บทที่ 4 ความนัย
“จ้าวเหลย คุณรีบสั่งให้พวกเขาหยุด พวกคนจะทำให้เขาตายได้นะ” หลงเหม่ยซินดึงจ้าวเหลยเอาไว้ และตะโกนเสียงดัง
“ฮึ ที่ฉันต้องการก็คือตีมันให้ตาย......”
เงาร่างสายหนึ่งลอยเข้ามา ชนจ้าวเหลยล้มหงายลงไปบนพื้น เขาด่าพลางผลักร่างของมือนักเลงที่ทับอยู่บนตัวของเขา พบว่าหวางเย๋กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ที่ด้านหน้าเขา ก็ต้องชะงักไปทันที
แล้วหันไปดู มืออันธพาลทั้งยี่สิบคนนั้น ล้วนนอนกองอยู่บนพื้น เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
หวางเย๋ในฐานะผู้นำองค์กรฮั๋ว นอกจากความเฉียบแหลมทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีร่างกายที่แข็งแรงกำยำ เขาได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่แทบจะไร้เทียมทานกับอาจารย์มาตั้งแต่วัยเด็ก อย่าว่าแต่พวกมืออันธพาลไม่เอาไหนยี่สิบกว่าคนนี้เลย ต่อให้เป็นทหารรับจ้างระดับต้น ๆ ของโลกถืออาวุธปิดล้อมหวางเย๋เอาไว้ ล้วนต้องถูกฆ่าในพริบตา
“แม่ง จีบเมียฉันต่อหน้าฉัน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?”
“ก่อนหน้านั้นฉันไม่สนใจแก คิดว่าฉันรังแกง่ายจริง ๆ หรือไง?”
“พาพวกมืออันธพาลมาฆ่าฉันใช่ไหม?”
......
หวางเย๋พูดหนึ่งประโยค ก็กดศีรษะจ้าวเหลยโขกพื้นหนึ่งครั้ง
หลงเหม่ยซินมองดูตาค้าง คิดไม่ถึงว่าหวางเย๋ที่ดูเชื่อฟังเมื่ออยู่ต่อหน้าตัวเอง ปล่อยให้ทุบตีด่าว่าตามอำเภอใจ จะมีฝีมือการต่อสู้ที่ร้ายกาจแบบนี้ ยี่สิบต่อหนึ่ง จัดการได้ภายในไม่กี่วินาที นี่.....
“ฉันจะบอกนายให้นะ สุนัขอย่างแก ฉันแค่คนเดี๋ยวสามารถฆ่าพวกแกทั้งฝูงได้ นักฆ่าที่ฉันเคยเจอมาเยอะกว่าข้าวที่แกกินเสียอีก แค่ฉันขยับนิ้วก็สามารถขยี้แกให้ตายได้” เท้าข้างหนึ่งของหวางเย๋เหยียบอยู่บนศีรษะของจ้าวเหลยพลางกล่าว
หวางเย๋ในเวลานี้ราวกับเทพลงมาจุติ รัศมีบนร่างกายนั้นแข็งแกร่งไม่มีที่เปรียบ
หลงเหม่ยซินมองหวางเย๋อย่างไม่อยากจะเชื่อ? นี่...นี่ใช่สามีไม่เอาไหนของตัวเองคนนั้นหรือเปล่า?
หลังจากที่ชะงักไปชั่งขณะ หลงเหม่ยวินถึงได้สติกลับคืนมา จึงรับดึงหวางเย๋เอาไว้ “หวางเย๋ เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลเจ้าเชียวนะ จะตีอีกไม่ได้แล้ว”
“อ้อ ฟังคุณภรรยา ไม่ตีแล้ว”
หวางเย๋ยิ้มแฉ่งมองหลงเหม่ยซิน เขาปล่อยมือ ศีรษะของจ้าวเหลยกระแทกกับพื้นอีกครั้ง ตาทั้งสองข้างเหลือกขึ้น และสลบไปทันที
เห็นหวางเย๋ยังคงเชื่อฟังแบบนี้ หลงเหม่ยซินรู้สึกหวานชื่นอยู่ภายในใจ
หวางเย๋ลุกขึ้น กวาดสายตามองผู้คนที่อยู่รอบ ๆ แวบหนึ่ง “ต่อไปใครกล้ามาจีบเมียฉันละก็ ต่อให้เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ ฉันก็จะอัดให้น่วม”
หลังจากที่หวางเย๋ได้ประกาศศักดาความเป็นเจ้าของเสร็จ ก็วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามา ช่วยเหม่ยซินเปิดประตูรถ “คุณภรรยา กลับบ้านกัน”
หลังจากที่หลงเหม่ยซินขึ้นรถ หวางเย๋กำลังจะไปขี่มอเตอร์ไซค์ ก็ได้ถูกหลงเหม่ยซินเรียกเอาไว้ และบอกว่ากลับบ้านด้วยกัน
ในสามเดือนมานี้ นี่คือครั้งแรกที่หลงเหม่ยซินเรียกให้หวางเย๋ขึ้นรถของเธอ
หลังจากที่หวางเย๋ชะงักไปชั่วขณะ ก็ได้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ดูเหมือนว่า รัศมีความอันธพาลของตัวเองจะมีประโยชน์ไม่น้อย ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก ก็คงไม่ทนให้คนอื่นว่าไม่เอาไหนมาตั้งสามเดือนหรอก
ระหว่างทาง หวางเย๋เป็นฝ่ายสนทนากับหลงเหม่ยซินก่อน หลงเหมยซินกลับเงียบไปอีกครั้ง
“คุณ...คุณพ่อของฉันเป็นคนยังไงกันแน่? ทำไมทั้งคุณและคุณปู่ต่างก็ไม่บอกฉัน?”
หลังจากที่เงียบอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดหลงเหม่ยซินก็เอ่ยขึ้น
เธอรู้ว่าหวางเย๋รู้จักคุณพ่อของตัวเอง นี่คงเป็นหนทางเดียวที่เธอจะทำความเข้าใจคุณพ่อของตัวเองแล้ว
หวางเย๋ถอนหายใจแรง ๆ
ช่างเถอะ บุญคุณความแค้นบางอย่าง ถูกกำหนดให้ตัวเองเป็นคนสะสางแทนอาจารย์ แทนที่จะให้เธอถูกปิดหูปิดตา สู้ให้เธอค่อย ๆ ยอมรับมันจะดีกว่า
“ถ้าหากผมบอกว่า หลงอ้าวเทียนหน้าเนื้อใจเสือ ในตอนนั้นอาจารย์เกือบต้องตายในเงื้อมมือของเขา คุณจะเชื่อไหม?”
หลงเหม่ยซินตะลึงงัน เธอเหยียบเบรกรถอย่างกะทันหัน เกือบจะถูกเหวี่ยงออกไปนอกรถ
“คุณว่ายังไงนะ? คุณปู่ท่าน......”
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน คุณปู่ดีแบบนั้น จะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง?”
“หลายปีมานี้เขาดีกับฉันยิ่งกว่าหลานแท้ ๆ เสียอีก จะเป็นไปได้ยังไง?”
“คุณปู่เคยบอกว่า ตอนนั้นได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคุณพ่อ จะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน คุณบอกฉันสิว่า ในนี้จะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ ใช่ไหม?”
หลงเหม่ยซินราวกับได้บ้าไปแล้ว เธอกระชากหวางเย๋ ร้องโวยวายขึ้นมาเสียงดัง หยาดน้ำตาไหลลงมาตามแก้มขาวผุดผ่องของเธอ
หวางเย๋มองดูหลงเหม่ยซินด้วยความเจ็บปวดใจ “ดราก้อนโกลด์กรุ๊ป เมื่อก่อนคุณพ่อของคุณเป็นคนก่อตั้งขึ้น จุดนี้ คุณสามารถไปตรวจสอบได้ ดราก้อนโกลด์กรุ๊ปพึ่งจะขยายตัวขึ้นมา ก็เกิดเรื่องขึ้นกับคุณพ่อของคุณ คุณก็สามารถไปตรวจสอบดูได้”
หลงเหม่ยซินหอบหายใจอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนไม่รู้ว่าจะเลือกยังไงดี
รถที่ถูกขวางเอาไว้ที่ด้านหลัง ได้บีบแตรอย่างดุเดือด
หวางเย๋ลงจากรถ และขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับแทนหลงเหม่ยซิน แล้วสตาร์ตเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง
หลังจากที่กลับถึงบ้าน หลงเหม่ยซินขังตัวเองไว้ในห้อง นั่งอยู่บนเตียงราวกับไร้จิตวิญญาณ แม้แต่อาคารค่ำก็ไม่ทาน
เช้าวันถัดมา หวังเย๋พึ่งจะจัดโต๊ะอาหารเสร็จ หลงเหม่ยซินก็ได้เดินออกมาจากห้องนอน
“หวางเย๋ ฉันคิดดูแล้ว ระหว่างคุณปู่กับคุณพ่อ ก่อนหน้านี้จะต้องมีการเข้าใจผิดแน่ ตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่แล้ว ฉันหวังว่าเรื่องนี้จะจบลงเพียงแค่นี้ หวังว่าต่อไปคุณจะไม่เคียดแค้นคุณปู่มากขนาดนั้นอีก”
“เขาเลี้ยงดูฉันมายี่สิบปี ฉันจะนั่งมองคุณทำร้ายคุณปู่เฉย ๆ ไม่ได้ หลายปีมานี้ คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่แท้ ๆ และรู้ว่าฉันอยู่ที่บ้านตระกูลหลง แต่เขากลับไม่กลับมาดูฉันเลย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รักฉันเลยสักนิด!”
“ฉันไม่มีทางที่จะทำเพื่อเขา แล้วทำให้คุณปู่ต้องเสียใจ”
เมื่อฟังคำพูดเหล่านี้จบ สายตาอันอ่อนโยนของหวางเย๋ ก็เปลี่ยนเป็นเฉียบคมอย่างผิดปกติในชั่วพริบตา และจ้องมองหลงเหม่ยซินตาเขม็ง