บทที่ 3 เป็นเพราะสวะอย่างนายคนเดียว
เซียวชุ่นนั่งด้านข้างเหยาเสินแล้วพูดเสียงเบา“ขอโทษด้วยที่รัก ผมติดธุระเลยมาสาย”
เหยาเสินยังไม่ทันพูด แม่ยายหลิวหยุนเซียงก็กวาดสายตามองเซียวชุ่นปราดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นเยียบ “มีธุระ?สวะอย่างแกจะไปมีธุระใหญ่โตได้ยังไง?ฉันว่าขึ้นรถเมล์ไม่ทันต่างหาก เซียวชุ่น วันนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของหัวหน้าประจำตระกูล แกอย่าบอกว่าฉันนะว่า แกมามือเปล่า!”
“แม่ครับ...” เซียวชุ่นเห็นแก่หน้าเหยาเสิน เตรียมอธิบายเป็นครั้งสุดท้าย
“อย่ามาเรียกฉันว่าแม่ เป็นเพราะสวะอย่างแก ถ่วงความเจริญของลูกสาวฉัน ถ้าไม่ใช่แก ลูกสาวฉันคงแต่งเข้าบ้านเศรษฐีไปนานแล้ว และฉันก็ไม่ต้องนั่งไกลๆแบบนี้หรอก!?”
หลิวหยุนเซียงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโกรธขึ้ง ชี้เซียวชุ่นแล้วตะเบ็งเสียงเกรี้ยวกราด“เดี๋ยวทำตัวดีๆหน่อย บอกให้ทำอะไรก็ทำตามด้วย อย่าทำให้ฉันขายหน้า ไม่งั้นฉันจะตบให้ตายเลย”
ปากก่นด่าก็แล้ว เธอยังคิดจะง้างมือขึ้นสูงแล้วตบใส่หน้าเซียวชุ่นอย่างจังอีกด้วย
แววตาเซียวชุ่นสว่างและมืดสลับกันไป เพลิงโทสะในใจก็ลุกโชน
เมื่อก่อนต้องทำตามคำสั่งของอาจารย์ ตอนนี้เลยกำหนดเวลาสามปีแล้ว แต่ยังคิดว่าเขาน่ารังแกอีกเหรอ?!
เขาเอื้อมมือคว้าข้อมือที่หมายจะตบหน้าของหลิวหยุนเซียงไว้ อีกฝ่ายจึงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธทันที
“ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหมที่กล้าขวางฉัน”
นัยน์ตาเซียวชุ่นยิ่งเย็นเยียบเพิ่มขึ้น เหยาเสินรีบกู้สถานการณ์เอาไว้“แม่ ที่นี่คนอยู่กันเยอะนะคะ”
“หืม รอฉันกลับไปก่อน แล้วรอดูว่าฉันจะสั่งสอนแกยังไง” หลิวหยุนเซียงด่าทอพร้อมกับจ้องถมึงทึงใส่เซียวชุ่นหลายปราด
เหยาเสินมองเซียวชุ่นปราดหนึ่ง กล่าวอย่างจนปัญญา“คุณแม่กำลังโกรธ นายก็ไม่ต้องพูดแล้ว!”
เสียงเย็นเยียบระคนเหนื่อยล้าของเหยาเสินทำให้เพลิงโกรธในใจเซียวชุ่นพอจะระงับลงได้
หลายปีที่ผ่านมานี้ เหยาเสินก็ไม่ได้มีชีวิตดีไปกว่าเขาเลย
สี่ตระกูลใหญ่ในเมืองเจียงไห่ ได้แก่ตระกูลเจิ้ง ตระกูลซ่ง ตระกูลโอหยาง ตระกูลซือคง และลำดับต่อมาก็จะเป็นตระกูลเหยา ตระกูลซุนเป็นต้น
ถึงแม้ตระกูลเหยาไม่ใช่หนึ่งในอันดับสามของเมืองเจียงไห่ แต่ชื่อเสียงของเหยาเสินก็ลือกระฉ่อนไปทั่วเมืองเจียงไห่ ประธานจากบริษัทต่างๆ และร่วมไปถึงลูกชายหัวหน้าตระกูลซือคง นามว่าซือคงซิงก็เคยขายขนมจีบให้เหยาเสินด้วย
ทว่าสุดท้ายกลับถูกเหยาฉางเหอคลุมถุงชนให้แต่งงานกับเซียวชุ่น ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า ไม่มีความสามารถใดๆทั้งสิ้น
สามปีมานี้ เหยาเสินได้รับความเสียดสี ประชดประชันไม่น้อยกว่าเขา!
“อุ๊ย! หยุนเซียง ลูกเขยสวะบ้านคุณก็มาด้วยเหรอ ได้นำของขวัญมาด้วยหรือเปล่า?”
เซียวชุ่นพึ่งจะหย่อนกายนั่งลง ภรรยาของคุณลุงเหยาเต๋อ นามว่า หลี่ชุนเหลียนก็เดินมาด้วยใบหน้าหยอกเย้า
หลี่ชุนเหลียนแต่งหน้าจัด เครื่องสำอางบนใบหน้าสามารถฝังกลบมดตายได้เลย ปกติมักจะชอบซ้ำเติมและสมน้ำหน้าเหยาเสินอยู่เสมอ
“จะเอามาหรือไม่เอามา มันเกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบ ฉันไม่อยากทะเลาะกับเธอหรอกนะจะบอกให้” หลิวหยุนเซียงมองหลี่ชุนเหลียนปราดหนึ่ง รีบโต้แย้งทันที ซึ่งในใจก็เกิดความคิดอยากตบหน้าเซียวชุ่นที่เป็นเศษสวะอีกครั้ง
“อุ๊ย โมโหมากเลยหรือ แต่มันจะเสียสุขภาพเอานะ ตัวเองหาลูกเขยสวะเองแท้ๆ แล้วจะโทษใครล่ะ?”
หลี่ชุนเหลียนมองหลิวหยุนเซียงด้วยแววตาเยาะเย้ย น้ำเสียงสูงแหลม
“พอแล้ว วันนี้เป็นวันเกิดคุณพ่ออายุครบเจ็ดสิบปี คุณสำรวมพฤติกรรมด้วย”
ผู้ชายข้างกายหลี่ชุนเหลียน ซึ่งมีอายุประมาณสี่สิบห้าสิบปีเอ่ยปากพูด ซึ่งเป็นคุณลุงให้เหยาเสิน ชื่อเหยาเต๋อ มีคิ้วโค้งดั่งกระบี่ ท่าทางดุดัน ให้ความรู้สึกเคี่ยวเข็ญมาก
เขาเอ่ยปาก หลี่ชุนเหลียนก็หุบปากแบบไม่เต็มใจ สุดท้ายก็ใช้สายตาดูแคลนมองไปยังเซียวชุ่นปราดหนึ่ง
เหยาเต๋อถลึงตาใส่เซียวชุ่นปราดหนึ่ง สีหน้าก็รังเกียจเดียดฉันท์มากเช่นกัน เอ่ยว่า“มาสายก็ช่างปะไร สนใจคนที่มีหรือไม่มีก็ได้ทำไม?”
ใบหน้าเซียวชุ่นไร้อารมณ์ ไม่อยากใส่ใจถ้อยคำเสียดสีของคนพรรค์นี้
เวลาเดียวกัน เหยาเจิ้นชูที่นั่งในตำแหน่งหลัก เอ่ยเสียงดังลั่นว่า“ขอบคุณแขกทุกท่านที่ให้มาร่วมงานครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง ผมขอขอบคุณมิตรสหายทุกท่านที่มาร่วมอวยพรวันเกิดของผม!”
กล่าวจบ เขาลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ยกแก้วเบียร์ในมือขึ้น
บรรดาแขกเหรื่อบนโต๊ะลุกขึ้นยืน จากนั้นก็มีคำอวยพรคำแสดงความยินดีให้ได้ยินไม่หยุดหย่อน
ซุนกั๋วลี่ก็ลุกขึ้นยืนด้วย ยิ้มเอ่ยว่า“นายท่านตระกูลเหยา พวกเราใกล้จะเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว วันหน้าก็โปรดชี้แนะด้วย”
เซียวชุ่นนั่งด้านข้าง ได้ยินคำว่าเป็นทองแผ่นเดียวกันพลันขมวดคิ้วแน่นเป็นปม
เมื่อสักครู่แม่ยายหลิวหยุนเซียงให้เขาทำตามคำสั่ง หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?
เขาอดมองไปยังเหยาเสินข้างกายไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับหลบสายตาอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก
ในงานมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อว่าหยาวฮั่น มีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา คิ้วกระบี่งดงาม
เขาคือหลานชายแท้ๆของเหยาเจิ้นชู พี่ชายฝ่ายแม่ของเหยาเสิน และเป็นตัวเลือกในการสืบทอดวงศ์ตระกูลของตระกูลเหยา เป็นที่โปรดปรานที่สุด
เวลานี้ในมือหยาวฮั่วถือกล่องหยกที่แกะสลักอย่างประณีต ซึ่งมีลวดลายมังกรโบยบินคู่กับหงส์ เขาลุกขึ้นเอ่ยว่า “คุณปู่ครับ อันนี้คือของขวัญที่ผมเตรียมให้ท่านครับ”
ระหว่างที่พูด ใบหน้าเขาเจือไปด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจในตัวเองสูง แลดูสง่างามยิ่ง
เห็นคนที่ลุกขึ้นคือหยาวฮั่ว เหยาเจิ้นชูก็มีสีหน้าอ่อนโยน ยิ้มเอ่ยว่า“หลานที่แสนดีเตรียมของขวัญอะไรให้ปู่นะ ปู่อยากรู้จังเลย?”
หยาวฮั่วเปิดกล่องหยกไปพลาง พูดไปพลาง“ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไรครับ เป็นแค่โสมป่าร้อยปีเองครับ”
ทุกคนชะเง้อชะโงกมองกันใหญ่ กระทั่งโอหยางเจิ้งที่กำลังหลับตาก็เบิกตากว้างทันที
โสมป่าร้อยปียังไม่ถือว่าล้ำค่าอีกเหรอ?
พูดเหมือนกับมอบผัดกาดขาวอย่างไรอย่างนั้น!
ในกล่องหยกเขียวชอุ่มที่แกะสลักอย่างประณีต ได้วางโสมป่าขาวสะอาดตา คล้ายกับตาเฒ่าตัวจิ๋ว ทว่ามีแขนสั้นและยาวไม่สม่ำเสมอ หยาบบ้าง บางบ้าง วินาทีที่เปิดกล่อง กลิ่นหอมของโสมก็ตลบอบอวลออกมา
“เป็นโสมร้อยปีโดยแท้”
“มีมูลค่ายากจะประมาณ ยอดเยี่ยมไปเลย”
“สมกับที่หยาวฮั่นเป็นทายาทของตระกูลเหยา ใจปล้ำจริงๆ”
ได้ยินคนอื่นพูดจาประจบประแจง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งบานสะพรั่งกว่าเดิม
หยาวฮั่นมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงว่า ของขวัญของตนล้ำค่าที่สุด สำหรับคนแก่แล้วก็แค่หวังให้ตัวเองสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาวไม่ใช่เหรอ?
โอหยางเจิ้งมองดูสองปราด ก่อนจะพยักหน้ากล่าว“โสมบำรุงอวัยวะภายในทั้งห้า ทำให้มีชีวิตชีวา ร่าเริง รักษาอาการหวาดผวา ขับของเสีย ถ้ากินต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้ตัวเบาอายุยืน เป็นโสมร้อยปีจริงๆ น้องเหยามีลูกหลานใส่ใจเช่นนี้ ช่างโชคดีเหลือเกิน”
เหยาเจิ้นชูยิ้มจนปิดปากไม่ได้“ฮ่าๆๆ ที่ไหน ที่ไหน ลูกหลานตระกูลโอหยางถึงจะเรียกว่ามังกรหงส์ในบรรดาคน หลานชายของฉันพอจะเรียกได้ว่าโดดเด่น แค่เผยความฉลาดนิดเดียวเอง”
เหยาเสินมองไปยังเหยาเจิ้นชู แล้วเผยรอยยิ้มขึ้น“คุณปู่รองค่ะ วันนี้หนูเตรียมของขวัญมาให้ด้วยค่ะ”
“ออ? ของขวัญอะไร?”
เหยาเจิ้นชูพูดด้วยความสนใจ เผยรอยยิ้มโอบเอื้ออารีขึ้น
จะว่าไปก็แปลก ปกติเพราะมีเซียวชุ่นเป็นสามี เหยาเจิ้นชูมักจะมีท่าทีไม่แยแสเหยาเสิน ทว่าวันนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบองศา
เหยาเสินใช้สองมือยื่นกล่องขนาดกะทัดรัด ซึ่งทำมาจากไม้จันทร์ขาวให้เหยาเจิ้นชู
“หนูไปได้ของดีมาจากตลาดโบราณวัตถุหลงเจียงค่ะ อันที่คือขวดสำหรับใส่ยาดม เป็นสินค้าขึ้นชื่อของตระกูลหลี่ ซึ่งจะใช้หยกทำเป็นลายดอกบัวกับดอกวานิลลาค่ะ”
ระหว่างที่พูด เหยาเจิ้นชูก็เปิดกล่องไม้จันทร์ขาว
จากนั้นก็เห็นขวดใส่ยาดมขนาดเท่าฝ่ามือ ซึ่งตัวขวดโปร่งใส เขียววาววับ สวยงามดั่งน้ำแข็งบริสุทธิ์ สองข้างขวดสลักเป็นลายดอกวานิลลา ตรงกลางคือดอกบัวที่เบ่งบาน แลดูเป็นทัศนียภาพที่งดงามสุดแสน
“ดี ดี ดี มีความตั้งใจมากแล้ว”
เหยาเจิ้นชูยิ้มตาหยี ถือขวดใส่ยาดมแบบไม่ยอมปล่อย
จากนั้นผู้คนบนโต๊ะก็ทยอยกันมอบของขวัญล้ำค่าไม่ขาดสาย อาทิเช่น เจ้าของกิจการด้านอสังหาทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างตระกูลหนิวได้มอบของขวัญจากชายแดนเตียนหนานโดยของขวัญที่มอบคืองานแกะสลักหยกงาช้างและผู้นำธุรกิจด้านบันเทิงอย่างตระกูลโฮ๋ก็ได้มอบของหายากเป็นเครื่องเขินโบราณในยุคกลางจากยุโรป ของขวัญทุกชิ้นล้วนละลานตา ทว่าเยอะจนชวนให้ตาลายยิ่ง
เหยาเสินกัดริมฝีปากแดงเบาๆ มองไปยังยังเซียวชุ่นแล้วเอ่ย“นายซื้อของขวัญอะไรมาเหรอ?”