บทที่ 12 ยุติความขัดแย้ง
เข้าไปที่ห้องโถง บรรยากาศกดดันอย่างสุดขีด ผู้นำตระกูลหลิวหลิวฉงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความโมโหและได้พาหลิวตงที่ถูกอัดจนไม่เหลือแววของความเป็นคนมาด้วย ส่วนหลงอ้าวเทียนขมวดคิ้ว ท่าทางปวดหัวสุดขีด
“คุณพ่อครับ ไอ้สารเลวหวางเย๋มาแล้ว คุณพ่อต้องแก้แค้นให้ผมนะ” สายตาที่แหลมคมของหลิวตงมองเห็นหวางเย๋ก่อนเป็นคนแรก เขาสัมผัสได้ถึงสายตาอันเย็นยะเยือกนั่น ร่างกายชะงักและรีบหลบไปที่ด้านหลังของหลิวฉงพลางตะโกนออกมา
หลิวฉงเห็นลูกชายของตัวเองกลัวจนมีสภาพแบบนี้ ก็รู้สึกสงสัยในตังของหวางเย๋เล็กน้อย ทั่วทั้งเมืองจินห่ายต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนไม่เอาไหนที่มีชื่อเสียงแห่งตระกูลหลง แต่ทำไมตอนนี้ดูแล้วเหมือนไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย?
แม้แต่เขาเองยังแทบทนสายตาอันทรงพลังของหวางเย๋ไม่ได้ ประหลาดใจอยู่ไม่นานก็กลับเป็นปกติ เขาถลึงตาใส่หวางเย๋ และรีบหันไปกล่าวกับหลงอ้าวเทียน: “พี่อ้าวเทียน ตอนนี้ตัวก่อเหตุได้กลับมาแล้ว ผมขอเชิญให้คุณช่วยให้ความยุติธรรมด้วย”
หลงอ้าวเทียนหรี่ตาเล็กน้อย เขารู้ว่าตาเฒ่าหลิวฉงกำลังดูท่าทีของเขาอยู่ ถ้าหากจัดการได้ไม่ดีละก็ ทั้งสองตระกูลก็จะกลายเป็นศัตรูอย่างเป็นทางการ
“หวางเย๋ นายกลับมาพอดีเลย อยู่ต่อหน้าของฉันและคุณลุงหลิว นายช่วยอธิบายหน่อยว่าทำไมต้องทำร้ายหลิวตง?” หลงอ้าวเทียนซักถามด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง ส่งสายตาที่แฝงไปด้วยความนัยให้กับหวางเย๋
ความหมายนั้นชัดเจนมาก ให้หวางเย๋ยอมรับผิดและขอโทษเสีย จากนั้นค่อยไถ่โทษตามสีหน้าของหลิวตง เรื่องนี้ถือว่าผ่านไป
แต่หวางเย๋เป็นใคร?
ท่านชายแห่งองค์กรฮั๋ว ไม่มีคำว่ายอมก้มหัวในพจนานุกรมมาก่อน
“คุณปู่ ก่อนที่ผมจะรับปาก ผมอยากจะถามท่านหนึ่งประโยค คำสั่งสอนประจำตระกูลหลงของเราคืออะไร?” หวางเย๋ทำมือคารวะ หรี่ตายิ้มพลางกล่าว
หลงอ้าวเทียนชะงักงัน ในเวลาแบบนี้หวางเย๋พูดถึงเรื่องนี้ทำไม?
“เหมือนว่าคุณปู่จะลืมไปบ้างแล้ว ไม่เป็นไรผมจำได้ เป็นคนตระกูลหลงเมื่อพบเห็นความไม่เป็นธรรมจะต้องยื่นมือเข้าช่วย นี่ถึงเป็นหลักการของการเป็นคนตระกูลหลง” หวางเย๋เอ่ยตอบขึ้นมาโดยตรง
จากนั้นแววตาของเขาก็พลันเปลี่ยนไป สายตาอันแหลมคมจับจ้องไปที่หลิวตงที่หลบอยู่ด้านหลังหลิวฉง “วันนี้ผมพบเห็นหลิวตงเสี้ยมให้ลูกน้องของตัวเองทุบตีชายชราร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ แถมยังฉุดหญิงสาวชาวบ้าน ผมจึงต้องเข้าไปขัดขวางเป็นธรรมดา ในตอนแรกนั้นผมไม่ได้ต่อยตีเขา พวกแค่พูดดี ๆ เกลี้ยกล่อมให้เขาพาพวกจากไป แต่ใครจะรู้......”
หวางเย๋จงใจหยุดไปชั่วขณะ ใช้หางตามองดูผู้นำตระกูลทั้งสองท่าน พบว่าพวกเขาล้วนมีสีหน้าบึ้งตึง ยิ้มอย่างเย้ยหยันอยู่ภายในใจและกล่าวต่อ: “แต่ว่าเมื่อหลิวตงเห็นผม ไม่เพียงพูดสบประมาทผม และยังพูดลวนลามไปถึงเหม่ยซิน ที่สำคัญก็คือเขายังสั่งให้ลูกน้องเป็นคนลงมือก่อน ขอถามคุณปู่ผมตอบโต้กลับผิดตรงไหน?”
แม้ว่าตอนนี้จะเปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของหลงอ้าวเทียนไม่ได้ แต่หวางเย๋คิดว่าทำให้เขารู้สึกขยะแขยงก็พอได้
“หวาง...หวางเย๋นายทำถูกมาก!” หลงอ้าวเทียนยิ้มอย่างประหม่าพลางกล่าว
ถ้าหากหลงอ้าวเทียนอ่านความคิดของหวางเย๋ไม่ออก เช่นนั้นเขาก็คงไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำตระกูลหลง หวางเย๋โยนลูกหนังให้เขา ถ้าหากเขาบอกว่าไม่ใช่ละก็ เช่นนั้นก็เท่ากับเขาเห็นว่าคำสั่งสอนของบรรพบุรุษตระกูลหลงนั้นเป็นเพียงลมตด นั่นมันไม่ใช่ท่าทีที่ผู้นำตระกูลหลงอย่างเขาควรจะมี
ส่วนถ้าบอกว่าใช่ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าการกระทำที่กดขี่ข่มเหงผู้อื่นของหลิวตงนั้นสมเหตุสมผล
แม้ว่าหลงอ้าวเทียนจะรู้ว่านี่คือหลุมพรางที่หวางเย๋ขุดไว้ให้ตัวเอง แต่เขาจะไม่โดดก็ไม่ได้ ของสิ่งนั้นยังหาไม่พบ คนคนนั้นยังไม่ได้โผล่หัวออกมา หวางเย๋จะเป็นอะไรไปไม่ได้ และยิ่งจะให้ตระกูลอื่น ๆ รู้ฐานะของหวางเย๋ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“หลานชายหลิว ยิ่งที่หวางเย๋พูดนั้นจริงหรือเปล่า?” หลงอ้าวเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่สนิทสนม
สีหน้าของหลิวฉงนั้นบึ้งตึงเป็นอย่างมาก เขาหันหลังไปถลึงตาใส่หลิวตง พลางกล่าวตำหนิ: “คนอื่นถามแกอยู่นะ เป็นใบ้หรือไง?”
ก่อนที่จะมานั้นหลิวฉงก็ถูกทำให้โมโหจนเลอะเลือน หัวร้อนขึ้นมาเลยพาลูกชายมาถามหาความผิดที่บ้านตระกูลหลง แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบนี้ ทำให้เขาหน้าเป็นอย่างมาก
หลิวตงไม่กล้าที่จะมองหน้าคุณพ่อของตัวเอง เขาก้มหน้าลง และกล่าวเสียงเบา: “เป็นแบบนั้นจริง แต่หวางเย๋ของพวกคุณลงมือหนักเกินไป ตอนนี้มือของผมยังเจ็บอยู่เลย!”
หลงอ้าวเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คำพูดนี้ของหลานชายหลิวก็มีเหตุผล เหล่าหลิวเอาแบบนี้ดีไหม ที่ดินตระกูลหลงของเราที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองให้ตระกูลหลิวของพวกนายในราคาเดิม แบบนี้ถือว่าตระกูลหลงของพวกเราขอโทษตระกูลหลิวของพวกนาย ฉันจะต้องอบรมสั่งสอนหวางเย๋อย่างเคร่งครัดแน่ ไม่ให้เขาอารมณ์ร้อนแบบนี้อีก”
หลิวฉงเองก็เข้าใจความหมายของหลงอ้าวเทียน จะให้ขอโทษคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ที่ดินผืนนี้ถือว่าชดใช้ค่าเสียหาย
แม้ว่าในใจเขาจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ แต่รากฐานของตระกูลหลิวในตอนนี้ยังด้อยกว่าตระกูลหลงเล็กน้อย ยังไม่ถึงเวลาที่จะฉีกหน้ากัน แต่ภายในใจของเขานั้นได้สั่งสมความขุ่นเคืองเอาไว้
เรื่องนี้เขาหลิวฉงไม่มีทางจะให้มันจบแบบนี้หรอก!
“ได้ งั้นฉันเหล่าหลิวต้องขอบคุณพี่อ้าวเทียนด้วยแล้วกัน” หลิวฉงฝืนยิ้มกล่าว เขามองหวางเย๋ที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าแวบหนึ่ง ทำเสียงหึอย่างเย็นชาและพาพวกจากไป
รอหลังจากที่คนตระกูลหลิวกลับไปแล้ว หลงเหม่ยซินโกรธมากเมื่อเห็นท่าทางไม่เห็นด้วยของหวางเย๋ เข้าไปเตะเขาหนึ่งครั้ง และกล่าวอย่างโมโห: “คุณปู่เพื่อช่วยคุณ ไม่เพียงมอบที่ดินผืนหนึ่งออกไป จากนี้เป็นต้นไปยังได้ผูกปมกับตระกูลหลิวอีกด้วย คุณไม่รู้จักกล่าวขอบคุณบ้างเลยหรือไง?”
“เหม่ยซินช่างเถอะ ความจริงแล้วหวางเย๋ก้ไม่ได้ทำผิดอะไร หลิวตงลูกจองล้างจองผลาญของตระกูลหลิวคนนี้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่มานานแล้ว สั่งสอนเขาบ้างก็สมควรแล้ว ฉันคิดว่าหลิวฉงเองก็ไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น เรื่องนี้ให้มันจบแค่นี้” หลงอ้าวเทียนกล่าวด้วยท่าทางเหมือนทูตแห่งความสันติ
หวางเย๋แอบหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ภายในใจ จิ้งจอกเฒ่าคนนี้ดูเหมือนว่าจะจัดการยากอยู่เหมือนกัน
ระดับการแสดงนั้นแม้แต่เขาเองยังสู้ไม่ได้ แทบจะบรรลุขั้นปรมาจารย์แล้ว!
เมื่อเห็นหวางเย๋ยังคงมีท่าทางไม่สนใจใด ๆ เหมือนเดิม หลงเหม่ยซินก็หันหลังเดินออกไปจากห้องโถง ความเหน็บหนาวได้ปรากฏขึ้นมาในดวงตาของหวางเย๋ทันที หลังจากที่สบตากับหลงอ้าวเทียนอยู่สักพัก ก็หันหลังตามออกไป
ตอนที่มาถึงประตู หลงเหม่ยซินกล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย: “หวางเย๋ ฉันไม่คาดหวังอะไรจากคุณมาก แต่ต่อไปโปรดอย่าสร้างปัญหาให้ตระกูลหลงอีก ฉันไม่อยากให้คุณปู่โดนพวกลุงใหญ่ว่าเข้าข้างพวกเราเกินไป”
“นี่เป็นสิ่งที่เขาควรจะทำ” หวางเย๋สายตาเย็นชา เขากล่าวเสียงเบา