์ฉีกยิ้มกว้างใส่ชามาวีร์ ก่อนจะลงมือจัดการกับข้าวต้มกุ้งที่ส่งกลิ่นหอมฉุยตรงหน้า

“ก็เมื่อวานน่ะสิคะ ตอนที่บอสเรียกหนูในห้องประชุมดันเรียกออกมาได้ว่า ยัยคาปูชิโน! เอาเอกสารมาให้ฉันที แค่นี้บริษัทลูกค้าที่มาร่วมประชุมถึงกับหัวเราะกันลั่นห้อง หนูเลยกลายเป็นตัวตลกไปเลย” หญิงสาวทำสีหน้าและท่าทางเลียนแบบหัวหน้างานของตัวเองเหมือนซะจนนายพิทักษ์และนางอโณทัยต้องหัวเราะลั่นออกมา

“ฮ่าๆ แล้วลูกไปทำอะไรให้บอสเขาต้องเรียกเราเสียงเข้มขนาดนั้นล่ะ” คนเป็นพ่อพอจะรู้ถึงกิตติศัพท์ของนายเวคินหัวหน้างานของบุตรสาวตัวเองดี ว่าเมื่อไรได้โกรธแล้วเป็นต้องเรียกชื่อเล่นของชามาวีร์เสียเต็มยศว่าคาปูชิโน!

“แหม...พ่อละก็ทำเป็นรู้ทัน หนูก็แค่แอบงีบระหว่างประชุมนิดเดียวเอง” หญิงสาวยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งบีบเข้าหากันว่างีบนิดเดียวจริงๆ

“งั้นก็สมควรแล้วล่ะ ชอบทำให้บอสเขาโกรธอยู่เรื่อย” คนเป็นแม่เอ่ยขึ้นเป็นเชิงขัด

“แม่! ทำไมไม่เข้าข้างลูกสาวของตัวเองเลย” ชามาวีร์แกล้งตีหน้างอใส่ท่านอีกรอบ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกันออกมาลั่นบ้าน

นั่นคือภาพความสุขในวันวาน ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นในเวลาหนึ่งเดือนต่อมา เมื่อนายพิทักษ์ถูกจับในข้อหาขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น แหวนเพชรมูลค่าห้าล้านบาทที่เกื้อรัฐพาน้องสาวไปเลือกซื้อเพื่อเป็นแหวนหมั้นถูกนายพิทักษ์ขโมยไปในระหว่างที่นั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่กล้องวงจรปิดของทางร้านจับภาพที่เขากำลังเดินไปฉกมันจากโต๊ะอาหารระหว่างที่เกื้อรัฐก้มลงหยิบปากกาที่หล่นอยู่บนพื้นและน้องสาวของเขาก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำไว้ได้ มันจึงกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่มัดตัวนายพิทักษ์จนดิ้นไม่หลุดในภายหลัง

“พ่อ! ทำไมต้องทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ด้วย” คนเป็นภรรยาเอ่ยถามสามีที่อยู่ในห้องขังด้วยความผิดหวัง

“แม่อย่าโกรธพ่อเลยนะ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบน่ะ” คนทำผิดแก้ตัวออกมาอย่างน้ำขุ่นๆ ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

“พ่อทำแบบนี้มันเท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ หาคุกหาตะรางใส่ตัว ตั้งแต่เราอยู่กันมาพ่อไม่เคยมีนิสัยเป็นหัวขโมยเลยนะ หรือว่า...เรื่องนั้น” นางอโณทัยย้อนนึกถึงเรื่องของบ้านที่กำลังจะถูกยึดเนื่องจากขาดการผ่อนจ่ายมาหลายงวดแล้ว คงเป็นเรื่องนี้ที่ทำให้หัวหน้าครอบครัวคนหนึ่งถึงกับเลือกเดินผิดเส้นทางไป

“เรื่องนั้นใช่ไหมพ่อ” นางอโณทัยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ และเมื่อถูกคาดคั้นหนักขึ้น คนเป็นสามีถึงกับก้มหน้าหลบตาหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกผิด

“พ่อ! บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะว่าเรื่องนั้นใช่ไหม”

“แม่...พ่อขอโทษ”

คนทำผิดเพราะความคิดใฝ่ต่ำเอ่ยออกมาอย่างเสียใจ เขาเห็นเกื้อรัฐนำแหวนเพชรเม็ดโตออกมาให้น้องสาวดูในร้านอาหาร เพียงแค่เห็นประกายเพชรวูบวาบเม็ดนั้น กิเลสก็เกิดขึ้นทันที ถึงกับคิดที่จะฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเอง ก่อนที่จะถูกจับตัวได้ในเวลาต่อมา และฝ่ายผู้เสียหายก็ไม่ยอมความ ให้จับเข้าคุกสถานเดียว

ด้านชามาวีร์นั้น หลังจากที่ได้รับทราบข่าวร้ายเรื่องที่บิดาถูกจับกุมในข้อหาลักทรัพย์ ก็รู้สึกตกอกตกใจเป็นอย่างมาก หญิงสาวรีบรุดออกมาจากที่ทำงานในทันที ร่างอิ่มวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาด้านบนของสถานีตำรวจด้วยความรู้สึกใจเสีย เมื่อสอบถามรายชื่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีเรียบร้อยแล้ว ก็รีบตรงไปยังห้องขังที่บิดาของเธอถูกคุมขังอยู่ ร่างผอมของผู้เป็นบิดาที่อยู่ภายในห้องขังซอมซ่อแสนเก่า ทำให้คนเป็นลูกถึงกับครางออกมาด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ

“พ่อคะ”

“คาปู...” นางอโณทัยเรียกชื่อบุตรสาวออกมาเบาๆ ขณะที่นายพิทักษ์ก้มหน้าลงต่ำด้วยความรู้สึกผิด ไม่กล้ามองหน้าของชามาวีร์เลยในตอนนี้ จากนั้นความจริงของสาเหตุที่นายพิทักษ์กระทำลงไปทั้งหมด ก็ได้ถูกบอกเล่าให้ชามาวีร์ฟังจากปากของนางอโณทัย

“เงินเดือนของพ่อกับแม่ไม่พอหรือคะ” คนเป็นลูกเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“เอ่อ...คาปู พ่อกับแม่ไปกู้เงินเขามาส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือในช่วงปีสุดท้าย” นางอโณทัยจำต้องบอกความจริงข้อนี้ออกไป เพียงแค่อยากให้ลูกได้เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนอย่างคนอื่นเขา ทั้งคู่จึงได้ทำเรื่องที่เกินตัวแบบนี้ และในปีสุดท้ายของการเรียนมหาวิทยาลัยก็เกิดเรื่องต้องใช้เงินมากมายจนหมุนกันไม่ทัน

“แม่คะ หมายความว่าค่าเล่าเรียนในปีสุดท้ายทั้งหมดก็คือเงินกู้อย่างนั้นหรือคะ” หญิงสาวครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อว่ามันคือความจริง

“ใช่แล้วคาปู พอลูกเรียนจบ พ่อกับแม่ก็เลยต้องใช้หนี้เขา และดอกมันก็เพิ่มขึ้นทุกวันจนทำให้ไม่มีเงินไปจ่ายค่าผ่อนบ้าน”

น้ำเสียงที่แสนจะเสียดายบ้านนั้นบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจน ความปลอดภัยต้องมาก่อน เมื่อถูกข่มขู่จากพวกเจ้าหนี้หน้าเลือด คนเป็นพ่อกับแม่ก็ต้องห่วงอันตรายที่จะเกิดกับลูกก่อนเสมอ อาชีพเป็นเพียงแค่คนขับรถของบริษัทแห่งหนึ่งของนายพิทักษ์กับแม่ที่เป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กโรงเรียนอนุบาลอย่างนางอโณทัยจึงไม่มีทางเลือกอื่นมากนัก

คนเป็นลูกถึงกับหน้าเศร้าในเรื่องที่รับรู้มา จำได้ว่าตอนนั้นมารดาเคยถามว่าอยากจะเรียนมหาวิทยาลัยไหน เธอก็ตอบตามประสาวัยรุ่นคนหนึ่งที่อยากตามเพื่อนๆ เข้าไปเรียนด้วยกัน จนกลายมาเป็นภาระของท่านทั้งสองในวันนี้

ชามาวีร์คิดว่านี่มันคือความผิดของเธอ ถ้าเธอเก่งกว่านี้สักนิด พ่อกับแม่ก็คงไม่ต้องมาลำบากแบบทุกวันนี้

“มันไม่ใช่ความผิดของคาปูหรอกลูก พ่อผิดเอง” คนที่อยู่ในกรงขังน้ำตาซึมเพราะว่าเขาคือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ถ้าหัวหน้าครอบครัวคนหนึ่งมีความสามารถและฉลาดพอที่จะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ ชีวิตมันก็คงจะดีกว่านี้