6. สาวใช้ คู่กาย
หลังจากอ๋องแปดเอ่ยคำประหลาดออกมา ทั้งโต๊ะก็มึนงง มีเพียงผู้ที่มาจากยุคอื่นเท่านั้นที่นั่งนิ่ง กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เพราะประโยคนี้ท่านอ๋องไม่น่าจะพูดออกมาได้ หากมิใช่ตอนที่นางรักษาเขา อีกฝ่ายได้ยินมันทุกคำ
“อีกยุค? หมายถึงสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” หานจิ่งเอ่ยถามแทนสหายที่มีสีหน้าอยากรู้ไม่ต่างกัน
“ไม่มีสิ่งใดหรอก ข้าก็พูดไปเรื่อย แยกย้ายกันไปพักเถอะ ส่วนเจ้าไปนอนที่ห้องข้า เผื่อมีงานให้ทำ” ใบหน้าคมคายของอ๋องแปดหันมาทางเพ่ยหลัน นางยกมือขึ้นใช้นิ้วชี้หน้าตนเอง เป็นคำถามที่ไม่ต้องเอ่ย คำตอบที่ได้คือการพยักหน้าของท่านอ๋อง ทำเอาทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะถึงกับเป็นงง เพราะผู้เป็นนายมิเคยให้สตรีเข้าห้อง
“ไปเตรียมที่นอนมาให้เรียบร้อย อย่าให้ข้าต้องรอนาน เจ้าสองคนตามข้าไปด้วย” เอ่ยจบร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน
ทว่าสายตาคมนี้ยังคงเหลือบมองมายังสาวใช้ตัวน้อย ที่เอาแต่ย่นคิ้วขมวดเข้าหากัน
“รีบไปสิ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาทางเพ่ยหลัน นางจึงรีบย่อตัวลงยกมือประสานกันแล้วออกจากห้องนี้
ผ่านไปหนึ่งเค่อ [15นาที] ร่างเล็กของสาวใช้ตัวน้อยหยุดอยู่ที่กลางห้องของผู้เป็นนาย “นี่เขาจะให้เรานอนเฝ้าจริงๆ เหรอ คิดอะไรของเขาเนี่ยะ” บ่นในใจพร้อมกับเหลือบตามองเล็กน้อย ยามนี้อ๋องแปดกำลังหารือกับคนสนิทเรื่องราชสาส์นที่มีพิษเคลือบเอาไว้
“มานั่งนี่” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกผู้ที่ยืนนิ่ง คิ้วสวยผูกกันเป็นปมพร้อมกับถอนหายใจ แต่ก็จำต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายมิอาจขัดได้แม้เพียงนิด
“คืนนี้นอนพื้นไปก่อน วันพรุ่งข้าจะให้คนเอาเตียงเล็กมาเสริม มีสิ่งใดสงสัยหรือไม่”
“ข้า..เอ่อ หม่อมฉันสามารถพูดได้หรือเพคะ” ถามกลับพร้อมกับเลิกคิ้วใส่ท่าทางกวน
“หึ! เหมือนเจ้าจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าต่อให้กล่าวสิ่งใดก็ไม่เป็นผล เช่นนั้นก็เก็บเสียงไว้เถอะ” คนรู้ทันเอ่ย
เพ่ยหลันมองอีกฝ่ายพร้อบกับหายใจแรง ในใจนั้นขุ่นมัวมิน้อย ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรม จนกระทั่งคนสนิทออกจากห้องไป สาวใช้ตัวน้อยจึงจัดการปูผ้าที่มุมห้อง แต่กลับถูกท่านอ๋องลากมาที่หน้าเตียงแทน
“นอนตรงนี้ ข้าจะได้เรียกใช้สะดวกขึ้น”
เพ่ยหลันมองท่านอ๋องด้วยหางตา พร้อมกับยู่หน้าใส่มิได้มีท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด โจวสุ่ยส่ายหัวให้กับการกระทำของนาง พร้อมกับยื่นมือเรียวยกขึ้นยีหัวจนยุ่งเหยิง
“นอนได้แล้ว” บอกแล้วก็เดินมานั่งลงที่เตียงกว้าง ริมฝีปากหนายกยิ้มเล็กน้อย ซึ่งสาวใช้ทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้แล้ว “ดูท่าคงจะเหนื่อยมาก ข้าจำต้องเก็บเจ้าไว้ใกล้ตัวเพ่ยหลัน ชีวิตเจ้ายามนี้อาจมิปลอดภัยนัก” ที่เขาคิดเช่นนี้ก็เพราะเกรงว่าจะมีคนเอาชีวิตนาง หากรู้ว่าผู้ใดที่รักษาเขาจนหายดี
และอีกอย่างที่คนของเขาสืบรู้มา มันคือเบื้องหลังของเพ่ยหลันต่างหาก นางคือคนของอ๋องเก้า ฝ่ายที่คอยขัดขวางทำทุกอย่างเพื่อมิให้เขาฟื้นขึ้นมาอีก สาเหตุที่หยางลู่หายไปนานในตอนที่เขารักษาตัว เป็นเพราะถูกคนของพระเชษฐาและอนุชาสกัดกั้นเอาไว้ แต่เหตุใดเล่านางถึงช่วยรักษาและดูแลเขาอย่างดี แทนที่จะลงมือในยามที่เขามิได้สติและไม่มีผู้ใดอารักขา อ๋องแปดจึงพยายามปกป้องผู้มีพระคุณของตน
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ก่อนนั้นทำทุกอย่างเพื่อจางเหริน แต่ยามนี้กลับมาช่วยชีวิตข้า หรือเจ้าจะมิใช่เพ่ยหลันคนเก่า แต่มาจากยุคอื่นเช่นที่เอ่ยไว้จริงๆ” อ๋องหนุ่มเอ่ยเสียงเบา เขานั่งหย่อนขามองสาวใช้ตัวน้อยที่น่าจะหลับไปแล้ว บนใบหน้าก็ยังคงมีจุดขาวแต้มอยู่ประปรายเช่นทุกวัน
“คนเราดูแค่หน้าตาคงมิได้สินะ ข้าหวังให้เจ้ามิใช่เพ่ยหลันคนเก่า และเป็นผู้มาเกิดใหม่ในร่างนี้จริงๆ” ถ้อยคำของโจวสุ่ยแม้จะแผ่วเบา แต่ผู้ที่นอนหันหลังก็ยังได้ยิน เพียงแค่มิเอ่ยตอบสิ่งใดก็เท่านั้น
“เพ่ยหลันเคยเป็นสายให้ท่านอ๋ององค์อื่นงั้นเหรอ มิน่าหยางลู่ถึงได้ดูไม่ไว้ใจเราเลย คงรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่พูดสินะ” ผู้ที่ถูกมองว่าหลับไปแล้วนึกในใจ สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปจริงๆ
จากวันที่ลู่ซิงเกิดใหม่ในร่างของเพ่ยหลัน ก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว นางยังคงนอนอยู่ในห้องบรรทมของท่านอ๋องทุกคืนตั้งแต่เขาฟื้นขึ้นมาเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือใบหน้าที่เคยมีตุ่มแดง กลับเลือนหายหมดสิ้นมิมีสิ่งน่ารังเกียจปะปนอย่างเคย
แก้มเนียนใสอมชมพูระเรื่อ ริมฝีปากอิ่มสีแดงส้มมิต้องแต่งเติมสีชาดให้เปลือง ดวงตากลมโตแพขนตายาวงอนเหมือนกวางน้อยก็มิปาน ความงามของสตรีวัยย่างสิบแปดเผยออกมาจนบ่าวไพร่หนุ่มในจวนพากันแอบมอง เป็นเหตุให้ท่านอ๋องรู้สึกหงุดหงิดใจมิน้อย พักหลังจึงสั่งให้เพ่ยหลันติดตามเขาไปทุกแห่งมิเว้นแม้แต่เข้าวังเช่นวันนี้ เป็นเหตุให้สตรีตัวน้อยมีใบหน้าบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไม คิดว่าเจ้าอยากจะเห็นความรุ่งเรืองในยุคนี้เสียอีก มิชอบหรือ น้อยคนนักนะจะได้เข้ามาในวัง” เสียงทุ้มเอ่ยกับสาวใช้ของตน ซึ่งยามนี้นั่งอยู่ในสวน โดยมีหานจิ่งคอยเฝ้าประกบมิห่าง ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
“ท่านอ๋องก็ทราบว่าเพ่ยหลันมารยาทมิดีนัก จะพามาด้วยทำไมกันเพคะ หากหม่อมฉันทำเรื่องน่าอายขึ้นมาจะว่าอย่างไร” ตอบออกไปอย่างที่คิด ใบหน้าก็ยังคงบูดบึ้งเพราะขัดใจ ทว่าจะทำเช่นใดได้นางเป็นเพียงสาวใช้
“หากกลัวจะทำเรื่องน่าอาย ก็อย่าเดินเพ่นพ่านล่ะ” เอ่ยจบเขาก็ยิ้มส่งให้เช่นทุกครั้ง ทำเอาใจดวงน้อยเต้นรัว จนต้องรีบหลบสายตาของผู้เป็นนาย “ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท เจ้าดูแลนางให้ดี” สั่งคนของตนแล้ว ร่างสูงของอ๋องหนุ่มก็เดินเลี่ยงไปที่ตำหนักใหญ่ทางทิศเหนือ
“นี่พี่หานจิ่ง ปกติท่านอ๋องพาสาวใช้เข้ามาด้วยหรือ”
“ไม่ เจ้าคือคนแรก” เสียงทุ้มตอบสั้นๆ เป็นเหตุให้คิ้วสวยผูกกันเป็นปม เงยหน้ามองอีกฝ่าย
“เอ๋! แล้วเหตุใดถึงพาข้ามาล่ะ?” เอ่ยถามพร้อมกับย่นคิ้วใส่ จนหานจิ่งอดเอ็นดูท่าทางของนางมิได้
“เจ้าฉลาด คงรู้ว่ามีคนลอบปองร้ายท่านอ๋องมากมาย ส่วนเจ้าคือผู้ที่ชุบชีวิตท่านอ๋องกลับคืนมา หากมีคนรู้ชีวิตเจ้าก็จะเสี่ยงอันตราย เจ้าจึงต้องอยู่ใกล้ท่านอ๋องให้มาก”
“แล้วพี่มิคิดว่าข้าจะถูกเพ่งเล็งมากกว่าเดิมหรือ เป็นแค่สาวใช้ใครจะมาสนใจ แต่ให้อยู่ข้างกายใกล้ชิดเช่นนี้สิ ผู้อื่นคงคิดว่าข้าเป็นคนสำคัญจนท่านอ๋องมิอาจปล่อยทิ้งให้ห่างกาย ท่านคิดเช่นข้าหรือไม่” ถ้อยคำของสาวใช้ทำให้หานจิ่งคล้อยตาม เพราะเป็นจริงเช่นที่นางกล่าว
“นั่นสิ” องครักษ์หนุ่มเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ก็ต้องเงียบเสียงลง เพราะมีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา เขาดึงเอาชายเสื้อเพ่ยหลันให้ลุกขึ้นยืน “อ๋องเจ็ดกับอ๋องเก้า เจ้าต้องคำนับอย่างมีมารยาทนะ” เสียงกระซิบเปล่งออกมา ทำให้ใบหน้างามหันไปยังบุรุษทั้งสอง ซึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์สง่างามสีน้ำตาลมีลายปักมังกรทองดูน่าเกรงขาม
“เจ้าไม่ไปอารักขาเจ้านาย แต่มานั่งเฝ้าสาวใช้กระนั้นหรือหานจิ่ง ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก” อ๋องเจ็ดเอ่ยหยัน แต่ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย กลับสนใจสตรีตัวน้อยที่ไม่ได้เจอมานานเกือบสองเดือนตรงหน้ามากกว่า เพราะนางเปลี่ยนไปมาก งดงามมิต่างจากบุตรขุนนางชั้นสูง ผิวพรรณก็ผุดผ่องสว่างใส ทำให้เขาละสายตาออกจากใบหน้านี้ไม่ได้เลย
“นางมิได้ตายไปแล้วหรอกหรือ” ใครบางคนซึ่งยืนอยู่ข้างกายอ๋องเก้านึกในใจ มองสาวใช้ตัวน้อยยืนก้มหน้านิ่ง
“ซูหม่า เจ้ามิได้คุยกับสหายมานานแล้วมิใช่หรือ” คนสนิทได้ยินผู้เป็นนายเอ่ยเช่นนั้น จึงรีบดึงแขนของหานจิ่งให้เดินตามไปอีกทาง แม้องครักษ์หนุ่มอยากจะต่อต้าน แต่ฐานะเช่นเขาไหนเลยจะพูดได้
เพ่ยหลันมองตามหานจิ่งเดินไปที่มุมสวนเล็กน้อย นางหันกลับมาก้มหน้าตามเดิม “แย่ล่ะ มาคนเดียวยังพอว่า นี่เล่นมาตั้งสอง จะรอดไหมเนี่ยะเรา” นึกในใจมือก็บีบเข้าหากัน รอดูสถานการณ์ต่อจากนี้ซึ่งมันตึงเครียดมาก
“คิดว่าเจ้าจะล้มป่วยจนตายจากไปเสียแล้ว” น้ำเสียงนั้นฟังดูหวงใยเป็นอย่างมาก เพ่ยหลันเงยหน้ามองผู้ที่เอ่ยกับตน คิ้วสวยผูกกันเป็นปมไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย
“หม่อมฉันมิได้ป่วยอันใดเพคะ” ตอบออกไปอย่างที่เป็น จางเหรินก็ยิ้มรับเมื่อเห็นนางยังคงพูดดีเช่นเคย
“ดีจริง ข้าเป็นห่วงแทบแย่ ได้ยินว่าเจ้าถูกไล่จนตกน้ำเมื่อสองเดือนก่อน คิดว่าจะไม่ได้พบกันอีกเสียแล้ว” ถ้อยคำนี้ดูเป็นห่วงเป็นใยยิ่งนัก หากเป็นเพ่ยหลันคนเก่าคงยิ้มหน้าบานไปแล้ว แต่คนตรงหน้ากลับยิ้มแหยออกมา
“ได้ยินว่าเจ้าอยู่ในจวนตอนที่พี่แปดรักษาตัว รู้หรือไม่ผู้ใดที่ช่วยชีวิตพระเชษฐาข้าไว้ ข้าหมายจะขอบคุณคนผู้นั้น เจ้าพอจะบอกได้หรือไม่” จางเหรินตะล่อมถามเมื่อได้โอกาส เขาคิดว่าเพ่ยหลันยังทำงานให้ จึงคิดจะใช้ความรู้สึกที่นางมีต่อเขาเพื่อให้เปิดปาก
“ชิ! คิดจะสืบข่าวกับเราสินะ คงคิดว่าฉันโง่ล่ะสิ คนเก่าเป็นไงไม่รู้ แต่นี่เพ่ยหลันคนใหม่จ๊ะ ไม่ได้แอ้มหรอก” นึกในใจพร้อมกับเผยยิ้มหวาน ก่อนจะเอ่ยวาจาโปปดกับอีกฝ่ายราวกับมันคือเรื่องจริง
“ฮึก! ท่านอ๋องคงมิรู้ว่ายามนั้นพวกเราบ่าวไพร่ในจวน ต่างก็หลบอยู่แต่ในหอนอน มิกล้าออกมาเพราะเกรงจะติดโรคร้ายนี้ไปด้วย ถูกกักเป็นนักโทษนานเป็นเดือน เกิดสิ่งใดขึ้นมิมีผู้ใดล่วงรู้เลยเพคะ” ว่าพร้อมกับยกมือขึ้นบังใบหน้าอันเศร้าหมอง ส่งเสียงสะอื้นกระซิกร่ำไห้
“อย่าร้องเลยนะ หากยามนั้นมิมีราชโองการกักคนในจวนเสด็จพี่เอาไว้ ข้าคงรับเจ้ามาอยู่ด้วยแล้ว ข้าคิดถึงเจ้านะเพ่ยหลัน” เอ่ยบอกเสียงอ่อนโยน พร้อมกับยื่นมือออกมากุมมือขาว ซึ่งมันนุ่มนิ่มเป็นอย่างมาก รวมถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้ผ่อนคลาย สองเท้าจึงขยับเข้าใกล้อีก
“เพ่ยหลัน!!” เสียงดุดังขึ้นทันที มันมาพร้อมกับนัยน์ตาคมที่จับจ้องมองสตรีตัวน้อยและพระอนุชาสลับกันไปมา