บทที่ 5 คุณไม่ต้องการหลานเขยคนนี้ งั้นก็หาฉันสิ
รอยยิ้มบนใบหน้าเซียวชุ่นเบ่งบานได้อย่างเย็นยะเยือกสุดขั้ว
พวกกบในกะลา คิดว่าจะกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือไง?!
หากอาจารย์ไม่กำชับก่อนออกเดินทาง แล้วเขาจะทนคนอื่นเหยียดหยามในตระกูลเหยาหรือ!?
หยาวฮั่นผู้ไม่ประสีประสา เขาหมั่นไส้สวะที่กินนอนฟรีตั้งนานแล้ว รีบสาวเท้าเดินไปยังเซียวชุ่น จากนั้นก็สั่งการ“วันนี้แกต้องเซ็นอย่างเดียว”
“รังแกมาสามปี เจ้ากี้เจ้าการตลอด แต่ก็ยังไม่รู้จักพอประมาณ วันนี้ยังฉีกหน้าในสาธารณะ คิดจะทอดทิ้งแล้วไปเกาะคนสูงศักดิ์กว่าอย่างนั้นเหรอ?ตระกูลเหยาวางแผนได้ดีจริงๆ กล้ามากจริงๆ”
เซียวชุ่นสบถหนึ่งเสียง จากนั้นก็ดังกังวานไปทั่วงาน และผู้รับฟังก็พากันอึ้งเป็นแถวๆ
ไอ้สวะคนนี้ กล้าโอหังเพียงนี้เลยหรือ?
ไม่มีคนสังเกตเลยว่า เซียวชุ่นแค่พูดเบาๆ ทว่าก็ได้ยินทั่วงาน ซึ่งมันต้องมีนัยยะอะไรแฝงอยู่เป็นแน่
“เซียวชุ่น ไอ้สวะ รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรอยู่”
เหยาเจิ้นชูโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ไม้เท้าหัวมังกรในมือกระทืบดังตึกๆ
หยาวฮั่นที่อยู่ด้านข้างกับคนตระกูลเหยาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หยาวฮั่นชี้หน้าด่าเซียวชุ่นว่า“ไอ้สวะ มึงกินฟรีอยู่ฟรีที่บ้านตระกูลเหยามาสามปี เป็นเหมือนพยาธิที่เกาะคนอื่นกิน ยังมีหน้าบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอีก?”
คำพูดของหลี่ชุนเหลียนยิ่งรุนแรงไปอีกขั้น มือเท้าเอวกล่าวว่า“ใช่ ไม่ดูสารรูปตัวเองเลย วันนี้แกยังกล้าเอาเหรียญทองแดงมาวันเกิดนายท่าน ทำให้ตระกูลเหยาขายหน้ามากรู้ไหม ต่ำทรามมาก ตระกูลเหยาติดค้างอะไรแกไม่ทราบ?”
แต่ละคนผลักกันพูดทีละคำสองคำ ถ้อยคำก่นด่าเหยียดหยามแทงเข้าไปในใจเซียวชุ่น
เซียวชุ่นไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่รวบรวมพลังในกายทั้งหมดเพียงหนึ่งเดียว จากนั้นก็จู่โจมให้สำเร็จในครั้งเดียว——
“พ่อหนุ่ม”
เสียงที่รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อยดังขึ้น
ตรงประตูมีคนเข้ามาสองคน
คนหนึ่งแก่ชรา คนหนึ่งยังอายุน้อย ซึ่งผู้อาวุโสคนนี้ร่างกายแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า สายตาทรงพลัง ถึงแม้ผมจะขาวไปทั่วหัว ทว่าไหล่ก็ยังคงยืดตรง รังสีบนตัวไม่ธรรมดาเลยสักนิด
ส่วนคนข้างกายเขา คือสาวน้อยผู้เลอโฉม เปล่งประกายออร่าทั่วเรือนร่าง ดวงตาทั้งคู่ก็สะดุดตายิ่งนัก คล้ายกับจิ้งจอกน้อยที่มีท่วงท่าปราดเปรียว
เมื่อพวกเขาสองคนปรากฏกายก็ดึงดูดสายตาคนทั้งงาน
“ดูเหมือนว่าฉันจะมาถูกเวลานะ” ชายชราเอ่ยพร้อมกับเดินเนือยๆ
เมื่อเห็นสองคนที่มีกลิ่นอายพิเศษ เหยาเจิ้นชูก็ระงับเพลิงโทสะชั่วคราว ก้าวเข้าไปทำท่าคำนับ “ผมชื่อเหยาเจิ้นชู ไม่ทราบว่าสองท่าน……”
“ซ่งเจิ้นไห่”
ชายชราเอ่ยออกมาสามพยางค์ จึงรู้ว่าเป็นปู่หลานที่เซียวชุ่นช่วยชีวิตไว้
ซ่งเจิ้นไห่พูดต่อไปว่า“คนนี้คือหลานสาวฉัน ซ่งหลิงเอ๋อร์”
ได้ยินสองชื่อนี้แล้ว ทุกคนในงานก็ตกตะลึง นี่คือซ่งเจิ้นไห่แห่งตระกูลซ่ง!
ถ้าบอกว่าตระกูลซ่งมีอิทธิพลมากสุดในเมืองเจียงไห่ เช่นนั้นซ่งเจิ้นไห่ก็คือบุคคลระดับสูงสุดของเมืองเจียงไห่ เขาแค่กระแอม เจียงไห่ก็ต้องสั่นสะท้านแล้ว
แม้แต่ตระกูลโอหยางที่แข็งแกร่งก็ต้องตกเป็นรอง
โอหยางเจิ้งรีบโค้งคำนับ“กระผมโอหยางเจิ้ง ได้ยินชื่อเสียงนายท่านซ่งมานานแล้วครับ แต่ก็ยังสู้เห็นเองกับตาไม่ได้ ช่างเป็นมังกรผู้เกรียงไกรจริงๆเลยครับ”
เหยาเจิ้นชูก็รีบเข้ามาประจบ“ใช่ๆๆ ผมมีตาแต่หามีแววไม่ นายท่านซ่งได้อย่างถือสาเลยนะครับ”
สองผู้อาวุโสก็ต่อแถวคำนับแล้ว คนที่เหลือจึงไม่กล้าเลินเล่อ รีบคำนับตามทันที
หยาวฮั่นเห็นซ่งหลิงเอ๋อร์ผู้งามพิสุทธิ์ หัวใจก็ไหวหวั่น คุณหนูตระกูลซ่ง ได้ยินมานานแล้วว่าสวยระดับประเทศ ทว่าก็ไม่มีคนเคยยลโฉมมากนัก
หากได้เป็นผู้ร่วมหอลงโรงด้วยกันกับเธอ……
เกิดแรงปรารถนาขึ้น หยาวฮั่นก็เผยรอยยิ้มตรงมุมปากด้วยความมั่นใจในตัวเอง จากนั้นก็คุยกับซ่งหลิงเอ๋อร์ว่า “ผมชื่อหยาวฮั่น เป็นหลานชายนายท่านตระกูลเหยาครับ”
เขาคิดว่าตัวเองหล่อ สง่าผ่าเผย มีเสน่ห์
ทว่าซ่งหลิงเอ๋อร์กับกลอกตาขาวมองบน จากนั้นก็ละสายตาไปที่อื่น
หยาวฮั่นมองไปตามสายตาเธอ จากนั้นก็เดือดดาลจนแทบเป็นตาย เธอมองไอ้สวะเซียวชุ่น!
ซ่งเจิ้นไห่โบกมือ“พวกนายไม่ต้องมากพิธี วันนี้ฉันมาเพื่อหาคนคนหนึ่ง……”
ระหว่างที่พูด สายตาก็จับจ้องอยู่บนตัวเซียวชุ่น
เหยาเจิ้นชูมองตามซ่งเจิ้นไห่ ก็รู้สึกอารมณ์เสีย ก่อนจะตะคอกใส่เซียวชุ่น
“ยังไม่รีบมาทำความเคารพอีก ท่านนี้คือผู้อาวุโสซ่งเจิ้นไห่นะ”
ทุกคนรู้สึกหวั่นในใจ คิดว่าเซียวชุ่นทำให้ตระกูลซ่งเคืองใจ จึงรู้สึกว่าตอนนี้เขาต้องตายแน่
ทว่าสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงคือ
ซ่งเจิ้นไห่ได้ยินก็รีบเอ่ย“อย่า!ฉันจะเดินไปหาเอง ฉันขอขอบคุณคุณเชียวที่ช่วยชีวิตฉันไว้!”
พูดเสร็จ เขาก็ดึงซ่งหลิงเอ๋อร์ไปหาเซียวชุ่นโดยเร็ว
จากนั้นก็โค้งคำนับอย่างนอบน้อมต่อหน้าสายตาผู้คน
เซียวชุ่นมีสีหน้าเรียบเฉย รู้สึกเด็ดในใจ
“เอ่อๆๆ”
เหยาเจิ้นชูพูดติดๆขัดๆด้วยความลุกลน“ผู้มีพระคุณที่นายท่านซ่งบอกคือ ไอ้สวะ ออ ไม่ใช่ เขยแต่งเข้าบ้านอย่างเซียวชุ่นหรือครับ?เข้าใจผิดหรือเปล่าครับ?”
“เข้าใจผิด?”
ซ่งเจิ้นไห่สบถอย่างไม่สบอารมณ์ ตะคอกกล่าวว่า“เห็นไข่มุกเป็นดวงตาของปลาไปได้ พวกนายต่างหากที่เข้าใจผิด กล้าว่าเซียนหมอเซียว ว่าเป็นสวะ?”
ได้ยินอีกฝ่ายเรียกว่าเซียนหมอเซียว ทุกคนก็อึ้ง สงสัยว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า
เสียงซ่งเจิ้นไห่ลอยมาซัดใส่หัวใจผู้คนให้ตื่นตระหนกอีกระลอก
“วันนี้ฉันกับหลานสาวกลับมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แต่ตอนไปถอนเงินที่ธนาคาร โรคเก่าก็กำเริบ โชคดีที่เซียนหมอเซียวยื่นมือเข้าช่วย จากนั้นฉันก็ไปตรวจที่โรงพยาบาล และผลตรวจก็คือโรคที่เป็นมานานสิบกว่าปี ตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว”
“เซียนหมอเซียวแค่ใช้เข็มฝังไม่กี่เข็มก็รักษาฉันได้ ฝีมือแพทย์เช่นนี้ คาดว่าคงไม่มีใครเทียบได้ และนายบอกว่าฉันว่าเขาเป็นสวะอย่างนั้นหรือ?”
ซ่งเจิ้นไห่มองเซียวชุ่นปราดหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังเหยาเจิ้นชู เอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า“สายตานายท่านตระกูลเหยาไม่ดีเสียเลย เมื่อตระกูลเหยาไม่เอาหลานเขยคนนี้ งั้นก็ให้ฉันสิ?คนดีๆแบบนี้ ฉันอยากจับคู่ให้หลานสาวแทบแย่”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าซ่งหลิงเอ๋อร์ก็แดงระเรื่อ เบะปากอย่างไม่พอใจ เธอไม่อยากให้คุณปู่กำหนดเรื่องแต่งงานของเธอ
เมื่อความตกตะลึงถล่มมาอย่างต่อเนื่อง ทุกคนก็เป็นใบ้กันหมด
พวกเขาไม่เคยได้ยินบุคคลสูงส่งจากตระกูลส่งชมคนอื่นมากเท่านี้มาก่อน เซียวชุ่นคือคนแรก และคนนี้คือสวะจริงๆหรือ?
เหยาเสินขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เกิดความสับสนวุ่นวายภายในใจ เธอดูออกว่าซ่งเจิ้นไห่จริงจังกับคำที่บอกว่าอยากให้หลานสาวแต่งงานกับเซียวชุ่น
แต่สามีสวะของเธอมีวิชาแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?